1
ผมคลิกอ่านข่าวสตีเฟน ฮอว์กิง เตือนให้มนุษย์หนีไปเสียจากโลกใน 100 ปี แล้วต้องตกตะลึง!
2
ก่อนหน้านี้ สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) เคยออกมาเตือนไว้อย่างลือลั่นสนั่นโลกทีหนึ่งแล้วว่า ชะตากรรมของมนุษย์เราจะมีระยะเวลาเหลืออยู่ให้เริงร่าได้อีกไม่เกิน 1,000 ปีถัดจากนี้ไป
คำพูดชัดๆ ก็คือ “I don’t think we will survive another 1,000 years without escaping beyond our fragile planet.” ซึ่งก็คือเขาคิดว่าตอนนี้โลกนั้น ‘เปราะบาง’ เกินกว่าที่จะโอบอุ้มมนุษย์ (ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการทำลายโลกนี้มาตลอด) ได้แล้ว
หลายคนอาจถามว่า แล้วอีตาฮอว์กิงนี่เป็นใครกันถึงบังอาจมา ‘แช่ง’ กันขนาดนี้ แช่งไม่แช่งเปล่าคนอื่นๆ ในโลกยังตื่นเต้นกับคำแช่งนี้อีก
คำตอบก็คือ ฮอว์กิงเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวอังกฤษ ตอนนี้เขาเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัย (Director of Research) อยู่ที่ศูนย์จักรวาลวิทยาทฤษฎี (Centre for Theoretical Cosmology) ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ผลงานสำคัญของเขาก็คือการศึกษาและทำนายการแผ่รังสีจากหลุมดำ (ผู้คนเรียกรังสีนี้ว่า Hawking Radiation กันเลยทีเดียว) แต่ที่ทำให้ชื่อของเขาลือลั่นสนั่นโลกเป็นเพราะเขาเป็นคนแรกที่สร้างทฤษฎีจักรวาลวิทยาขึ้นมา โดยใช้สองเสาหลักแห่งฟิสิกส์ยุคใหม่ (ที่ขัดแย้งในตัวเองมาแต่ดั้งเดิม) นั่นคือทฤษฎีสัมพัทธภาพ (ของไอน์สไตน์) และกลศาสตร์ควอนตัม ทำให้เขาเป็นคนแรกที่ขยับเข้าใกล้ ‘ทฤษฎีสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง’ (Theory of Everything) อันพูดกันอย่างเวอร์ๆ ได้ว่า เป็นทฤษฎีของพระเจ้าที่ใช้อธิบายสรรพสิ่งได้
หนังสือดังที่สุดของเขา คือ A Brief History of Time เป็นหนังสือแนว pop science (ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ง่ายมาก) เขาเขียนโดยเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อสร้างและกระจายความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วย จักรวาล พื้นที่ และเวลา ไปในวงกว้าง โดยเฉพาะการนำเอาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและกลศาสตร์ควอนตัมมาบอกเล่าถกเถียง
ชีวิตของเขาก็น่าสนใจ เพราะเขาป่วยเป็นโรคลู เกห์ริก (Lou Gehrig’s disease) ทำให้ร่างกายค่อยๆ เป็นอัมพาตจนขยับเคลื่อนไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา ใครสนใจอยากรู้จักเขาสามารถหาหนังเรื่อง The Theory of Everything มาดูได้ เอดดี้ เรดเมย์น มาเล่นเป็นตัวเขา
เอาเป็นว่า สตีเฟน ฮอว์กิง ไม่ใช่คนธรรมดา นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายคนเชื่อว่าเขาออกจะเป็นแนวๆ ‘หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร’ ด้วยซ้ำ (ซึ่งความเชื่อแบบนี้ไม่ค่อยจะ ‘วิทยาศาสตร์’ สักเท่าไหร่) แต่ทุกอย่างที่เขาพูดหรือนำเสนอ ไม่ใช่การพูดลอยๆ แม้เป็น ‘ความเชื่อ’ แต่ก็เป็นความเชื่อหรือสมมุติฐานที่มีที่มาจากฐานอ้างอิงต่างๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์
ฮอว์กิงเชื่อว่า อนาคตในระยะยาวของมนุษย์คือการไปตั้งเผ่าพันธุ์ในอวกาศ เนื่องด้วยการหลีกเลี่ยงหายนะบนโลกนั้นเป็นเรื่องยาก ตอนนั้นเขาบอกว่าหายนะใหญ่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในระยะเวลา 1,000 ถึง 10,000 ปี ข้างหน้า เพราะมีความเสี่ยงมากมาย ตั้งแต่การเกิดสงครามนิวเคลียร์ (ที่เป็นฝีมือมนุษย์) จนกระทั่งภัยคุกคามต่างๆ หลายอย่างที่เกิดจากภาวะโลกร้อน (ก็เกิดจากฝีมือมนุษย์อีกนั่นแหละ) ที่สำคัญ เขา ‘เตือน’ ถึงภัยคุกคามที่จะเกิดจากปัญญาประดิษฐ์ (ซึ่งก็, แฮ่ม-เกิดจากฝีมือมนุษย์อีกเช่นกัน) ไม่นับรวมสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ดาวหางหรืออุกกาบาตพุ่งชนโลกครั้งใหญ่ ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความน่าจะเป็นที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ยิ่งมากขึ้นทุกที
คำเตือนของฮอว์กิงทำให้วงการวิทยาศาสตร์ตื่นตัวหลายเรื่อง เรื่องที่เห็นได้ชัดว่ามีความก้าวหน้าอย่างมาก ก็คือการหา ‘ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ’ หรือที่เรียกว่า Exoplanet ซึ่งมีทั้งการส่องกล้องหา (ที่ไม่ใช่จะเห็นกันได้ง่ายๆ แต่ต้องใช้วิธีสำรวจตรวจตราดูทางอ้อม) หรือการคำนวณ รวมไปถึงการส่งยานอวกาศออกไปค้นหากันเลยทีเดียว อย่างในปี 2009 นาซาส่งยานอวกาศเคปเลอร์ออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญคือการค้นหา ‘พื้นที่อยู่อาศัยได้’ (Habitable Zone) ของระบบดาวฤกษ์ที่มีลักษณะเหมือนกับดวงอาทิตย์ของเรา โซนที่ว่านี้มีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า Goldilocks Zone ตามชื่อของเด็กหญิงในนิทานที่ไปเลือกนอนบนเตียงของหมีสามตัวว่าเตียงไหนนุ่มไปแข็งไปบ้าง เพราะนี่คือการค้นหาว่า มีดาวคราะห์ดวงไหนบ้างที่ไม่ร้อนไปหนาวเกินไป (รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ ที่จะทำให้ ‘อยู่ได้’ ด้วย)
ดาวเคราะห์แบบอยู่อาศัยได้ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบแล้ว (และตื่นเต้นกันอย่างยิ่ง) ก็คือ Proxima B ซึ่งอยู่ในระบบของดาว Proxima Centauri แถมยังอยู่ห่างออกไปแค่ 4.2 ปี แสงเท่านั้นเอง (คือแสงเดินทางนาน 4.2 ปี ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้ใกล้อะไรแต่ในระยะทางแบบอวกาศนี่ต้องบอกว่าใกล้แล้วนะครับ)
โอเค! ทั้งหมดก็ดูดีอยู่ไม่น้อย ฮอว์กิงเตือน แล้วมนุษย์ก็เชื่อฟัง เอาละ! เหลือเวลาอีก 1,000 ปี เราเริ่มปฏิบัติการค้นหาโน่นนั่นนี่กันดีกว่า ประเดี๋ยวคงได้ย้ายบ้านกันในอีกสักสิบยี่สิบชั่วคน
แต่ไม่! แค่นี้ฮอว์กิงดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เพราะล่าสุดเขาเพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ในสารคดีเรื่องใหม่ของ BBC เรื่อง Expedition New Earth ซึ่งยังไม่ออกฉาย (มีกำหนดฉายในวันที่ 15 มิถุนายนนี้) โดยตัดเวลา 1,000 ปี ลงไป 10 เท่า
ใช่ครับ สตีเฟน ฮอว์กิง บอกว่ามนุษย์เรามีเวลาเหลือแค่ 100 ปี!
ถ้าเราไม่ ‘หนีไปเสียจากโลก’ ให้ได้ภายใน 100 ปี คือไปตั้งอาณานิคมบนดาวดวงใหม่ให้ทัน ก็เป็นไปได้ที่มนุษย์จะสูญพันธุ์!
ฮอว์กิงอธิบายว่า ที่เรากำลังต้องนับถอยหลังกันอยู่อย่างนี้ก็เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (หรือโลกร้อนนั่นแหละ) รวมถึงความเสี่ยงอื่นอีกหลายอย่าง (ที่จริงก็เรื่องเดิมๆ) นั่นคือดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชน โรคระบาด และการที่มีประชากรล้นเกิน
ในเรื่องนี้ คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่เห็นพ้องต้องกันกับฮอว์กิง ก็คืออีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งทั้งบริษัท Tesla และ SpaceX ตอนนี้เขาทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง (จนแทบตามข่าวไม่ทัน) เพื่อจะหาทางเดินทางไปสำรวจและตั้งรกรากบนดาวดวงอื่น โดยเฉพาะดาวอังคาร ซึ่งเขาตั้งเป้าเอาไว้ว่า จะต้องส่งคนไปดาวอังคารให้ได้ภายในปี 2025 แล้วจะต้องเกิดอาณานิคมแรกที่นั่นในปี 2033 (คือคนที่ตัดสินใจเดินทางไปดาวอังคารจะไม่ได้กลับมายังโลกตลอดกาลนั่นแหละครับ) ซึ่งก็อยู่ในห้วงเวลาที่ฮอว์กิงกำหนดไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเขียนหนังสือชื่อน่าตื่นเต้นเหลือเกินว่า Megacatastrophes! อย่าง Dirk Schulze-Makuch ได้ตั้งคำถามกับการ ‘หดเวลา’ ของฮอว์กิงอยู่เหมือนกัน ว่าเอ๊ะ! ทำไมจู่ๆ จะมาลดเวลาลงตั้ง 10 เท่าแบบนี้
เขาบอกว่า โอเคพันปีนี่เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเกิดหายนะอะไรต่อมิอะไรที่ว่ามาทั้งหมด แต่ถ้าดูระยะเวลาพันปีกับร้อยปีนี่โอกาสที่โลกจะถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน หรือมีการระเบิดของดาวฤกษ์เป็นซูเปอร์โนวาจากกาแล็กซีใกล้เคียงก็ไม่ได้มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นสักเท่าไหร่ ส่วนการที่มนุษย์ต่างดาวจะมาบุกโลกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วย เพราะยังไม่มีสัญญาณของมนุษย์ต่างดาวที่ชาญฉลาดอะไรให้เห็นเลยสักนิด (ต่อให้มีร่องรอยการส่งสัญญาณบางอย่างเมื่อปีที่แล้วก็เถอะ)
ดังนั้น เขาเลยหันมาสงสัยว่าโอกาสแห่งหายนะที่จะเกิดขึ้นได้รวดเร็วอาจจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีหรือเปล่า โดยเฉพาะนาโนเทคโนโลยีที่ผนวกรวมตัวกับเข้ากับปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นนาโนบอตที่สามารถจำลองตัวเอง (ที่มีขนาดจิ๋วมากๆ) ได้เป็นล้านล้านตัวก่อเกิดเป็น ‘เกรย์กู’ (Grey Goo) มากลืนกินประเทศหรือกลืนกินโลกคล้ายกับเป็นตั๊กแตนฝูงยักษ์
แต่กระนั้นก็ดี หายนะที่นักวิทยาศาสตร์คนนี้บอกว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกโลกหรือเทคโนโลยีใดๆ แต่เป็นสิ่งที่จะเข้าโจมตีมนุษย์จาก ‘ภายใน’ ต่างหาก
สิ่งนั้นก็คือ – โรค (ที่อาจ) ระบาด!
โรคที่เกิดจากแบคทีเรียดื้อยานั้นว่ายากเย็นแสนเข็ญในการรักษาแล้ว แต่เชื้อโรคอีกประเภทหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังหวั่นกลัวกันมาก ก็คือเชื้อที่ ‘ฝัง’ อยู่ในน้ำแข็งที่เรียกว่า Permafrost
Permafrost คือชั้นดินหรือหินที่อยู่ในเขตหนาวจัดอุณหภูมิต่ำติดลบ ซึ่งในชั้นดินหรือหินที่ว่านี้ก็ย่อมมี ‘น้ำ’ เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย เมื่อน้ำเหล่านี้อยู่ในที่เย็นจัดก็ย่อมจับแข็งกลายเป็นชั้นน้ำแข็งฝังอยู่ในดิน บางที่ก็ฝังอยู่นานเป็นหมื่นเป็นแสนปี ยิ่งอยู่ลึกก็ยิ่งเป็นชั้นน้ำแข็งในดินที่เก่าแก่ เช่นในอลาสก้าประมาณว่า Permafrost ที่อยู่ลึกลงไป 687 เมตรมีอายุเก่าแก่เกือบ 800,000 ปี เป็นต้น
แต่ตอนนี้ – ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้ชั้นน้ำแข็งใต้ดินเหล่านี้ละลาย
ละลายแล้วยังไง – บางคนอาจจะถาม, ละลายก็ละลายไปสิอย่างมากก็แค่น้ำท่วม
แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะครับ เพราะ Scientific American รายงานว่า เมื่อฤดูร้อนที่แล้วในคาบสมุทรยามาล (Yamal Pennisula) ทางเหนือของไซบีเรีย จู่ๆ ก็มีเชื้อแอนแทร็กซ์ (Anthrax)
คร่าชีวิตเด็กชายไป 1 คน และมีคนอีกราว 100 คนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยในจำนวนนี้มี 20 คนที่อาการหนัก แถมยังมีกวางเรนเดียร์อีกราว 2,300 ตัว ในพื้นที่เดียวกันติดเชื้อชนิดนี้และล้มตายลงไปไม่น้อย ทางการรัสเซียคาดการณ์ว่าเชื้อเบซิลลัสแอนทราซิส (Bacillus anthracis) ที่เกิดระบาดขึ้นมานี้ เป็นเพราะเมื่อกว่า 75 ปีที่แล้ว เคยมีกวางเรนเดียร์ป่วยเป็นโรคแอนแทร็กซ์ตาย แล้วเชื้อถูกกักอยู่ในชั้นดินที่เป็น Permafrost ทีนี้เมื่อภาวะโลกร้อนทำให้ Permafrost ในแถบนั้นเกิดละลาย สปอร์ของเชื้อก็แพร่ไปในน้ำและดิน สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในอาหาร
เรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์เตือนมานานแล้วว่าหากเกิดภาวะโลกร้อนขึ้นถึงระดับที่ Permafrost ละลาย มันจะไม่ได้มีแต่น้ำเท่านั้นที่ละลายออกมา แต่จะมี ‘เชื้อโรค’ ที่ฝังตัวอยู่ในน้ำแข็งละลายออกมาเติบโตเบิกบานด้วย เพราะจุลินทรีย์หลายชนิดสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเอนโดสปอร์ (endospore) ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และอยู่ได้นานมากๆ เคยมีรายงานในวารสาร Global Health Action บอกว่า เชื้อโรคที่เคยระบาดในศตวรรษที่ 18 และ 19 อาจจะกลับมาระบาดใหม่ก็ได้และที่ต้องระวังให้มากก็คือคนที่อยู่ใกล้สุสานในแถบหนาวเย็น ซึ่งฝังคนที่ตายเพราะโรคเหล่านั้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ตอนนี้ Permafrost กำลังละลาย พบว่าในหลายส่วนของไซบีเรีย Permafrost อาจละลายได้ลึกถึง 50 เซนติเมตรในฤดูร้อน เมื่อปีที่แล้วเกิดคลื่นความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิในไซบีเรียสูงถึง 35 องศาเซลเซียส ทำให้ Permafrost ละลายมากกว่าปกติ
แม้ว่าเชื้อโรคร้ายจำนวนมากจะอยู่ไม่รอดในสภาวะหนาวเหน็บขนาดนั้น แต่แบคทีเรียหรือไวรัสบางชนิดก็สามารถอยู่รอดได้ ในปี 2015 มีรายงานว่า ไวรัส 2 ชนิด ที่พบใน Permafrost ของไซบีเรียที่มีอายุถึง 30,000 ปี สามารถ ‘ติดเชื้อ’ ได้ (คือ Pithovirus sibericum และ Molloivirus sibericum) แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะมันเป็นไวรัสที่ติดเฉพาะอะมีบาเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่าก็คือเอาเข้าจริง เรา ‘ไม่รู้’ เลยว่า จะมีเชื้ออื่นๆ ที่ร้ายแรงต่อมนุษย์ฝังอยู่ใน Permafrost หรือเปล่า ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างเฝ้าระวังกันมากก็คือเชื้อไวรัสไข้หวัดสเปน (Spanish Flu) ที่เคยคร่าชีวิตคนไปหลายล้านคนในคราวเดียวเมื่อต้นศตวรรษที่ 20
และเป็นเรื่องแบบนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นพ้องกับฮอว์กิง ว่าต่อไปโลกนี้มันจะไม่น่าพิสมัย ไม่น่าอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ
และเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่ในอีก 100 ปีข้างหน้า เราอาจต้อง ‘หนีไปเสียจากโลก’ เพื่อไปอยู่ที่อื่น!
3
ผมคลิกอ่านข่าวสตีเฟน ฮอว์กิง เตือนให้มนุษย์หนีไปเสียจากโลกใน 100 ปี แล้วต้องตกตะลึง!
ไม่ได้ตะลึงเพราะรับรู้ข่าวร้ายร้อยปีที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดหรอกนะครับ แต่ตะลึงเพราะเว็บเบราเซอร์ดันขึ้นข้อความของกระทรวงไอซีทีว่า
‘เว็บไซต์นี้มีเนื้อหาและข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
ถูกระงับโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม’
หือ! ผมตกใจ – ทำไมรัฐไทยต้องสั่งห้ามดูข่าวของฮอว์กิงด้วย ก็เลยเหลือบไปดู URL ในช่องด้านบน บัดดลก็ถึงบางอ้อ
อ๋อ! ก็กูเกิลน่ะสิ ดันหยิบข่าวจาก dailymail.co.uk มาโชว์เป็นลิงก์แรก แล้วพอเห็นพาดหัวน่าสนใจ ผมก็กดคลิกโดยไม่ได้ดูว่าเป็นเว็บอะไร ปรากฏว่า dailymail.co.uk เป็นเว็บไซต์ที่กระทรวงไอซีทีเขาสั่งห้ามเข้ามาตั้งชาติเศษแล้วโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าห้ามทำไม เพราะมันคือเว็บสื่อหนังสือพิมพ์ธรรมดาๆ เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าเราไว้วางใจรัฐเราก็ต้องคิดว่า – เป็นไปได้ว่าน่าจะมีเนื้อหาและข้อมูลอะไรบางอย่างไม่เหมาะสมอยู่ในนั้น รัฐไทยถึงได้ ‘ระงับ’ การเข้าถึง สุดท้ายผมก็เลยไปเสิร์ชหาอ่านจากเว็บอื่น พลางนึกถึงพระราชบัญญัติควบคุมสื่อ และพระราชบัญญัติอะไรต่อมิอะไรที่จะเกิดตามมาอีกมาก
อ่านเรื่องของฮอว์กิงจากเว็บที่รัฐไทยไม่ได้บล็อกแล้วก็อยากอุทานออกมาว่า,
เฮ้อ! อยาก ‘หนีไปเสียจากโลก’ นี้จริงจริ๊ง!
Illustration by erdy