ในช่วงที่ผ่านมาหากใครได้ติดตามข่าวสารในวงการเทคโนโลยีอยู่บ้าง คงจะพอเห็นว่าเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และหุ่นยนต์อัตโนมัติ (automation) กำลังเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย ผู้มองโลกในแง่ดีหลายคนวาดภาพถึงอนาคตในอุดมคติที่มนุษย์ไม่ต้องทำงานและมีหุ่นยนต์เป็นผู้รับใช้ แต่ก็มีอีกหลายคนให้ภาพที่มืดมนกว่านั้น นั่นคือโลกที่สุดแสนเหลื่อมล้ำ ผู้ครอบครองเทคโนโลยีกุมอำนาจทางเศรษฐกิจไว้แทบทั้งหมด ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ตกงานและไร้ความหมายในยุคที่อะไรๆ ก็ทำโดยหุ่นยนต์
ความกังวลนี้มีฐานความจริงรองรับอยู่ไม่น้อย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้เคยประเมินเอาไว้ว่าตำแหน่งงานในสหรัฐฯ กว่า 47% จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายในเวลา 2 ทศวรรษข้างหน้า แม้ต่อมาจะมีนักวิจัยจากสถาบันอื่นประเมินและให้ข้อสังเกตว่าตัวเลขดังกล่าวสูงเกินจริงไปมาก (บางสำนักประเมินว่าตัวเลขจริงๆ อยู่ที่แค่ 9%) แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้หุ่นยนต์กำลังเข้ามาแทนที่มนุษย์ในหลายๆ ด้าน
ที่เห็นชัดที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นในโรงงาน ทั้งในโลกพัฒนาแล้ว รวมถึงในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องแรงงานราคาถูกอย่างจีน ก็ล้วนมีการนำเอาเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้แทนแรงงานมนุษย์แล้วทั้งสิ้น
และแม้แต่พนักงานออฟฟิศหรือที่เราเรียกกันว่าเป็นพนักงานปกขาว (white-collar worker) ก็กำลังถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรเช่นกัน National Public Radio (NPR) ของสหรัฐฯ ได้ไปสำรวจว่าอาชีพต่างๆ มีโอกาสจะถูกหุ่นยนต์แย่งงานมากน้อยแค่ไหน ผลสำรวจพบว่างานอย่าง พนักงานวิเคราะห์สินเชื่อ พนักงานบัญชี พนักงานเตรียมเอกสารทางภาษี พนักงานหน้าเคาท์เตอร์ธนาคาร หรือแม้กระทั่งพ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟ ล้วนเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ โดยมีโอกาสมากกว่า 95% ที่ในอนาคตจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร
คำถามก็คือ ถ้างานในสายพานการผลิตในโรงงานสามารถถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรได้ งานของพนักงานออฟฟิศทั้งหลายก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรได้ แล้วงานของผู้ที่อยู่สูงขึ้นไปในองค์กรอย่างผู้จัดการหรือ CEO มีโอกาสจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรได้ด้วยหรือไม่?
หุ่นยนต์ vs มนุษย์ผู้จัดการ
ดูเหมือนความขัดแย้งระหว่าง ‘ลูกน้อง’ กับ ‘หัวหน้า’ จะเป็นปัญหาโลกแตกที่แก้ไม่ตกมาทุกยุคทุกสมัย เอาเฉพาะบนโลกอินเทอร์เน็ตภาษาไทย เมื่อผมเสิร์ชกูเกิ้ลคำว่า ‘มีปัญหากับหัวหน้างาน’ ก็มีผลลัพธ์ขึ้นมาให้ผมดูกว่า 2 ล้านชิ้น ไล่ตั้งแต่ ไม่ชอบหัวหน้า หัวหน้าไม่ชอบ หัวหน้าไม่ดี หัวหน้าไม่เก่ง หัวหน้าลำเอียง หัวหน้าเอาเปรียบ ฯลฯ มีทุกรูปแบบมากมายเกินกว่าจะสาธยายไหว
ถ้าผู้จัดการที่เป็น ‘มนุษย์’ จำนวนมากไม่สามารถทำงานได้ดีและไม่เป็นที่พอใจของลูกน้อง เราอาจต้องลองให้โอกาสหุ่นยนต์บ้าง เผื่อว่ามันจะเป็นผู้จัดการที่ดีกว่าผู้จัดการมนุษย์ทั่วไป เราลองไปดูกันหน่อยว่าหุ่นยนต์ในฐานะ ‘หัวหน้า’ จะมีข้อดีอะไรบ้าง
หุ่นยนต์บริหารทรัพยากรได้ดีกว่า
ในอุตสาหกรรมที่ต้องบริหารทรัพยากรจำนวนมหาศาลและต้องการประสิทธิภาพสูง เครื่องจักรจะสามารถตัดสินใจได้ดีกว่ามนุษย์ ว่าใครควรทำอะไรที่ไหนตอนไหน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Uber ที่ใช้ algorithm ในการบริหารจัดการคนขับรถหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่ามันสามารถจัดการและออกคำสั่งได้ดีกว่าการให้มีคนคอยสั่งการเป็นไหนๆ หรือแม้แต่บริษัทอุตสาหกรรมอย่าง Hitachi ก็มีการใช้หุ่นยนต์มาเป็นผู้สั่งการคนงานในสายพานการผลิต ว่าใครควรทำอะไร ตอนไหน ทั้งนี้เพื่อให้สายการผลิตดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดตามแนวปรัชญาแบบ Kaizen
แล้วก็อย่าคิดว่าหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ได้ดีเฉพาะในงานที่ดูเหมือนจะสามารถตั้งโปรแกรมได้ล่วงหน้า เพราะแม้แต่งานที่ต้องใช้ความสามารถทางปัญญาสูง เช่น งานที่ปรึกษา (consulting) หุ่นยนต์ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นผู้จัดการโปรเจกต์ (project manager) ที่มีความสามารถดีกว่ามนุษย์
นักทดลองจากมหาวิทยาลัย Harvard ได้สร้างแอพพลิเคชั่นชื่อ iCEO ขึ้น โดยเป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับการจัดการโปรเจกต์ พวกเขาทดลองโดยการมอบหมายงานให้เจ้าแอพพลิเคชั่นตัวนี้จัดทำรายงานวิเคราะห์ตลาดจำนวน 124 หน้า เพื่อนำเสนอแก่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ใน Fortune 50 โดยเจ้า iCEO ต้องจัดการตั้งแต่การประเมินและการจ้างงานบุคลากรที่จะมาทำรายงานในแต่ละส่วน สั่งงาน ประเมินคุณภาพและส่งฟีดแบ็คกลับไปให้ผู้ถูกจ้างแต่ละคน และสุดท้ายเป็นผู้รวบรวมรายงานฉบับสมบูรณ์
ผลปรากฏว่าเจ้าแอพพลิเคชั่น iCEO ในฐานะผู้จัดการโปรเจกต์สามารถทำรายงานออกมาได้เร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้จัดการที่เป็นคนมาก ประเมินกันว่าหากใช้โครงสร้างองค์กรทั่วไป ต้องใช้เวลานับเดือนกว่าที่รายงานฉบับนี้จะเสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วย iCEO รายงานฉบับนี้เสร็จโดยใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
หุ่นยนต์มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาดีกว่า
เนื่องจากในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถในการทำความเข้าใจภาษามนุษย์แล้ว ทำให้มันสามารถเรียนรู้ได้มากและเร็วกว่าที่มนุษย์หรือผู้เชี่ยวชาญคนไหนจะทำได้ อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบที่สามารถสะสมความรู้ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเครื่อง Watson ของ IBM ที่สามารถอ่านเอกสารทางวิชาการทางการแพทย์ได้หลายล้านฉบับภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ รวมถึงสามารถติดตามงานวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดที่ออกมากว่า 8,000 ฉบับทุกสัปดาห์แบบที่มนุษย์ทำไม่ได้ ทำให้ในทางปฏิบัติแล้วเจ้าเครื่อง Watson เป็น ‘สมอง’ ที่มีองค์ความรู้ทางการแพทย์สะสมอยู่มากที่สุดในโลก
ความรู้เชิงเทคนิคทีดีกว่านี้เองทำให้หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการสามารถให้คำแนะนำในเชิงเทคนิคและตัดสินใจได้ดีกว่าผู้จัดการมนุษย์หน้าไหนๆ
หุ่นยนต์อ่านอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นมาก
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทั้งความสามารถในการวิเคราะห์สิ่งที่เราพิมพ์ รวมถึงเทคโนโลยีการตรวจจับการแสดงออกทางใบหน้าที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้ในปัจจุบันหุ่นยนต์สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราได้จากสิ่งที่เราพิมพ์และแสดงออกทางสีหน้า ความสามารถดังกล่าวนี้จะทำให้หุ่นยนต์เป็นผู้จัดการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น มันอาจแจ้งเตือนเราไม่ให้ส่งอีเมลออกไปหากมันตรวจจับได้ว่าสิ่งที่เราพิมพ์แสดงออกถึงความหยาบคายและอารมณ์ร้าย หรือมันอาจจะยังไม่สั่งงานเราในกรณีที่เห็นว่าเรากำลังหงุดหงิดหรือเสียใจ นั่นแปลว่าในอนาคต เราอาจมีหุ่นยนต์ผู้จัดการที่มีความเห็นอกเห็นใจพนักงานมากกว่าผู้จัดการที่เป็นมนุษย์เสียอีก
หุ่นยนต์เป็นกลางกว่า
ปัญหาหนึ่งของมนุษย์ทุกคนคือ บางครั้งเราลำเอียง ทำให้หลายครั้งผู้จัดการที่เป็นมนุษย์ประเมินพนักงานอย่างไม่เป็นกลาง แต่หุ่นยนต์ไม่มีปัญหานี้ เนื่องจากมันสามารถให้ฟีดแบ็คได้อย่างเป็นกลางตามกฎที่วางเอาไว้ นอกจากนั้นในการประเมินผลงานของพนักงาน หุ่นยนต์ก็สามารถประเมินพนักงานอย่างตรงไปตรงมาตาม KPI (Key Performance Index) ที่ได้กำหนดไว้
Norbert Wiener ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารกับระบบคอมพิวเตอร์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราสามารถทำอะไรก็ตามได้อย่างชัดเจนในทางที่สามารถอธิบายออกมาให้เข้าใจได้ เครื่องจักรก็สามารถทำงานเหล่านั้นได้ทั้งสิ้น” ภาวะที่มนุษย์ทำงานโดยมีหุ่นยนต์เป็นผู้สั่งการจึงเป็นอนาคตที่อยู่ไม่ไกล แต่เราต้องไม่ลืมว่าต่อให้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน มันก็ไม่สามารถตัดสินใจบนฐานของจริยธรรมและมอบ human touch ให้กับเราได้เหมือนผู้จัดการที่เป็นมนุษย์
แม้ว่าในบางครั้ง เราจะสัมผัสไม่ได้ถึง human touch จากหัวหน้าของเราก็ตามที