1. Nicolas Winding Refn เป็นผู้กำกับที่สร้างหนังแต่ละเรื่องได้น่าสนใจและหลากหลายทีเดียวครับ อย่างเช่นใน Vallaha Rising ที่เขาเล่าถึงการเรื่องราวของนักรบไวกิ้งด้วยกลวิธีนำเสนอเรื่องอันแพรวพราว Drive ที่ฉายภาพชีวิตอันโดดเดี่ยวของหนุ่มนักขับรถผู้รับจ้างพาเหล่าอาชญากรหลบหนี หรืออย่าง Only God Forgive ที่เขาก็ยกทีมงานมาถ่ายทำที่ประเทศไทยและย้อมทับกรุงเทพฯ ด้วยแสงนีออนแดงเพื่อเป็นฉากหลังของหนังล้างแค้นที่แฝงประเด็นทางจิตวิทยาไว้อย่างน่าสนใจ
ด้วยเป็นผู้กำกับที่ขึ้นชื่อว่าฝีมือจัดจ้านเช่นนี้แล้ว หนังเรื่องล่าสุดของเขา The Neon Demon ก็แน่นอนว่ายังคงแฝงไว้ซึ่งลายเซ็นอันจัดจ้านอย่างไม่ทำให้ผิดหวังเลยทีเดียว หากแต่จากที่หนังเรื่องก่อนๆ ที่เรฟินเลือกเล่าเรื่องของผู้ชายเป็นหลัก คราวนี้เขาได้จับเอาโลกของผู้หญิงมาเล่าโดยเลือกใช้วงการเดินแบบเป็นฉากหลังที่ขับเคลื่อนเรื่องราวของหนังเรื่องนี้
หนังเล่าเรื่องของ Jesse เด็กสาววัยสิบหกเดินทางมายังนครลอสแองเจลีสเพราะเธอฝันอยากเป็นนางแบบ ซึ่งก็ด้วยมีใบหน้าอันสะสวยจนน่าอิจฉาจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นนางแบบอันดับต้นๆ ของวงการ แต่แม้ว่าการขึ้นสู่จุดสูงสุดจะไม่ใช่เรื่องยาก กระนั้นแล้วรอบตัวเธอก็กลับแฝงไว้ด้วยดวงตาอันตรายที่คอยแต่จับจ้องและพร้อมจะพุ่งเข้าฉีกทึ้งเจสซี่ในทุกวินาทีด้วยทั้งอิจฉาและปราถนาที่จะครอบครองความงามของเธอ
2. ประเด็นหลักของ The Neon Demon นั้นคือความงาม ความงามในลักษณะซึ่งเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์เทิดทูนบูชา ในฉากหนึ่ง ตัวละครชายคนหนึ่งพูดไว้ว่า ‘Beauty isn’t everything. It’s the only thing.’ ความงามไม่ใช่ทุกอย่าง หากแต่มันสำคัญที่สุด
ในเรื่อง เจสซี่คือหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของความงามอันเป็นที่สุดนี้ ซึ่งเหตุที่ทำให้เธออยู่เหนือกว่านางแบบอีกหลายคนในวงการก็เพราะความงามที่เธอมีนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์ หาใช่สิ่งเสริมเติมขึ้นด้วยศัลยกรรมแต่อย่างใด ดังที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหนังว่า หากความสวยนั้นถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นจากมีดหมอ ก็น่าจะเพียงพอแล้วหรือเปล่า ไม่เห็นจำเป็นอะไรจะต้องคอยยึดติดอยู่กับชุดความคิดที่เชิดชูบูชากับความงามที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ถึงอย่างนั้นแล้ว ท่าทีของตัวละครในเรื่องนอกจากเหล่านางแบบที่เคยผ่านการศัลยกรรมก็ล้วนแต่หลงไหลความงามของเจสซี่เสียทั้งนั้น อย่างที่ว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมพรอันประเสริฐที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการปรุงแต่งใดๆ ก็พร้อมจะโดดเด่นเกินหน้าใครต่อใครแล้ว อย่างที่นางแบบคนหนึ่งเคยถามเจสซี่อย่างรู้สึกอิจฉาว่า รู้สึกอย่างไรที่เดินเข้ามาในห้องระหว่างคัดตัวนางแบบแล้วพบว่ารอบตัวนั้นช่างเหน็บหนาว แต่ตัวเองกลับเป็นดวงอาทิตย์อันอบอุ่น
3. ในตำนานของกรีกมีเรื่องเล่าของนาซิสซัสผู้เลื่องลือว่ามีใบหน้าอันงดงาม เช่นนี้จึงมีหญิงสาวหลายคนมาตกหลุมรักหากแต่เพราะไม่คิดว่ามีใครคู่ควรพอกับรูปโฉมอันหล่อเหลาของเขา และด้วยความหลงตัวเองอันเหลือจะกล่าว ทำให้อยู่มาวันหนึ่งนาซิสซัสที่ก็ต้องคำสาปขณะเดินผ่านแม่น้ำ และเห็นเข้ากับเงาสะท้อนของตัวเองที่ปรากฏอยู่จนเกิดตกหลุมรักขึ้นมากระทั่งว่าคิดจะคว้าเงาร่างที่เห็นแต่ทุกครั้งที่เอื้อมมือไปสัมผัสผืนน้ำ ภาพสะท้อนนั้นก็จะเลือนหายไป ท้ายที่สุดนาซิสซัสจึงได้แต่เพียงจ้องมองเงาของตัวเองอย่างหลงไหลเรื่อยไปเช่นนั้น
หากพูดถึงความงามของมนุษย์แล้ว สิ่งซึ่งจะแสดงรูปโฉมของคนคนหนึ่งอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาที่สุดก็ย่อมจะเป็นสิ่งซึ่งสะท้อนภาพของบุคคลนั้นๆ อย่างเช่นผืนน้ำที่สะท้อนเงาของนาซิสซัส และกระจกที่คอยสะท้อนใบหน้าของเหล่านางแบบ
เพราะมนุษย์ไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของตัวเองหากปราศจากสิ่งซึงสะท้อนได้ ความสำคัญหนึ่งของกระจกคือการหยิบยื่นช่องทางในการพิจารณาและตัดสินความงามของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฟังจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น แต่จากการพิจารณาใบหน้าด้วยตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประเด็นเรื่องการศัลยกรรมในเรื่องนั้นถูกนำเสนอในฐานะของการยกระดับความงามเพื่อให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าคำวิจารณ์ ในทางหนึ่งมันจึงเป็นหนทางเพื่อหลบหนีจากความจริงที่ว่าตนไม่ได้เกิดมาพร้อมความงามอันบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ตัวเจสซี่ซึ่งครอบครองความงามที่ไม่เคยผ่านการปรุงแต่งใดๆ นั้นจึงทรงคุณค่ามากขึ้นกว่านางแบบคนอื่นๆ ที่ล้วนเคยเปลี่ยนแปลงใบหน้าของตนมาด้วยกันแล้วทั้งนั้น หากก็ยังถวิลหาบันไดที่จะตะกายไปสู่ลำดับชั้นถัดๆ ไปของความงาม กล่าวคือสิ่งที่ทำให้นางแบบเหล่านี้ไม่เคยพอใจกับตัวเองคือคำวิพากษ์วิจารณ์ และสิ่งที่พวกหล่อนถวิลหาก็คือความงามสูงสุดที่ไม่อาจมีคำติเตียนใดๆ มาล้มล้างได้
4. อย่างที่เคยได้พูดไปว่าหนังเรื่องนี้คือโลกของผู้หญิง และผู้หญิงคือภาพที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตาสาธารณะ เช่นนี้จึงทำให้เหล่าตัวละครชายในเรื่องถูกผลักเข้าสู่โลกเบื้องหลังแทน พูดอีกอย่างได้ว่าโลกของผู้หญิงในเรื่องคือแคตวอล์กเป็นเวทีซึ่งจำกัดไว้แค่ผู้หญิง เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ผู้ชายไม่อาจขึ้นมาโลดแล่นได้แต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ตัวละครผู้ชายในเรื่องจึงถูกกระจายบทบาทไปรับหน้าที่ เช่น ตากล้องที่ถ่ายงานของนางแบบ เจ้าของแบรนด์เสื้อที่คอยคัดเลือกนางแบบ หรือเจ้าของโรงแรมม่านรูปที่เจสซี่เช่าพักอยู่
แต่ถึงแม้จะไม่ได้รับบทเด่นหน้าม่าน กระนั้นพลังของเพศชายก็ยังขับเน้นอย่างรุนแรงอย่างที่ว่าเหล่านางแบบในเรื่องนั้นต่างก็ปรารถนาความงามที่ผ่านการเห็นชอบจากผู้ชาย พวกหล่อนเห็นคำวิจารณ์จากปากคำของบุรุษเพศเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะรับฟัง เพราะแม้มองจากสายตาภายนอก วงการนางแบบจะดูเป็นโลกส่วนตัวของผู้หญิงขนาดไหน แต่ส่วนหนึ่งผู้ชายก็ยังมีส่วนรับผิดในการก่อร่างสร้างโลกแห่งความงามขึ้นมาอยู่ดี
5. ที่สุดแล้วความงามจึงเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบระหว่างความงามหนึ่งกับอีกความงามหนึ่ง ซึ่งคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดเลยหากการเปรียบเทียบที่ว่าเป็นเรื่องระหว่างคนอื่น, ไม่ใช่ตัวเรา
ในปกรณัมกรีก บ่อยครั้งที่เหตุแห่งความรุนแรงเกิดขึ้นเพราะความงาม ด้วยเพราะอิจฉาริษยาในสิ่งที่ตนไม่อาจมี หรือบ้างก็ปรารถนาจะได้มามีไว้ในครอบครอง และถึงแม้จะผ่านเลยมากว่าสองพันปี กระนั้นความหลงใหลต่อความงามก็คล้ายจะไม่เคยเลือนหายไป เช่นเดียวกับที่มันก็ยังเป็นบ่อเกิดของความรุนแรงในสังคมหลายต่อหลายครั้ง