ชีวิตนี้เราเป็นเจ้าของแค่ไหน? เคยรู้สึกไหมว่าที่ตรงนี้อาจไม่ใช่ของเราเลยแม้แต่น้อย?
นี่คือคำถามใหญ่จากหนังเรื่อง ‘Where We Belong’ ผลงานกำกับครั้งใหม่ของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่โยนโจทย์ไปให้กับ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และ มิวสิค—แพรวา สุธรรมพงษ์ สองสมาชิกจากวง BNK48 ผ่านการสวมบทบาทในงานแสดง
เจนนิษฐ์ รับบทเป็น ‘ซู’ เด็กสาวที่กำลังตัดสินใจทิ้งชีวิตที่บ้านเกิด เพื่อไปอยู่เมืองนอก ส่วนมิวสิครับบทเป็น ‘เบล’ เพื่อสนิทที่อยู่เคียงข้างซูเสมอมา
The MATTER คุยกับสองสมาชิกแห่งวง BNK48 ถึงบทบาทใน Where We Belong ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเบลและซูนั้นคืออะไร และทั้งคู่ได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นจากตัวละครเหล่านี้บ้าง?
The MATTER : รู้สึกยังไงบ้างพอรู้ว่าต้องได้เล่นหนังด้วยกัน
มิวสิค : ไม่ได้ตื่นเต้นมากเท่าไหร่นะ เพราะเจอกันทุกวันอยู่แล้ว เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วและบทที่เล่นก็เป็นเพื่อนกัน
เจนนิษฐ์ : แต่ก็สบายใจนะ เพราะสนิทกัน วัยใกล้เคียงกัน ถ้าเล่นกับเมมเบอร์ที่วัยโตกว่าเราก็อาจจะมีเกร็งบ้าง เพราะไม่กล้าเล่นอะไรมาก
มิวสิค : ใช่ๆ สบายใจ ตอนแรกก็กลัวว่าเพราะมันคือการเล่นหนังครั้งแรก แต่ก็ดีใจเพราะได้แสดงกับเพื่อน
The MATTER : ตอนแคสติ้งเป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย
เจนนิษฐ์ : รอบแรกพี่คงเดชกับทีมงานเรียกไปคุยเลยในห้องเล็กๆ เพื่อทำความรู้จักกัน เขาน่าจะอยากรู้ว่าทัศนคติ ความคิด ตัวตนเราเป็นยังไง และจะเข้ากับตัวละครได้รึเปล่า คุยชั่วโมงสองชั่วโมงแหละ นานมาก
มิวสิค : ไม่ต่างกันเลย พี่คงเดชพูดว่าไม่ได้อยากรู้จักเราเพียงแค่ว่านี่คือ BNK48 แต่อยากรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นยังไง เพื่อรู้ว่าเหมาะกับตัวละครที่ต้องการรึเปล่า
The MATTER : คิดว่าการแสดงจริงๆ มันยากกว่าการขึ้นไปแสดงในฐานะไอดอลบนเวทียังไงบ้าง
เจนนิษฐ์ : อันนี้ยากกว่า เพราะมันมีทั้งแอคติ้ง มีบทพูด มีไทม์มิ่งที่ต้องดูด้วย
มิวสิค : มันเหมือนกับว่าเราได้เอาตัวตนของเราในช่วงที่ผ่านมา ตอนที่เรายังไม่ได้เข้ามาใน BNK48 ขึ้นมาใช้อีกครั้ง เหมือนกลับไปเป็นตัวเราคนเดิม
เจนนิษฐ์ : สลัดภาพลักษณ์ไอดอลทิ้งไปซะ! อะไรแบบนั้น
The MATTER : มิวสิคกับเจนนิษฐ์เคยมีประสบการณ์คล้ายกับเบลหรือซูบ้างไหม
มิวสิค : เคยคล้ายกับเบลนะ หนูเคยมีเพื่อนที่เรารักมากๆ ที่เราสามารถให้เค้าได้ทุกอย่างที่เรามี เจนนิษฐ์เองก็น่าจะมีเพื่อที่คล้ายกับเบลในชีวิตตัวเองเหมือนกัน
เจนนิษฐ์ : ก็มีนะ คือเหมือนตัวเองเป็นซูแล้วเพื่อก็เป็นเบล ตอนประถมเลยนานมากแล้ว ทั้งตัวบุคลิก นิสัย เหมือนเบลเลย อาจจะด้วยความบังเอิญนะ เพราะตอนแรกนึกไม่ออกหรอก แต่พอเล่นบทซูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มนึกได้ว่าเราเคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนนะ
The MATTER : คิดว่าการมีเพื่อนสนิทแบบเบลในชีวิตจริงมันสำคัญยังไงบ้าง
เจนนิษฐ์ : ถ้าสำหรับซู ซูจะได้ประโยชน์เต็มๆ จากเบลเลยนะ (หัวเราะ) เบลน่าจะเป็นเพื่อนที่ทำได้ทุกอย่าง พร้อมปกป้องจากคนรอบข้าง
มิวสิค : ในแง่หนึ่งมันก็ดีนะ เพราะมีเพื่อนที่ทำให้เราได้ทุกอย่าง แต่บางทีก็รู้สึกว่าทำเยอะไปรึเปล่า คือบางเรื่องไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้
เจนนิษฐ์ แต่มันก็เป็นเคสๆ ไปแหละ เพราะขึ้นอยู่กับทั้งคู่ว่าจะดีลกันยังไงในความสัมพันธ์ บางคนอาจจะโอเคที่ดูแลกันแบบนี้ก็ได้
The MATTER : มิวสิคเคยคิดว่าตัวเองมีความคล้ายกับเบลไหม
มิวสิค : เคยคิดว่าตัวเองมีโมเมนต์แบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ตัวสิคเสียทีเดียว เพราะเบลก็มีความกล้าบางอย่างที่สิคไม่มี เขาเป็นคนห่ามมาก ทำอะไรก็สุด มุทะลุ ทำอะไรก็ทุ่มจนสุดแรงจริงๆ บางทีก็สงสัยว่าไม่เคยเผื่อใจให้ตัวเองเจ็บเลยหรอ อีกอย่างหนึ่งคือ เบลเป็นคนที่อดทนมากๆ เขาเก็บความรู้สึกหลายๆ อย่างไว้ได้ค่อนข้างดี เป็นคนที่ดูเหมือนไม่เก็บความรู้สึก แต่จริงๆ แล้วเก็บมากๆ แตกต่างไปจากซูที่บางครั้งเลือกที่จะปล่อยและสื่อสารความรู้สึกตัวเองออกไปมากกว่าที่จะเก็บไว้กับตัวเอง
เจนนิษฐ์ : เบลอาจจะเป็นคนตามไม่ทันเขามั้ง ยิ่งถ้าเป็นซู ถ้าซูพูดอะไรก็เบลก็ตามไปหมดแน่ๆ จริงๆ มันมีบางซีนในหนังที่ซีนมิวสิคเหมือนเบลเลย
The MATTER : ชอบอะไรในความเป็นเบล
มิวสิค : เขาอาจจะทำมากไปจริงๆ แต่เขาก็มีเจตนาที่ดี หนูชอบในความตั้งใจของเขาที่ทำอะไรลงไปโดยไม่หวังผลตอบแทน (นิ่งคิด) ไม่สิ จริงๆ ก็หวังแหละ คือแค่อยากให้เพื่อนเข้าใจในสิ่งที่เราทำไปให้ขา
The MATTER : เจนนิษฐ์ชอบอะไรในความเป็นซูบ้าง มีส่วนคล้ายกับเราบ้างรึเปล่า
เจนนิษฐ์ : ชอบที่ซูเป็นคนที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองดี แล้วก็รักตัวเอง หนูรู้สึกว่าสมัยนี้น่าจะมีหลายๆ คนเลยที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง มัวแต่อยากให้คนอื่นพอใจจนลืมความสุขของตัวเอง บทซูก็มีความสับสนหลายๆ อย่างที่ต้องเลือกเพราะเงื่อนไขหลายๆ อย่าง เช่น ฉันต้องเลือกเพื่อความสุขของตัวเองดี หรือเลือกเพราะอย่างอื่นด้วย
The MATTER : เคยรู้สึกอะไรแบบนี้จริงๆ ไหม
เจนนิษฐ์ : ก็มีนะ เราก็ต้อไฟต์ คือถ้าไฟต์ไม่ได้ก็ต้องทน ปัจจัยมันเยอะ ข้อจำกัดมันเยอะมาก ไม่ใช่แค่ว่าเราสามารถเลือกทำหรือไม่ทำ
The MATTER : ฟังแล้วนึกถึงคำพูดของผู้ใหญ่ที่ชอบบอกว่าเด็กๆ สมัยนี้ต้องเป็นตัวของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เจนนิษฐ์ : ใช่ เพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เงื่อนไขแต่ละคนมันต่างกัน
มิวสิค : แต่ละคนความเห็นไม่เหมือนกัน ผู้ใหญ่อาจจะต้องการให้เด็กเดินตามทางที่เขาปูไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หนูว่ามันไม่ใช่แค่กับเด็กสมัยนี้เท่านั้น เพราะแต่ละคนก็ไม่ได้มีตัวเลือกที่เท่ากันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งพื้นฐานของเราเอง สิ่งที่เราอยากจะทำเองที่มันอาจจะไม่ได้เป็นตามที่เราหวัง
The MATTER : การเล่นหนังครั้งนี้ช่วยให้เข้าใจเรื่องเหล่านั้นมากขึ้นไหม
มิวสิค : เข้าใจขึ้นเยอะเลย เพราะเรามีเรื่องที่ต้องคิดตลอดเวลา พอเราต้องเข้ามาอยู่ในโลกของการทำงาน ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว ก็น่าเศร้านะที่เราก็ต้องโตขึ้นแล้ว เป็นเด็กตลอดไปไม่ได้
The MATTER : รับมือยากไหมกับต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งอยู่ใน BNK48 ที่การแข่งขันมันเกิดขึ้นตลอดเวลา
เจนนิษฐ์ : เรียกว่ายากก็ยาก แต่มันก็ชินไปแล้ว
มิวสิค : คิดว่าสุดท้ายแล้วเราก็เป็นเจ้าของชีวิตเรา เราตามคนอื่นไม่ได้จริงๆ เคยมีช่วงที่เขวเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราต้องฟังความคิดเห็น ฟังเสียงของตัวเองบ้าง ควรจะมีช่วงเวลาของตัวเองสักช่วงหนึ่ง เพื่อถามว่ามีสิ่งอะไรที่เราอยากทำจริงๆ
The MATTER : เจนนิษฐ์คิดแบบนี้เหมือนกันไหม
เจนนิษฐ์ : ก็เป็นเคสๆ ไป เพราะตั้งแต่อยู่ BNK48 มาเหตุการณ์มันก็เยอะมากเลย เรื่องที่เป็นไปตามที่ใจคาดหวัง กับที่ไม่เป็นไปตามนั้นก็มีเยอะเหมือนกัน
The MATTER : แล้วเจนนิษฐ์จัดการยังไงเมื่อไม่ได้ตามหวัง
เจนนิษฐ์ : ส่วนใหญ่มันก็จะเป็นเรื่องงาน เช่น งานออกมาไม่ดี หรือไม่ได้งานที่เราอยากได้ แต่เราก็เรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้ สำหรับหนูก็แค่ช่างมันเถอะ เพราะไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว รู้สึกเสียเวลา เมื่อมันไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรกับมันอีก ไปหาสิ่งใหม่แทน
The MATTER : ทั้งสองคนคิดว่าอะไรคือความยากที่สุดในการเล่นหนังครั้งนี้
เจนนิษฐ์ : น่าจะเป็นการทำตัวให้สดใน เฟรช หลังจากวิ่งไปทำงานมาทั้งวัน กลับกรุงเทพฯ ไปจันทบุรี มันก็เหนื่อย ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ต้องตื่นเช้าเราก็ต้องตื่น จะมางัวเงียไม่ได้
มิวสิค : น่าจะยากตรงที่เป็นครั้งแรก ทุกอย่างมันก็ไม่ชินไปหมดเลย ทั้งกังวลและไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงบ้าง เพราะการแสดงมันไม่มีอะไรผิดไม่มีอะไรถูก
เจนนิษฐ์ : คือต้องลองทำไปก่อน
มิวสิค : ใช่ ต้องลองทำไปก่อนเราถึงจะรู้ว่าผิดหรือถูก คือจริงๆ แล้วมันก็ไม่มีทั้งผิดและถูก เรียกว่าต้องลองแล้วค่อยๆ ปรับตัวกันไป ไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูกเลยกังวลตลอดเวลา พี่เดชก็บอกว่าสายตามันบอกนะว่าเรากำลังกังวลในฉาก
The MATTER : พอได้เล่นหนังด้วยกัน ได้เห็นมุมอะไรใหม่ๆ ของเพื่อนบ้าง
เจนนิษฐ์ : เราไม่เคยแสดงอะไรกันเป็นจริงจังขนาดนี้ ได้เห็นแอคติ้งของมิวสิคแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
The MATTER : ทำงานกับพี่คงเดชเป็นยังไงบ้าง
เจนนิษฐ์ : ไม่เคยมีตอนดุเลย แต่เราไม่เคยเจอตอนดุเลยนะ เคยมีคนบอกว่าถ้าเกิดพี่เดชจริงจังมากๆ ก็จะดุ แต่เรายังไม่เคยโดนดุเลย ทำงานกับพี่เดชก็สบายๆ ดีนะคะ
มิวสิค : สนุกนะ รวมถึงทำงานกับคนในกองถ่ายเองก็สนุกและตลกกันตลอดเวลา มีพี่ๆ พาไปเที่ยว คือหนูมีบางช่วงที่ว่างพี่ๆ เขาก็จะพาไปเที่ยวพาไปกินของอร่อยที่จันทบุรีด้วย รู้สึกชอบจังหวัดนี้นะ เหมือนเราไปพักผ่อนหย่อนใจ
เจนนิษฐ์ : ที่สำคัญคือได้เพื่อนใหม่ๆ เป็นพี่ทีมงานในกองถ่ายด้วย เวลาเรามีอะไรสงสัยเราก็จะถามเขาได้ทุกอย่างเลย คือเราอยากรู้ว่าหน้าที่ทีมงานแต่ละฝ่ายทำอะไรเขา เราก็เลยถามแล้วก็สบายใจเวลาทำงาน
The MATTER : ทั้งสองคนอินกับประเด็นแบบไหนในหนังเรื่องนี้บ้าง
เจนนิษฐ์ : ถ้าเป็นหนูจะอินเรื่องครอบครัว พอครั้งที่ไป Read Through ครั้งแรก เราอ่านบทจบก็ร้องไห้ ไปสะดุดตรงเรื่องครอบครัวของซู เป็นความสัมพันธ์ที่หนูอินที่สุดเลย
มิวสิค : ของหนูเป็นเรื่องชีวิต อ่านบทแล้วก็รู้สึกว่า ชีวิตนี้ของเรามีอะไรที่เราเลือกได้บ้าง มีที่ตรงไหนที่เป็นของเราจริงๆ รึเปล่า พออ่านบทแล้วถามความรู้สึกตัวเองว่า ตรงนี้เบลชอบรึเปล่า มันก็เป็นความรู้สึกที่ตอบไม่ได้เหมือนกัน มันคงเป็นที่ๆ เราไม่ได้ชอบมาก แต่ต้องทนอยู่ไป มันมีบทหลายคำพูดเลยนะ ที่พูดถึงว่าชีวิตนี้มันมีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ รึเปล่า หรือเป็นที่ที่เป็นของเราจริงๆ ยังมีเรื่องความสับสนของเด็กวัยรุ่นที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง
The MATTER : ฟังดูแล้วก็เหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีคำตอบ
เจนนิษฐ์ : ใช่เขากำลังเล่าในพาร์ทของตัวละครทั้งสองคน แต่มันก็คงไม่ใช่คำตอบให้กับทุกคนอยู่แล้ว เพราะแต่ละคนก็คงมีคำตอบที่แตกต่างกัน
มิวสิค : มันเป็นหนังที่ชวนคิดนะ คือหนังแบบพี่คงเดชเลย (หัวเราะ) ทุกคนพูดไว้เลยว่า ถ้าเป็นหนังพี่คงเดชมันต้องเป็นหนังที่มากกว่าเรื่องของ BNK48 แน่นอน
เจนนิษฐ์ : อย่างน้อย ทุกคนก็น่าจะได้ยินชื่อหนังอย่าง SNAP กับตั้งวงมาบ้าง
The MATTER : พี่คงเดช มีแนะนำอะไรกับเราบ้างไหม
มิวสิค : ได้เยอะเลย พี่เดชเป็นคนที่เข้าใจชีวิตมากๆ
เจนนิษฐ์ : เพราะเขาเป็นคุณพ่อแล้ว (หัวเราะ)
มิวสิค : ได้คำแนะนำดีๆ เยอะเลย เช่น เรื่องการเรียน
เจนนิษฐ์ : ของหนูพี่เดชให้หนังสือมาอ่านสองเล่มคือ โซทรู้ธ กับหนังสือภาพอีกเล่มนึง พี่เดชเคยแนะนำหนูเรื่องถ่ายรูปวาดรูป รวมถึงเรื่องเขียนหนังสือด้วย หนูก็อยากเขียนหนังสือนะ แต่ยังไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เลย คือเป็นคนชอบคิดโปรเจ็กต์ไว้แต่ยังไม่ค่อยได้ทำ ใครสนใจก็ติดต่อได้นะครับ (หัวเราะ)
The MATTER : คุยเรื่อง BNK48 บ้าง ตอนนี้ก็เริ่มต้นวงมาเกือบสามปีแล้ว ถ้าย้อนกลับไปดูตัวเองวันแรกจะรู้สึกยังไง
เจนนิษฐ์ : ผอมจัง! (ตอบทันที) ทำไมหน้าตาดูเป็นเด็กๆ ตัวผอมๆ ตาโบ๋ๆ
มิวสิค : อาจจะเพราะตอนนั้นยังกินกันไม่ค่อยเยอะด้วย (หัวเราะ)
The MATTER : ในช่วงที่เดบิวต์ เคยนึกถึงภาพตัวเองในอนาคตข้างหน้าไหมว่า วงและสมาชิกแต่ละคนจะเดินมาไกลถึงขนาดนี้ได้
เจนนิษฐ์ : ไม่เลย ก็คาดหวังนะ ไม่ได้ชัดเจนว่าสองปีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือคิดว่ามันอาจจะมีโอกาสแบบนี้แหละ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วจะช้าแค่ไหน
มิวสิค : คิดว่าอาจจะต้องมีแหละ แต่ไม่รู้ว่ามันจะมาเร็วหรือช้า คิดว่ามีสักวันที่วงต้องแมส ไม่ได้คิดถึงขั้นว่าจะมีรายการ จะมีสารคดี หรือจะได้มาแสดงหนัง สิคไม่เคยคิดถึงเลยค่ะ คิดว่าวงมันคงโตเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าจะแมสได้ตอนไหน
The MATTER : ยังจำตู้ปลาวันแรกได้ไหม
เจนนิษฐ์ : ยังมีรูปอยู่เลยนะ มีคนเดินผ่านไปมา เขาคงสงสัยว่ามาออดิชั่นอะไรกัน เพราะใส่เสื้อใส่กระโปรงเหมือนกัน
มิวสิค : ตอนนั้นให้มีคนมากสุดไม่ถึง 20 คนมั้งนะ
The MATTER : ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองคนสงสัยหรือตั้งคำถามกับตัวเองในวงไหม ในทำนองคล้ายๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูและเบลในหนัง
มิวสิค : มันเป็นคำถามที่ไม่หมดหรอก เราถามตัวเองตลอดเวลา ทั้งเวลาที่ท้อและมีความสุขด้วยก็ตาม มันต้องถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ตัวเองได้คิด ว่าพื้นที่ตรงไหนที่เราต้องการ สิคเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามและหาคำตอบให้กับตัวเองตลอดเพื่อให้เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น
เจนนิษฐ์ : หนูไม่ค่อยมีคำถามอะไรแบบนั้น คือทำไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง ไม่ได้คิดว่าเมื่อไหร่จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรืออาจจะเพราะว่างานมันเยอะเกินไปเลยไม่ได้มีเวลาคิด
มิวสิค : มันอาจจะเป็นแค่การกลับมาบ้าน แล้วถามกับตัวเองว่า วันนี้เหนื่อยรึเปล่า สิ่งที่ทำมาสนุกไหม อะไรแบบนั้นมากกว่า มันเป็นถามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เจนนิษฐ์ : หนูค่อนข้างตรงข้าม (หัวเราะ) พอกลับไปก็คือจบแล้ว จะไม่คิดเรื่องงานต่อแล้ว หนูจะเป็นคนที่เวลาสงสัยอะไรก็จะหาคำตอบให้ได้เลยในทันที อยากรู้อะไร ต้องรู้ให้ได้เลยในตอนนี้ เพื่อจะได้ไปต่อได้ เราเลยต่างกันตรงนี้
มิวสิค : ดีนะ (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์ : อาจจะมีบ่นบ้างถ้างานออกมาไม่ดี อาจจะคิดนิดนึง แต่อีกวันนึงก็จะไม่พูดถึงมันแล้ว ไม่ค่อยยึดติดกับเรื่องที่ผ่านมา รู้สึกว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่า
มิวสิค : ฟังดูเป็นคนที่ตรงข้ามกันเลย เป็นขั้วบวกขั้วลบ (ยิ้ม)
The MATTER : ชีวิตจริงทั้งคู่ก็เป็นขั้วบวก-ขั้วลบเหมือนกับในหนังเลยไหม
เจนนิษฐ์ : ก็ประมาณนั้นนะ คนนึงเป็นคนนำ อีกคนเป็นคนตาม คนนึงแสดงออกมา คนนึงแสดงออกน้อย
มิวสิค : หนูเป็นคนชอบตามคนอื่นมากกว่า
เจนนิษฐ์ : สมมติว่ามีคนชวนไปกินข้าว สิคก็จะไปด้วย จะไม่ได้เป็นคนที่เสนอก่อน
มิวสิค ใช่ๆ หรือถ้าอยากกินอะไรที่เราอยากจริงๆ ก็จะปลีกตัวไปคนเดียว ไม่ค่อยกล้าชวนคนอื่นไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ตัวละครเบลก็น่าจะเป็น Extrovert นะ แต่เราน่าจะเป็น Introvert
เจนนิษฐ์ : อย่างเราจะมีหลายบุคลิก จะมีช่วยที่เป็นแบบซูก็มี คือแสดงออกแบบมินิมัล หรือบางช่วงที่อยากได้อะไรก็พูด หรือถ้าต้องแสดงความต้องการออกมาให้ชัดเจนก็จะทำไปเลย คือมีทั้งเหมือนและไม่เหมือนซูด้วย
The MATTER : เราได้เรียนรู้อะไรจากการรับบทนี้บ้าง ได้เข้าใจในตัวเองในเรื่องไหนมากขึ้นไหม
มิวสิค : ก็เยอะนะ คือเข้าใจแต่ไม่อยากบอก (หัวเราะ) คือเป็นความคิดที่ได้มาเก็บไว้แล้วก็ทบทวนกับตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่าสิคเป็นคนที่คิดมาก เวลาได้เรื่องราวต่างๆ มาก็จะเก็บมาคิดต่อบ่อยๆ
The MATTER : ประมาณว่าได้คำตอบที่ไม่เคยได้มาก่อน
มิวสิค : ใช่
The MATTER : อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดจากการแสดงครั้งนี้
มิวสิค : เปลี่ยนทรงผมสั้นแล้วรู้สึกสดใสขึ้น
เจนนิษฐ์ : กลายเป็นว่าผมยาวไม่เข้ากับสิคแล้วตอนนี้ เขาบอกว่าทรงผมเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนก็มีสิทธิเป็นแบบนั้นอยู่นะ (หัวเราะ) เห็นสิครู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น รู้สึกได้เป็นตัวเองมากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนจะรักษาความเป็นไอดอลมากกว่าตอนนี้
The MATTER : ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
มิวสิค : เพราะหาจุดที่เป็นของเราเองได้แล้วมั้งนะ เหมือนเบลเป็นความกล้าให้บางส่วน บางทีดูเบลแล้วพบว่ามีบางส่วนที่คล้ายกับตัวเอง เราก็หงุดหงิดนะว่าทำไมเบลเป็นคนแบบนี้ พอมาย้อนดูตัวเองก็ถึงรู้ว่า อ้าว เราก็เป็นแบบนี้เหมือนกันนี่ ก็เลยตรงนี้ถ้าแก้ได้กับตัวเองก็คงจะดี เราได้ปลดล็อคตัวเองเพราะเบล ตอนนี้เริ่มกล้าทำแล้ว
The MATTER : แล้วเจนนิษฐ์ล่ะ
เจนนิษฐ์ : หนูรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มหลงใหลในงานด้านการแสดงมากขึ้น ไม่ได้หมายถึงแค่นักแสดง แต่มันคือความสนใจในสายงานด้านนี้ ว่าจะเป็นคนเขียนบท งานด้านอาร์ท คือเริ่มก้าวขาเข้ามาในวงการนี้แล้วก็จะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ
มิวสิค : เพราะก่อนนหน้านี้เจนนิษฐ์จะพูดตรงขนาดนี้ว่าชอบอะไร แต่อันนี้คือชัดเจนมากว่าชอบอะไร
The MATTER : สุดท้ายแล้ว ทั้งสองคนอยากเป็นอะไรในแบบฉบับของตัวละครบ้างไหม
มิวสิค : ไม่ค่อยนะ เพราะรู้สึกว่าก็มีเจนนิษฐ์อยู่แล้ว คือมันต้องมีคนนึงนำ คนนึงตามนะ
เจนนิษฐ์ : นี่เป็นเบลในชีวิตจริงเลยนะเนี่ย ส่วนเราเองก็อาจจะเผลอเป็นซูในบางเวลา เช่น ฉันคิดถึงตัวเองมากเกินไปรึเปล่านะ
เลยต้องมามองในมุมคนรอบข้างบ้างว่า เรามองเห็นตัวเองมากไปรึเปล่า เราแคร์ความรู้สึกคนอื่นบ้างรึเปล่านะ เลยต้องมาใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น ทั้งเพื่อน ครอบครัว คนทำงานด้วยกัน