เฉียดๆ จะเป็นอีเวนต์ประจำปีไปแล้ว สำหรับ ‘ดราม่า’ ในพิธีถวายสัตย์ของชนชาวน้ำใจน้องพี่สีชมพู ที่มีให้ชมกันแบบเป็นซีรีส์สองปีติด
ทีนี้ก่อนที่จะมาลุ้นกันต่อว่า ในซีซั่นนี้เรื่องราวมันจะไปจบที่ตรงไหน? และจะมีให้ชมต่อในซีซั่นหน้าหรือเปล่า? เราก็ควรมาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับว่า ที่มา ที่ไป ของประเด็นเรื่องรัชกาลที่ 5 ทรงรับสั่งให้ยกเลิก ‘หมอบ’ ‘คลาน’ ‘กราบ’ และ ‘ไหว้’ (อันเป็นอาวุธทำลายล้างในตำนาน ระดับเดียวกันกับ ‘Dragon Glass’ หรือ ‘ผลึกแก้วมังกร’ ที่เป็นอาวุธชนิดเดียวที่ใช้ฆ่าไอ้พวกผีห่าฆ่าไม่ตายอย่าง White Walker ในซีรีส์เรื่องดังระดับ Game of Thrones เลยทีเดียว!) ซึ่งตัวเอกในเรื่องอย่างน้องเนเน่ยกมาอ้างถึงอยู่บ่อยครั้งนั้นคืออะไร? และมีประสิทธิภาพในการทำงานรุนแรงระดับไหน?
‘ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ให้ผู้น้อยเลิก หมอบคลาน กราบไหว้ ต่อเจ้านาย และผู้มีบรรดาศักดิ์’ เป็นส่วนหนึ่งของราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 1 วันจันทร เดือน 8 แรม ค่ำ 1 ปีจอฉศก 1236 แผนที่ 7 (อักขรวิธี และเว้นวรรคตามต้นฉบับ) ตรงกับปี พ.ศ. 2416 คืออะไรที่น้องเนเน่อ้างถึง โดยประกาศฉบับนี้นับเป็น ‘ปฐมราชโองการ’ ในรัชกาลที่ 5 เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดให้อาลักษณ์อ่านในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2416 ซึ่งก็คือปีที่มีระบุอยู่ในชื่อประกาศนั่นเอง
รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อเรือน พ.ศ. 2411 ในขณะทรงมีพระชนมายุได้เพียง 15 พรรษา ถือได้ว่าทรงเป็นเพียง ‘ยุวกษัตริย์’ และต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งก็คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงทำให้ต้องมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้ง เมื่อพระชนมายุครบ 20 พรรษา
และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในคราวนั้นจึงเปรียบเสมือนการเสด็จก้าวขึ้นสู่สถานะความเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ ของประเทศสยาม อย่างเต็มพระองค์ ดังนั้นอะไรก็ตามที่โปรดให้ประกาศ ด้วยการอ่านอย่างเสียงดังฟังชัด โดยเจ้าพนักงาน และลงพระปรมาภิไธยกำกับนั้นก็คือ ‘master plan’ หรือแนวทางหลักในการการบริหารแผ่นดินของพระองค์นั่นเอง
หลักใหญ่ใจความในประกาศฉบับนี้ก็คือ ตอนท้ายของประกาศที่ระบุเอาไว้ว่า
“…แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้ เหนว่าเปนการกดขี่แก่กันแขงแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น ได้ความเหน็ดเหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศผู้ใหญ่ก็การทำยศ ที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ ไม่ทรงเหนว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ผู้น้อยที่ต้องมากราบไหว้ให้ยศต่อท่านผู้เปนใหญ่นั้น ก็ต้องทนลำบากอยู่ จนสิ้นวาระของตนแล้วจึ่งจะได้ออกมา พ้นท่านผู้ที่เปนใหญ่ ธรรมเนียมอันนี้แลเหนว่าเปนต้นแห่งการที่เปนการกดขี่แก่กันทั้งปวง เพราะฉนั้นจึ่งต้องละพระราชประเพณีเดิมที่ถือว่าหมอบคลานเปนการเคารพอย่างยิ่งในประเทศสยามนี้เสีย…”
พูดง่ายๆ ว่า รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศให้ยกเลิกการ ‘หมอบ’ ‘คลาน’ ‘กราบ’ และ ‘ไหว้’ เพราะทรงเห็นว่า “เป็นการกดขี่แก่กันแข็งแรงนัก” แถมยัง “ไม่ทรงเห็นว่ามีประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย” (ปรับอักขรวิธีให้เป็นอย่างปัจจุบัน) ด้วยซ้ำไปนะครับ
ทั้งหมดนี้ พระปิยมหาราชก็ทรงใช้พระองค์เองเป็นตัวอย่างให้ประชาชน หรือใครต่อใครอีกบานตะเกียงได้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงพระทัยอันแน่วแน่ ด้วยการออก ‘พระราชบัญญัติ’ ซึ่งก็คือ ‘กฎหมาย’ อีกฉบับ ในราชกิจจานุเบกษาฉบับเดียวกันนี้เองโดยมีหลักใหญ่ใจความด้วยการระบุให้ ทั้งข้าราชบริพาร และประชาชนทั่วไปทั้งชายหญิง ‘ไม่ต้องหมอบกราบพระองค์’ และเปลี่ยนเป็นให้ ‘ยืนถวายคำนับ’ แทน
ในประกาศฉบับนี้ ยังมีเหตุผลในการยกเลิกการหมอบคลานกราบไหว้ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า
“…การที่เขาได้พร้อมกัน เลิกเปลี่ยนธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้นั้นก็เพราะเพื่อจะได้เหนความดีที่จะไม่มีการกดขี่กันในบ้านเมืองนั้นอีกต่อไป ประเทศใด เมืองใด ที่ได้ยกธรรมเนียม ที่เปนการกดขี่ซึ่งกันและกัน ประเทศนั้นเมืองนั้น ก็เหนว่ามีแต่ความเจริญมาทุกๆ เมืองโดยมาก…”
พูดง่ายๆ ว่าสำหรับพระองค์แล้ว หากสยามยกเลิกธรรมเนียมการหมอบคลานกราบไหว้ที่มีมาแต่เดิมแล้ว ประเทศก็จะเจริญขึ้น เพราะได้ยกเลิกเอา ‘การกดขี่ซึ่งกันและกัน’ ออกไปจากสังคม
และก็เป็นคำว่า ‘การกดขี่ซึ่งกันและกัน’ นี่แหละครับ ที่มีอยู่ให้เกลื่อนทั่วไปหมดในประกาศฉบับนี้ จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น ‘main idea’ ของการยกเลิกการหมอบคลานกราบไหว้นี้เลย (โดยถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็คงจะเป็นทำนองเดียวกับพระราชดำรัส ‘เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม’ ที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นเอง)
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พระราชกรณียกิจตลอดทั้งรัชสมัยของพระปิยมหาราชนั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึง อะไรที่ทรงได้ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน แถมยังชัดเจนในมาตรฐานระดับ Full HD เสียด้วย
เพราะว่าในเวลาเพียงแค่อีกหนึ่งปีต่อมา พระองค์ก็ได้ทรงประกาศพระราชดำริว่า จะทรง ‘เลิกทาส’ ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่จะเริ่มเมกะโปรเจกต์การเลิกทาสของพระองค์ด้วย การออกกฎหมายฉบับหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย’ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2417 อันเป็นการเปิดศักราชของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการคนของสังคมสยามเลยทีเดียว และก็แน่นอนว่า การเลิกทาสนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการยกเลิกเอา ‘การกดขี่ซึ่งกันและกัน’ ออกไปจากสังคมของพระองค์
กล่าวโดยสรุป ‘พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย’ คือการแก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ เพื่อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของค่าตัวทาส ซึ่งมักจะมีการโก่งและขึ้นราคา เนื่องจากนายทาสมักจะนิยมสะสมทาสเพื่อแสดงศักดิ์ และบารมีของตนเอง โดยพระราชบัญญัตินี้บังคับให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุได้ 20 ปี เมื่ออายุได้ 21 ปี ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ แต่จะมีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมาเท่านั้น และห้ามไม่ให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก เรียกได้ว่า เป็นการค่อยๆ ลดจำนวนของทาสออกจากสังคมไทยนั่นแหละ
อันที่จริงแล้ว เมกะโปรเจ็คการเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 จึงเป็นกระบวนการที่สืบเนื่องยาวนานนะครับ เริ่มตั้งแต่พระราชดำริเรื่องที่จะยกเลิก ‘การกดขี่ซึ่งกันและกัน’ ในสังคมสยามยุคนั้น ด้วยการยกเลิกการหมอบคลานกราบไหว้ ตั้งแต่ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่ทรงได้ดำรงสถานะพระมหากษัตริย์สยามอย่างเต็มพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2416 จากนั้นจึงทรงค่อยๆ ดำเนินการเลิกทาสอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีกหนึ่งปีต่อมา จนสำเร็จเสร็จสิ้นเอาเมื่อสามารถออก ‘พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124’ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2448 เป็นเวลาถึง 32 ปี นับจากประกาศยกเลิกหมอบคลานกราบไหว้เลยทีเดียว
พูดง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า ‘ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ให้ผู้น้อยเลิกหมอบคลาน กราบไหว้ต่อเจ้านาย และผู้มีบรรดาศักดิ์’ ที่น้องเนเน่อ้างถึงนั้น เป็นโครงการพระราชดำรินำร่องสำหรับโปรเจกต์การเลิกทาสที่คนไทยซาบซึ้งกันนักหนา หมายความว่า ถ้าใครยังเลือกที่จะภูมิใจกับ ‘การเลิกทาส’ ของพระองค์ ก็ไม่ควรจะทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับประกาศฉบับนี้ เพราะมันจะดูไม่คูล และไม่ได้ลุคปัญญาชนเอาเสียเลย
ก็อยากที่บอกนะครับว่า ‘ประกาศเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ให้ผู้น้อยเลิกหมอบคลาน กราบไหว้ต่อเจ้านาย และผู้มีบรรดาศักดิ์’ ที่น้องเนเน่อ้างถึงนั้น เทียบได้กับ ‘ผลึกแก้วมังกร’ ซึ่งเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถใช้ปราบ White Walker ลงได้ อย่างที่พวก The First Men เคยทำเอาไว้เมื่อแรกเข้ามาถึงทวีป Westeros เมื่อครั้งยังเป็นแดนเถื่อน
และอันที่จริงแล้ว ต่อให้ไม่มีความรู้ทางโบราณคดีมากนัก ก็คงพอจะดูออกว่า ไอ้ผลึกแก้วมังกรในซีรีส์ดังเรื่องนี้นั้นก็คือ ‘ขวานหิน’ ของมนุษย์ยุคเก่ากึ้กนั่นเอง (แต่ถ้าพอจะมีความรู้มากหน่อย ก็คงจะพอดูออกว่า มันคือเครื่องมือหินออบซิเดียน, Obsidian stone tools, ที่มีอายุเก่าแก่นับแสนปี)
บางทีกับพวกผีห่าโบราณอย่าง White Walker นั้น บางทีก็ต้องใช้เครื่องมือโบราณกาลอันไกลโพ้นอย่าง ‘ขวานหิน’ นี่แหละครับ ถึงพอจะสู้กับมันได้