ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องการจับมือกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ (ที่ตอนนี้ฝั่งประชาธิปัตย์พาเหรดกันออกมาบอกว่า “ไม่เอาด้วย” แล้วนั้น) มีความเห็นต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองนี้กันอย่างหลากหลายครับ แต่มีกรณีหนึ่งที่ค่อนข้างจะดังเป็นพิเศษ และถูกพูดถึงกันไม่น้อยนั่นคือกรณีที่คุณพรชัย กฤษฎี หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ม้า อรนภา’ นั้น ได้ออกมาพูดในรายการ ‘ข่าวใส่ไข่’ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 (ณ นาทีที่ 05.32) ว่า
“ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยจะจับมือกัน! แล้วกูจะเป่านกหวีดไปทำไมวะ? …จะไม่มีการเป่าอีกแล้ว จะไม่ช่วยอีกแล้ว”
เหตุที่ผมอยากนำเอาความเห็นนี้ (ซึ่งเป็นความเห็นในเชิงสาธารณะแล้ว เพราะพูดชัดๆ ออกรายการในทางสาธารณะ) ของคุณม้ามาพูดคุยกันนั้นก็เพราะว่า นอกจากผมมองว่ามันเป็นวิธีคิดที่สะท้อนความละโมบทางการเมืองอย่างล้นเกินของเหล่าผู้ชุมนุมสายนกหวีดที่ยังคงมีวิธีคิดแบบเดียวกันนี้แล้ว ยังสะท้อนภาพที่น่าสนใจต่อมุมมองของกองเชียร์ที่มีต่อพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยอย่างประชาธิปัตย์ด้วยครับ
ทำไมผมจึงบอกว่าวิธีคิดแบบนี้ของคุณม้าและคนอื่นๆ ที่คิดในทำนองเดียวกันนั้นเป็นความละโมบทางการเมือง? เพราะการพูดแบบนี้ราวกับว่าหากประชาธิปัตย์เกิดจับมือกับเพื่อไทยขึ้นมาจริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ทำไป (ไปเป่านกหวีด, ชุมนุม ฯลฯ) ได้ลงทุนลงแรงไปนั้นจะสูญสิ้นความหมายในทันที ไม่มีประโยชน์หรือไร้ซึ่งดอกผลใดๆ ไปเสียเลย หากคุณมองแบบนั้นจริงๆ แล้ว ก็คงต้องนับว่าละโมบมากๆ เพราะ ‘ดอกผลทางการเมืองจากการเป่านกหวีดของพวกคุณในวันนั้น’ อาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในการกระทำทางการเมืองที่เห็นดอกผลชัดเจนที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
การเป่านกหวีดของพวกคุณม้านั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านำมาซึ่งการรัฐประหารและการเข้าปกครองบริหารประเทศโดยรัฐบาลทหารชุดปัจจุบันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีมาแล้ว พวกคุณนำมาซึ่งแผน 20 ปี นำมาซึ่งมาตรา 44 นำมาซึ่ง คสช. นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 นำมาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งอีกเกือบค่อนสภาผู้แทนราษฎร์ และอาจจะพูดเลยไปได้ถึงการเป็นผู้นำมาซึ่งสภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำครับ
มากถึงเพียงนี้แล้ว คุณยังคิดจริงๆ หรือว่า หากเพียงแค่เพื่อไทยเขาจับมือกับประชาธิปัตย์ขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่พวกคุณลงแรงไปนั้นจะสูญเปล่า? ไม่เลยครับ การลงทุนลงแรงของพวกท่านเพื่อที่จะกำจัดสิ่งที่เรียกว่าผีทักษิณหรือระบอบทักษิณให้ได้ โดยแลกมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือในประเทศนี้ จะยังคงตามหลอกหลอนเราไปอีกยาวนานแน่นอน ต่อให้ข่าวลือที่ไม่น่าจะจริงเรื่องการร่วมมือกันนั้นเป็นจริงขึ้นมา
ดอกผลที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างรัฐธรรมนูญและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ถูกบังคับเป็นเงื่อนไขตามกฎหมายให้รัฐบาลใดก็ตามที่ได้รับเลือกขึ้นมาต้อง ‘ดำเนินการตาม’ หรือตัวรัฐธรรมนูญเองที่จะแก้ไข หรือลงมติยกเลิกแล้วร่างใหม่ก็ยากแสนยาก รวมไปถึงการสร้างหมากทางการเมืองอันแทบไม่มีทางที่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาลที่คุณลงทุนลงแรงเป่านกหวีดเรียกนั้นมาจะชนะได้ ผมไม่แน่ใจว่าคุณมองเห็นมันเป็นอะไรหากไม่ใช่ผลงานชิ้นโบว์แดงทางการเมืองในชีวิตของพวกคุณ?
เท่านี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ เท่านี้ยังรีดเค้นเอาสิทธิเสรีภาพและลมหายใจของคนอื่นๆ ที่เห็นต่างจากพวกคุณไม่พออีกหรือ?
ด้วยความที่ตัวผมเองค่อนข้างจะยุ่งกับงานหลายทาง จึงทำให้ล่าช้าในการอัพเดตหนังสือหลายๆ เล่ม เร็วๆ นี้ผมเพิ่งได้ตั้งหลักอ่านผลงานก้องโลกของ Yuval Noah Harari ที่ชื่อว่า Sapiens ครับ (ตอนนี้มีฉบับแปลไทยแล้ว หนังสือดีมาก แนะนำให้อ่านกันดูนะครับ) ใน Sapiens นั้นมีข้อเสนอหนึ่งของแฮรารีที่เสนอไว้ในช่วงต้นเล่มและผมเห็นว่าน่าสนใจมาก นั่นก็คือ หนึ่งในทักษะที่เฉพาะมากๆ ของเซเปียนส์ หรือก็คือ ‘มนุษย์แบบเราๆ เองนี้’ มี แต่มนุษย์อื่นๆ เมื่อหลายปีก่อนไม่มีและทำให้ท้ายที่สุดเรากลายเป็นมนุษย์สปีชีส์เดียวที่เหลือรอดมาได้นั้นก็คือ ความสามารถในการใช้ภาษาที่พรรณาถึงสิ่งซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริงได้ อีกเรื่องก็คือความสามารถในการสะสมองค์ความรู้และปรับตัวอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่ได้รับมาครับ
แฮรารีอธิบายไว้ว่า เพราะเรามีภาษาที่สามารถพรรณาถึงภูติผี ศาสนา กฎหมาย ระบอบการปกครอง สิทธิมนุษยชน บทลงโทษ และอื่นๆ ซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริงได้ ทำให้เซเปียนส์นั้นสามารถสร้างเรื่องราวและระบบกฎเกณฑ์ร่วมกันเป็นหมู่มาก รวมถึงทำความเข้าใจและให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จริงหรือจับต้องได้ชัด นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่สำคัญและจำเพาะมากของสปีชีส์เรา แต่น่าแปลกที่คุณม้าดูจะมองไม่เห็นความสำคัญของสิ่งซึ่งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ที่ถูกพลังนกหวีดของพวกคุณทั้งทำลายไปและทั้งที่สร้างขึ้นมาใหม่เลยครับ
ไม่เพียงเท่านั้น อีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญมากของเซเปียนส์ก็คือการรู้จักสะสมองค์ความรู้และปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจากความรู้ที่สั่งสมมา หรือที่ได้รับเข้ามาใหม่ๆ ว่าง่ายๆ ก็คือ เซเปียนส์มีสมองที่สามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนความเข้าใจหรือทัศนคติที่ตนเองมีต่อโลกได้ตลอดเวลานั่นเองครับ
แต่ก็น่าแปลกอีกนั่นแหละ ที่ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสี่ปีแล้ว และเหตุการณ์แบบเดิมๆ ความฉิบหายแบบซ้ำๆ การผิดสัญญาแบบหน้าด้านๆ นั้น เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกนับครั้งแทบไม่ไหวมาตลอด 4 ปีกว่าๆ นี้ ผมเลยสงสัยจริงๆ ครับว่าความสามารถในการทำความเข้าใจและปรับวิธีการมองโลกได้ใหม่ตามความรู้ใหม่ๆ ที่เข้ามาของคุณนั้นหายไปไหนหมด? ถึงได้มองไม่เห็นในสิ่งที่ชัดคาตามากๆ ทั้งหมดที่ผมไล่มาก่อนหน้านี้? คุณม้าอาจจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้นะครับ ไม่ผิดอะไร อย่างมากก็แค่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งทางความคิดกับผมเท่านั้นเอง แต่การพูดออกมาเสมือนว่ามองไม่เห็นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น และราวกับว่าหากเกิดการจับมือ ทุกสิ่งที่ตนได้ลงแรงจะมลายหายไปหมดสิ้นนั้น ผมคิดว่าค่อนข้างเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้นัก
หากคุณมองไม่เห็นดอกผลของการเป่านกหวีดจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมคิดว่าตามข้อเสนอของแฮรารี คุณก็ดูจะขาดคุณสมบัติที่สำคัญมากๆ ของการเป็นเซเปียนส์นะครับ เพราะขาดทั้งความสามารถในการรับรู้และเข้าใจได้ถึงสิ่งที่อาจไม่มีตัวตนอยู่จริง อย่างกฎหมาย หรือระบอบการปกครอง อันเป็นผลพวงมาจากชุดภาษาของเซเปียนส์ และขาดทั้งความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะทางความรู้ใหม่ๆ (ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติการรับรู้ของมนุษย์เซเปียนส์) นั่นเอง ผมเลยไม่แน่ใจว่าหากวัดด้วยเกณฑ์เชิงคุณสมบัติของแฮรารีที่ว่ามานี้ คุณพรชัยนั้นจะจัดอยู่ในสปีชีส์โฮโม เซเปียนส์ (Homo Sapiens) ได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าข้อสังเกตของคุณม้าก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยนะครับ คือ อย่างน้อยๆ จากข้อความของเขา ก็ชัดเจนว่าขั้นต่ำที่สุดก็คือ “ไม่เอาเพื่อไทย และมีใจเชียร์พรรคประชาธิปัตย์อยู่ และช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์โดยการไปเป่านกหวีด” (คือ โดยบริบททางการเมืองแล้ว เราคงไม่สามารถตีความได้เลยว่าคุณพยายามจะช่วยพรรคเพื่อไทยด้วยการไปเป่านกหวีด) นั่นแปลว่าสำหรับผมแล้วมันคือเรื่องที่ชัดเจนมากว่า ขนาดคนอย่างคุณยังมองออกเลยครับว่า การเป่านกหวีดนั้น เป็นการทำเพื่อช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามบอกปัดตลอดเวลาว่า ม็อบนกหวีดกับพรรคนั้นเป็นคนละส่วนกัน และก็ดูจะเชื่อจริงๆ ว่ายังคงมีคนพอจะเชื่ออยู่ด้วย ผมคิดว่าความคิดเห็นของคุณพรชัยนั้นอย่างน้อยก็พอจะบอกอะไรกับทางประชาธิปัตย์ได้บ้างนะครับว่า คำอ้างลักษณะดังกล่าวนั้นมันใช้ไม่ได้ผลหรอก ไม่ว่าจะกับเซเปียนส์หรือไม่เซเปียนส์
อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ แม้แต่คนอย่างคุณม้าเองยังเข้าใจว่าสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น หากไม่ ‘ช่วยเหลือ’ ด้วยวิธีการอย่างการเป่านกหวีด ก็ดูท่าจะไปไม่รอด ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว มุมมองและจุดยืนแบบนี้ของตัวกองเชียร์ประชาธิปัตย์เองนี่แหละครับ ที่บอกกับเราว่า “หากไม่ใช้วิธีที่เรียกร้องไม่ช่วยเหลือด้วยวิธีการนอกระบบแบบนี้ก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะเกมการเมืองในระบอบประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ที่เรา (= คุณพรชัย) เชียร์ก็คงจะไม่มีทางชนะแน่ๆ” วิธีคิดเช่นนี้ของกองเชียร์ประชาธิปัตย์จึงดูจะสะท้อนออกมาผ่านการกระทำว่า หากพรรคที่ตัวเองเชียร์จะไม่ชนะในเกมระบอบประชาธิปไตย ก็ช่วยด้วยการล้มระบอบประชาธิปไตยมันไปเสียเลย ให้พรรคที่ตัวเองเชียร์ได้มีโอกาสรอดบ้าง และให้พรรคที่ตัวเองเกลียด ซึ่งดูจะชนะในเกมเสมอนั้นได้ตายลง
อย่างงี้แหละครับ คุณเขาคงจะรักมาก เมื่อพรรคที่รักมากไปมีข่าวว่าจะไปจับมือถือแขนกับคนที่เขาเกลียดสุดๆ ก็คงได้แต่งอนตุ๊บป่องไป เหมือนคนรักไปมีชู้กับคนที่เกลียดที่สุดนั่นกระมัง แต่ยังไงก็อย่าลืมลองไปหา Sapiens มาอ่านดูนะครับ ดีมากๆ มีฉบับแปลไทยแล้วด้วย