เนื่องจากทรวงอกเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่บ่งบอกเพศสรีระ เช่นเดียวกับจู๋กับจิ๋ม ขณะเดียวกันหัวนมก็เป็นจุดเสียว เป็นอวัยวะที่ไวต่อการสัมผัสและการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ และสำหรับสรีระหญิงหน้าอกจะขยายขนาดเป็นเต้าขึ้นเมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ และยังสามารถทำหน้าที่ทั้งด้านโภชนาการและแหล่งอาหารธรรมชาติให้กับทารกหลังตั้งครรภ์ได้ ในฐานะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดยกับเฉพาะสรีระหญิง เต้านมหรือหน้าอกยังถูกกลายเป็นสัญลักษณ์ ‘ความเป็นหญิง’ เป็นอีกหนึ่งที่ในบางวัฒนธรรมจัดวางให้เป็นอวัยวะของสงวนพิเศษที่ต้องปกปิด เหมือนจู๋กับจิ๋ม
อันที่จริงก่อนหน้านั้นหัวนมผู้ชายก็เป็นสิ่งต้องห้ามบนที่สาธารณะเช่นเดียวกับหัวนมผู้หญิง จุดเปลี่ยนมันเกิดในทศวรรษ 1930 เมื่อชาย 4 คนไปเปลือยหน้าอกที่ Coney Island และถูกจับกุม จากนั้นในปี ค.ศ.1935 กลุ่มผู้ชายจึงลุกขึ้นประท้วงด้วยการถอดเสื้อเปลือยอกที่ชายหาดของ Atlantic City หนุ่ม ๆ ผู้ประท้วง 42 ถูกจับกุม แต่นั่นก็จุดกระแสให้ความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ ในปีถัดมาหน้าอกที่เปลือยเปล่าของผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งลามกอนาจารอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับขบวนการเคลื่อนไหวเปิดอกของผู้หญิงกลับล่าช้าและยังไม่ชนะ ภายใต้เงื่อนไขปิตาธิปไตย แม้แต่ยกทรงก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงต้องสวมใส่ก่อนออกจากบ้าน เพื่อปกปิดหัวนมและประคองเต้าไม่ให้กระเพื่อมเวลาขยับตัว ยกทรงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของระบบสองมาตรฐานบนเนื้อตัวร่างกายผู้หญิงกับผู้ชาย มันถึงมีขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิสตรีที่เรียกกันว่า ‘bra-burn feminist’ (ไม่ว่าในเหตุการณ์ที่พวกเธอออกมาประท้วงจะจุดไฟเผายกทรงจริงหรือไม่ก็ตาม) ที่ผู้หญิงออกมาประท้วงเวทีนางงามอเมริกาที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ ในปีค.ศ.1968 โดยการถอดยกทรงรองเท้าส้นสูงและลิปสติกในฐานะเครื่องมือทรมานสตรีขว้างลงในถังขยะที่เขียนไว้ว่า ‘Freedom Trash Can’ แม้ว่าแกนนำประท้วงจะออกมาบอกว่าเรื่องที่พวกเธอเผาบราไม่ได้เป็นการเผาจริง แต่สำนักข่าวท้องถิ่นวันนั้นบอกว่าไม่ใช่การเผาหลอก
ขบวนการ topfreedom ยังคงดำเนินเรื่อยมานำไปสู่แคมเปญ Free the Nipple ในปี ค.ศ.2012 เพื่อที่จะยกเลิกหรือคว่ำกฎหมายที่เป็นการเลือกปฏิบัติและสองมาตรฐานระหว่างหัวนมผู้หญิงกับหัวนมผู้ชาย ให้ผู้หญิงสามารถเปลือกอกบนที่สาธารณะได้ไม่ผิดกฎหมายเหมือนกับที่ผู้ชายสามารถทำได้ เพราะหัวนมของพวกเธอไม่ใช่ความลามกอนาจาร ไม่ใช่อวัยวะที่น่าละอายขายหน้าบนที่สาธารณะ พวกเธอไม่ได้ออกมาห้ามผู้หญิงใส่บรา หรือด่าว่าบราเป็นแอกพันธนาการให้ผู้หญิงสยามยอมอำนาจผู้ชาย แต่ให้บราเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ใครใคร่ใส่ ใส่ ใครใคร่ไม่ใส่ ก็ไม่ต้องใส่ เพราะผู้หญิงเป็นเจ้าของเนื้อตัวร่างกายมีอำนาจในการตัดสินใจจัดการของพวกเธอเอง การเปลือยอกการไม่ใส่บราไม่สามารถตัดสินได้ว่าพวกเธอเป็นหญิงไม่ดี หรือเป็นขั้วตรงข้ามกับศีลธรรมอันดีงามประเพณีดั้งเดิม เหมือนเพลง ‘โนบรา-โนราห์’
และเมื่อพื้นที่สาธารณะเป็นมิตรกับหัวนมผู้หญิง แม่ลูกอ่อนก็จะสามารถรู้สึกอิสระปลอดภัยกับการให้นมลูกนอกบ้านได้ ไม่ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนกระเตง ๆ ลูกเข้าห้องน้ำ
ขณะที่หัวนมผู้ชายถูกมองว่าเป็นเรื่องปรกติบนที่สาธารณะพอๆ กับข้อศอก ผู้ชายถอดเสื้อบนชายหาด สระว่ายน้ำ วิ่งจ๊อกกิ้งในหมู่บ้าน ขนผักขนอิฐหินปูนทราย เป็นเรื่องปรกติ แต่ผู้หญิงแค่ไม่ใส่ยกทรงออกจากบ้านก็ผิดแล้ว ในบางวัฒนธรรม เช่นโรงเรียนไทย นักเรียนหญิงใส่ยกทรงอย่างเดียวยังไม่พอ พวกเธอยังถูกบังคับให้ใส่เสื้อทับอีก หาว่าเดี๋ยวก้มๆ เงยๆ เหงื่อออก ฝนตก หรือร่องเสื้อระหว่างกระดุมอ้า แล้วจะโป๊ อากาศร้อนก็ร้อน เปลืองเงินซื้ออีก บางที่บังคับสีเสื้อทับต้องเป็นสีขาว ห้ามเป็นสีอื่นอีกเพราะโรงเรียนเชื่อว่าไม่สุภาพ
สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับเนื้อตัวร่างกายนักเรียนชาย
หน้าอกที่เป็นอวัยวะของพวกเธอเอง แต่กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้อื่นเข้ามาจัดการนิยามคุณค่าอีกที เหมือนกับที่นักเรียนหญิงต้องสวมเสื้อทับยกทรงอีกทีเพื่อป้องกันใครกวาดสายตาไปเห็นแล้วไปยั่วยุกำหนัดเค้า กลายเป็นการจัดการอารมณ์ทางเพศผู้ชาย ด้วยการกำกับที่ผู้หญิงแทน ซึ่งนั่นก็เป็นลักษณะของปิตาธิปไตย
ทั้งๆ ที่การเกิดอารมณ์เป็นเรื่องของบุคคลนั้นๆ ในระดับปัจเจกที่เค้าต้องจัดการตอบสนองเองหรือควบคุมกำหนัดของเขาเอง ไม่ใช่เที่ยวไปสั่งใครไม่ให้ทำคนอื่นเกิดอารมณ์
ขณะเดียวกันผู้ชายได้รับอภิสิทธิ์และอิสระทางเพศมากกว่าผู้หญิง จะมองจะทำจะพูดอะไรก็ไม่ผิด อย่างน้อยก็อนุโลมให้ผิดน้อยกว่าถ้าเทียบกับผู้หญิงทำในกรณีเดียวกัน มีสถาบันทางสังคม กฎหมายออกมารับรอง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็กรณีเคลื่อนไหว shitless ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายนี่แหละ และวันดีคืนดีจึงมีผู้ชายออกมาบอกเคล็ดลับแอบมองนมสาวที่ว่า ประเภทกระดุมเสื้อเชิ้ตผู้หญิงมักอยู่ด้านซ้าย ถ้าอยากแอบมองนมผ่านช่องว่างระหว่างกระดุมให้นั่งทางซ้ายมือสาว ออกมาป่าวประกาศว่า ผู้ชายมองนมผู้หญิงนี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้ชายคนไหนก็ย่อมทำกันทุกคนเป็นธรรมดาเหมือนกับที่ใครๆ ย่อมตกใจแมลงสาบ เพราะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เป็นสัญชาติญาณมนุษย์ผู้ชาย ผู้ชายมีความกระสันคันเงี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป มีน้ำอสุจิที่ผลิตเหมือนบ่อน้ำพุร้อน มีความต้องการทางเพศเป็นแรงขับให้ปฏิเสธไม่ได้ที่จะไม่มองนมสาว กลายเป็นทัศนคติที่นำไปสู่ #มองนมไม่ผิด
การอ้างธรรมชาติไม่เพียงเป็นตัดบทสรุปว่าเป็นชุดความจริงแท้แน่นอนเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก แล้วก็ตกทิศตะวันตก เพื่อไม่ต้องมีข้อถกเถียงมากกว่าจะพัฒนาสติปัญญาให้ซับซ้อนขึ้น จนกลายเป็นการมองข้ามเรื่องเพศในแง่อื่น รวมทั้งสุนทรียศาสตร์ ราวกับว่า ปี้ ๆ เอา ๆ เท่ากับหายใจเข้าหายใจออก ไม่ต่างอะไรกับที่อ้างสัญชาตญาณ ทั้ง ๆ ที่มนุษยชาติก็มีวิวัฒนาการมายาวนาน ศิวิไลซ์กันมาถึงขั้นนี้แล้ว มาไกลเกินจะขุดเอากำพืดสัตว์มาอธิบายแบบไม่อายบ้านที่ตนเองอยู่แทนถ้ำ ไม่เกรงใจถุงยางอนามัยที่เคยสวม เพราะอย่างไรเสียการคุมกำเนิดก็คือการทำให้เรื่องเพศไม่ได้เป็นไปเพื่อสัญชาตญาณ
#มองนมไม่ผิด (ซึ่ง ‘มอง’ คนละเรื่องกับ ‘กวาดสายตาไปเห็น’) จึงเป็นเพียงผลผลิตของปิตาธิปไตย ที่มักสร้างความชอบธรรมให้ผู้ชายไม่รู้สำนึกว่าอะไรคือลวนลามหรือไม่ลวนลามทางสายตา มองการคุกคามทางเพศคือเรื่องหยอกๆ ขำๆ และเป็นเพียงความอยากเห็นนมชาวบ้านตามที่สาธารณะ ที่คนละเรื่องอย่างสิ้นเชิงกับ free nipple ที่เป็นขบวนการปลกแอกผู้หญิงออกจากการบังคับเนื้อตัวร่างกาย และแน่นอน free nipple ก็คนละเรื่องกับการแต่งตัวยั่วยิ้ม ซึ่งการแต่งกายเปิดเผยไม่ใช่เรื่องผิด และก็เป็นความตั้งใจปรากฏตัวเช่นนั้นให้ดึงดูดสายตาไม่ว่าจะกับเพศใดก็ตาม เช่นจากภาพ Jayne Mansfield–Sophia Loren ในปี ค.ศ.1957
แต่ไม่ว่าผู้หญิงจะแต่งตัวอย่างไร โป๊แค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิเที่ยวไปเพ่งกสิณใส่เนื้อหนังมังสาเค้า ยิ่งไปมองจนเจ้าตัวรู้สึกไม่ปลอดภัยนี่ยิ่งผิดเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ว่าเพศวิถีใดก็อย่าหาทำให้ใครเป็นวัตถุเพื่อความพึงพอใจทางเพศของเราเอง เที่ยวไปบริโภคใครทางสายตา
แต่ก็นั่นแหละ มันก็จะมีสมาชิกปิตาธิปไตยมองนมไม่ผิด ออกมาเห็นดีเห็นงามขบวนการ topfreedom ไม่ใช่เพราะพวกเขาตระหนักว่าทุกเพศควรมีสิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาค หากแต่แค่อยากส่องนมสาวๆ ดูนมดาราแบบไม่เซนเซอร์ เป็นสภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล (+ , 0) เหมือนเหาฉลามเกาะติดกับปลาฉลาม คอยตอดเศษอาหารจากปลาฉลาม
ผู้ชายประเภทนี้แหละ ปากบอกปาวๆ ว่ามองนมได้ มองนมไม่ผิด เพราะนมก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย แต่พอตัวเองถูกมองหน้าบ้างกลายเป็นหาเรื่อง โมโหเป็นฟืนเป็นไฟจะต่อยกันจะเป็นจะตาย