(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของอนิเมะ Attack on Titan)
“กรีช่า ห้ามออกไปนอกกำแพงเด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจแล้วครับแม่”
นี่อาจไม่ใช่จุดเริ่มต้นของสงครามทั้งหมด แต่การรับปากที่ไม่สามารถทำได้ของเด็กชายและพี่ชายที่ชื่อ ‘กรีช่า เยเกอร์’ เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมและเรื่องราวทั้งหมดในที่เราได้เป็นพยานกันมาหลายต่อหลายปีใน Attack on Titan
เด็กชายคนหนึ่งผู้เป็นเชลยพาน้องสาวออกไปยังเขตหวงห้ามเพื่อไปดูเรือเหาะใกล้ๆ ซักครั้งในชีวิต เพียงเพราะความไม่รู้เดียงสาและคิดไม่ถึงว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ ด้วยกันจะโหดร้ายต่อกันได้ถึงเพียงนี้ จนนำไปสู่การเสียชีวิตของน้อง ความโกรธแค้น และการลุกต่อต้าน ไม่ยอมจำนนอีกต่อไป
กรีช่า เยเกอร์ เข้าร่วม ‘กองกำลังฟื้นฟูเอลเดีย’ ของนกฮูกราตรีเพื่อทวงสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ของชาวเอลเดียกลับมาอีกครั้ง และนั่นทำให้เขาพบรักกับสายเลือดราชวงศ์บริสุทธิ์อย่าง ‘ไดน่า ฟริทซ์’ สร้างครอบครัว มีลูกคือ ‘ซีค เยเกอร์’ ใส่ข้อมูลปลูกฝังความเกลียดชังให้กับลูกมากเกินไป จนซีคทรยศหักหลัง
กลุ่มกบฏโดนกวาดล้าง ภรรยาของเขาถูกฉีดไขสันหลังให้กลายเป็นไททันไร้สติปัญญา และตัวเขาเองได้รับสืบทอดพลังไททันจู่โจมเพื่อทำภารกิจยิ่งใหญ่ นั่นก็คือช่วงชิงพลังไททันบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นพลังที่สามารถชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของโลกใบนี้ได้
หลังจากการกระทำอันอุกอาจของกรีช่า เด็กนักรบมาเลย์ (เชื้อสายเอลเดีย) กลุ่มหนึ่งได้เดินทางจากบ้านไป แฝงตัวเป็นสปายที่โดยเริ่มต้นจากการทำลายกำแพงจนมีคนตายจำนวนมาก จากนั้นก็เกิดสงครามและความสูญเสียครั้งใหญ่ และที่สำคัญ มันได้ให้กำเนิดความเกลียดชังในใจของเด็กชายที่มีชื่อว่า ‘เอเรน เยเกอร์’ ที่บัดนี้ เขาได้นำความพิโรธโกรธแค้นหวนคืนมาสู่มาเลย์
และครั้งนี้ เช่นเดียวกันกับทุกๆ สงครามที่เกิดขึ้นบนโลกความจริงและโลก fictional มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ไม่ต่างจากตอนที่กลุ่มของไรเนอร์บุกเข้ามาจนทำให้ชาวเมืองในกำแพงเกาะสวรรค์ตาย แม่ของเอเรนถูกกิน
ซึ่งอนิเมะและมังงะเรื่องนี้ ก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าสะเทือนใจ ด้วยการให้เราเห็นชีวิตของชาวเกาะสวรรค์ในซีซั่นแรก กับอีกมุมของชาวมาร์เลย์กลุ่มเด็กนักรบรุ่นใหม่ในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะให้เราเห็นว่า เพื่อน ครอบครัว คนรู้จัก คนรัก และคนที่พวกเขาห่วงใยนั้นตายเพราะผลพวงสงครามไททันที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน และสงคราม = ความสูญเสีย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นคนผิด? การกระทำของเอเรนกับหน่วยรบเกาะสวรรค์ที่เป็นการโต้กลับและเปิดศึกก่อนในเวลาเดียวกันนั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่? และความเกลียดชังนี้จะดำเนินไปถึงเมื่อไหร่? หากต้องพูดถึงทั้งทั้งหมดนี้คงต้องย้อนกลับไปเมื่อราวๆ เกือบ 2 พันปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้น
“เด็กสาวบรรพบุรุษชาวเอลเดียที่ชื่อ ยูมีร์ ฟริทซ์ ได้ทำพันธะสัญญากับปีศาจเพื่อแลกกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ พลังแห่งไททัน และหลังจากที่ยูมีร์สิ้นใจ พลังของเธอได้ถูกแบ่งเป็นไททัน 9 ตน”
“จากนั้นการสร้างจักรวรรดิเอลเดียเริ่มต้นขึ้น เอลเดียบุกทำลายมาเลย์จนสามารถยึดครองดินแดนได้สำเร็จ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของยุคมืด ร่างแยกที่ได้รับพลังไททันรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ด้อยกว่าและเริ่มกดขี่พวกเขา ขโมยที่ดิน ทรัพย์สิน กำจัดประชากรทิ้ง บังคับให้เผ่าพันธุ์อื่นคลอดลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผู้สืบทอดพลังไททัน
จนกระทั่งชาวมาเลย์ได้ออกอุบายทำลายจากภายใน อีกทั้งยังสามารถควบคุมพลังไททัน 7 ใน 9 จนเอาชนะสงครามไททันได้สำเร็จ กษัตริย์ฟริทซ์จึงอพยพชาวเอลเดียไปยังเกาะสวรรค์แล้วสร้างกำแพงสามชั้นให้ผู้คนอาศัยอยู่ในนั้น”
นี่คือความจริงที่ถูกเปิดเผยเกี่ยวกับชาวเอลเดีย ที่ชาวมาเลย์รับรู้ ถูกปลูกฝัง และเชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ หลายคนน่าจะจำได้ดีว่าสมัยเรียนลูกเสือเนตรนารี จะมีการพูดต่อๆ กันจากหัวแถวไปยังหางแถว นั่นเป็นการสั่งสอนเด็กๆ ได้อย่างเฉียบคมและได้ผลว่า ข้อมูลที่พูดต่อๆ กันมานั้น มีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งนั่นเป็นการทดสอบที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
แต่เรื่องราวที่เรากำลังพูดถึง คือเรื่องราวเกือบ ‘สองพันปี’ เลยนะ
แย่ไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสสื่อสารบอกต่อและจดบันทึกผิดพลาด แต่ยังเป็นการจงใจใช้ propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ) โดยรัฐแห่งมาเลย์ ในการแต่งเสริมเติมสี บิดเบือนข้อมูล สร้างความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ไม่จบไม่สิ้น
ชาวมาเลย์เกลียดชังชาวเอลเดียเข้ากระดูกดำ ส่วนชาวเอลเดียที่มาเลย์เองก็รู้สึกถึงความต่ำเตี้ยเรี่ยดินราวกับไม่ใช่มนุษย์และเกลียดชังเผ่าพันธุ์ตัวเองเข้าไส้ มองว่าพวกเขากับพวกที่อยู่บนเกาะสวรรค์ในอีกฟากทะเลคือปีศาจร้ายที่สมควรหายไปจากโลกใบนี้
จะเห็นได้ว่าเหล่าเด็กๆ นักรบและครอบครัวที่แม้จะเป็นชาวเอลเดียแท้ๆ แต่ก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำ จะเป็นการทำลายชีวิตของผู้คนเชื้อสายเดียวกับตัวเอง มาเลย์ปลูกฝังตรงนี้มาอย่างได้ผล สร้างความรู้สึกน่าภาคภูมิใจให้ด้วย ‘การได้รับการยอมรับ’ หากทำภารกิจสำเร็จ
ณ เนื้อหาของอนิเมะตอนนี้ เราอาจยังไม่ทราบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรแบบ 100% แต่เราก็ได้ทราบมากพอจากคำบอกเล่าของ ‘วิลลี่ ไทเบอร์’ ผู้นำตระกูลไทเบอร์ ตระกูลท่ีถือครองพลังแห่งไททันค้อนสงครามที่เก็บงำความลับมาอย่างยาวนาน ภายใน ณ คืนงาน world summit ครั้งสำคัญที่สุดที่จัดขึ้นที่มาเลย์ ว่าแท้จริงแล้วทั้งหมดที่ชาวมาเลย์ได้รับรู้มาตลอดเป็นเรื่องที่ปั้นขึ้นมาเพื่อความสงบสุขของสองเผ่าพันธุ์
ในความเป็นจริงนั้น ‘คาร์ล ฟริทซ์’ กษัตริย์ราชวงศ์ฟริทซ์องค์ที่ 145 ตัดสินใจจับมือกับตระกูลไทเบอร์ สร้างวีรบุรุษปลอมๆ นามว่า ‘เฮลอส’ ขึ้นมา แล้วแต่งเรื่องให้เฮลอสร่วมมือกับตระกูลไทเบอร์เพื่อทำเหมือนว่าขับไล่ชาวเอลเดียไปจากเกาะได้สำเร็จ ทุกอย่างจบลง ได้ผู้แพ้แล้ว จากนั้นกษัตริย์ฟริทซ์ก็สร้างกำแพงด้วยไททันนับล้าน
และได้ล้างความทรงจำผู้คนในกำแพงให้ลืมความทรงจำและความเกลียดชังเหล่านั้นเพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมประกาศว่า “โลกภายนอกอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับดินแดนของเรา ไม่เช่นนั้นไททันไททันหลายสิบล้านตนจะถูกปลุกให้ตื่น และย่ำธรณีให้จม”
นั่นคือแผนการโต้กลับเมื่อถูกรุกรานที่กลับกลายเป็นว่าน่ากลัวยิ่งกว่าแผนการโจมตีเปิดศึกใดๆในโลกที่มีชื่อว่า ‘พิภพคำราม (The Rumbling)’ หรือการสั่งการปลุกไททันในกำแพงมาแสดงความหวาดกลัวให้โลกได้รู้สึกรู้สา ที่สามารถสั่งการได้โดยสายเลือดราชวงศ์เท่านั้น
การหลบหนีตัดปัญหาแบบนี้ ดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดีซักเท่าไหร่ เพราะมาเลย์ก็ยังมุ่งหวังจะช่วงชิงพลังไททันบรรพบุรุษอยู่วันยันค่ำ และเช่นเดียวกัน คำสารภาพกับการเปิดเผยของ วิลลี่ ไทเบอร์ เหมือนจะดูดีในทีแรก แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่วิลลี่ทำ ก็เลวร้ายไม่แพ้การบิดเบือนข้อมูล
เขานำเสนอความจริง โดยที่รู้ว่าตัวเองอาจไม่รอดและการซุ่มโจมตีจะเกิดขึ้นต่อหน้าเหล่าผู้นำโลกที่นั่งแถวหน้า (ที่มีโอกาสตายด้วยกัน) ทั้งหมดก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความจริงใจ และเพื่อให้โลกรวมใจมุ่งเป้าไปที่ตัวเอกของเรา หรือก็คือเขาใช้ความจริงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองเพียง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีของการใช้ propaganda ที่ได้ผลดีไม่แพ้วิธีนำเสนอด้านเดียวแบบเก่า
การที่วิลลี่เปิดเผยข้อมูล ยังทำให้เราทราบว่าความจงเกลียดจงชังที่ชาวมาเลย์มีต่อชาวเอลเดีย ส่วนหนึ่งเพราะเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว ชาวมาเลย์ไม่ได้รับความจริง 100% เรื่องที่พวกเขารับรู้มาตลอดคือฝั่งตัวเองน่าสงสาร และฝั่งนั้นคือปีศาจ นำไปสู่การบิดเบือนโจมตีและสร้างภาพลักษณ์ชาวเอลเดียให้ยังคงแย่อยู่เสมอ
สิ่งที่ตระกูลไทเบอร์ทำนอกเหนือจากการปล่อยให้มีการบิดเบือนข้อมูล การเก็บงำความลับนี้มาตลอดคล้ายกับภาพทหารที่มักถูกใช้เป็นตัวอย่างในวิชาสื่อสารมวลชนเบื้องต้นในหลายๆมหาวิทยาลัย เมื่อต้องพูดถึงการ propaganda ด้วยการนำเสนอ ‘ความจริง’
ความจริงโกหกและปั่นหัวคนได้อย่างไร? จะเห็นได้ว่าหากมองแต่ภาพซ้ายสุด ทหารคนนี้เหมือนจะโดนปืนจ่อหัวอยู่ ในขณะที่หากมองภาพขวาสุด เราจะเห็นเป็นเพื่อนทหารช่วยกรอกน้ำใส่ปากเพื่อนที่ดูอิดโรย และเมื่อมองภาพรวม จะเห็นชัดยิ่งขึ้นว่ามีทหารถึงสามนายด้วยกันที่อยู่บริเวณรอบๆ สองคนช่วยหลือ อีกคนยืนนอกเฟรม และมีเพียงปืนที่หลุดเข้ามาอยู่ในเฟรม
ไม่ใช่เพียงแค่ภาพ แม้กระทั่งหนังสารคดีที่มีคำนิยามว่า ‘นำเสนอความเป็นจริงที่เกิดขึ้น’ เอง ก็ยังผ่านการปรุงแต่งและสามารถเกิดความลำเอียงได้ จากการตัดต่อ การถ่ายทำการใช้มุมกล้อง การเลือกผู้ที่จะสัมภาษณ์ และเลือกฟุตเทจ เลือกใช้ข้อมูล เช่นเดียวกับวิลลี่ ไทเบอร์ ที่เลือกปล่อยข้อมูลเต็มชุดออกมาเพื่อจุดประสงค์ตามที่เขาต้องการเท่านั้น ไม่ใช่เพราะมันคือ ‘ความจริงที่ต้องพูด’
ในแรกเริ่มเดิมทีความผิดบาปของบรรพบุรุษชาวเอลเดียนั้นเป็นเรื่องจริง แต่นั่นมันเมื่อกี่พันปีแล้ว แล้วลูกหลานชาวเอลเดียทุกวันนี้ล่ะ พวกเขาทำอะไรผิด?
ประโยคในบทสนทนาหลายๆ ช่วงเป็นการตอกย้ำว่า ชาวเกาะสวรรค์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย (พวกเขาไม่มีความทรงจำด้วยซ้ำในตอนแรก) และไม่เคยได้มีส่วนในการกวาดล้างสังหารโหด การปกครองขู่บังคับอันไร้มนุษยธรรม และการฆ่าล้างเผ้าพันธุ์เหล่านั้นเลย ส่วนเมื่อได้เห็นเนื้อเรื่องและตัวละครฝั่งมาเลย์ มันพอที่จะทำให้เราเข้าใจได้บ้างว่า กลุ่มไรเนอร์กับกลุ่มกาบิที่เป็นเพียงแค่ ‘เด็ก’ เติบโตมาอย่างไร ได้รับข้อมูลแบบไหน มีความเชื่อและทัศนคติแบบไหน ถึงได้เกลียดชังชาวเกาะสวรรค์ยิ่งนัก
Attack on Titan แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามกับความเกลียดชังได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการตั้งคำถามว่า สงครามกับความเกลียดชังนั้นเริ่มต้นมาจากอะไร? มันส่งผลเสียอะไรบ้าง? แล้วไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หรือแม้ว่าผู้เริ่มต้นมันจะไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว เหตุใดมันถึงยังคงอยู่อย่างไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น? เหตุใดผู้คนถึงยังคงตั้งตัวเป็นศัตรูและเข่นฆ่ากันเพียงเพราะสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ก่อและเริ่มต้นไว้? และที่สำคัญที่สุด อะไรคือทางออกของสงคราม?
สำหรับจุดเริ่มต้น เราสามารถบอกได้แล้วว่ามันคือ ‘การที่มนุษย์ที่มีอำนาจเหนือกว่าปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างโหดร้าย’ ส่วนการหาทางออกนั้น ไม่ว่าเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร ในทิศทางไหน คำตอบของคำถามเหล่านี้ถูกใส่มาในรูปของคำถามสั้นๆ สุดท้ายก่อนการตายของ Marco Bott ตัวละครนึงที่อาจมีบทบาทไม่มาก ไม่เด่นสะดุดตา แต่มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการสะท้อนธีมของเรื่องราวนี้ Marco อาจกลัวตายตามวิสัยเหมือนมนุษย์ทุกคนที่ต้องกลัวเมื่อมันมาเยือนตรงหน้า แต่มากกว่าความกลัวตาย คือความสงสัย และประโยคคำถามนั้นคือ
“ทำไมกันล่ะ?
เรายังไม่ได้แม้แต่ลองพูดคุยหาทางออกกันเลยนะ?”
แท้จริงแล้ว หากต้องการให้สงครามจบลง (ไม่ว่าจะเป็นสงครามระดับสามีภรรยาทะเลาะกันไปจนถึงสงครามระหว่างประเทศ) เราทุกคนต่างรู้ดีว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มที่จะเปิดใจพูดคุยกันก่อน หรือต้องได้รับการตกลงปลงใจเจรจาจากทั้งสองฝ่าย
เพียงแต่สิ่งที่ผู้แต่ง Attack on Titan นำเสนอ คือสงครามที่ไปไกลเกินกว่านั้นแล้ว สงครามที่ดูจะกู่ไม่กลับและไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากความรุนแรง