ฉันโพสต์รูปฉันกับมื้ออาหารลงในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมคำรรยายใต้ภาพว่า “หิววววววว”
อะ ก็ปกติเนอะ ไม่แปลกอะไร
ที่มาแปลก มาแหวกก็ตรงที่มีคอมเมนต์ลึกลับ รูปโปรไฟล์ไม่ใช่หน้ามนุษย์ แต่เป็นรูปกีตาร์ (ซึ่งอันนี้ก็เป็นรสนิยมส่วนตัวน่ะนะ) มาทิ้งคอมเมนต์เอาไว้ใต้รูปว่า “ดูอ้วรมากแล้วนะครับ 555” (เขาสะกดแบบนี้บก.กรุณาอย่าแก้ไข)
แต่ก่อนฉันนั้นเป็นคนระวังกับการไปตอบคำถามอะไรพวกนี้พอสมควร (ถ้าไม่เล่นกันถึงพ่อถึงแม่น่ะนะ แบบนั้นฉันไม่ทนเอาจริงๆ) ได้แต่เก็บมาบ่นกับคนใกล้ชิด ว่าคนที่คอมเมนต์คนไม่รู้จักกัน (หรือเขารู้จักฉันอยู่ฝ่ายเดียว) ด้วยเรื่องรูปลักษณ์หรือสถานะ ว่าอ้วน ดำ ล่ำ สิว ถามเรื่องลูก ผัว หรือเงินเดือนนี่เขาเป็นคนแบบไหนกัน? โตมาแบบไหน? หรือไปขุดรูอยู่ตรงไหนมา ถึงไม่ได้รับรู้เลยว่านี่มันไม่มีมารยาทอย่างยิ่ง
แต่ฉันบ่นบ่อยเข้า ทั้งเพื่อนและหมอ (แน่นอนว่าหมอของฉันคือจิตแพทย์ที่รักษากันอยู่นั่นล่ะ) ก็แนะนำว่า, ไม่ต้องทนก็ได้นี่ คำว่า ‘ไม่ต้องทน’ ในที่นี้ ก็คือไม่ต้องยิ้มเจื่อนกับความเห็นเหล่านั้น แต่ก็ไม่ต้องไปไกลถึงขั้นเผาบ้านเขาเป็นการประท้วง
แต่จงตอบไปให้รู้ถึงความข้องใจ ความไม่ตลก ความถึงใส่ 555 มากูก็รู้ว่ามึงด่า หรือความอะไรต่อมิอะไรที่เรารู้สึกแบบเรียบๆ
คือ, ถ้าเขาบอกว่าเขาถามเพราะเป็นคนพูดตรงๆ เราก็ตอบกลับแบบเขานั่นล่ะ, คือตรงๆ เหมือนกัน
“ขอบคุณที่วิจารณ์โดยไม่ได้ขอค่ะ” นี่คือคำตอบจากฉัน
คือถ้าเขาบอกว่ามีเจตนาดี ฉันก็ยังมองไม่เห็นว่าดียังไง ถ้าเจตนาดี บอกคนนั้นคนนี้ว่าอ้วนแล้วจัดการไปสมัครฟิตเนสพร้อมจ้างนักโภชนาการมาดูแลให้แล้วนะ นั่นล่ะ ถึงจะเรียกได้ว่าเจตนาดี แต่พูดเฉยๆ นี่ดียังไง ฉันก็ตอบไปแบบนี้ แล้วเขาก็ “ขอโทษคร้าบบบบบ”
แต่คราวนี้ก็มีคนตาไวไปเห็นการสนทนาโต้ตอบนี้เข้า ก็เลยคอมเมนต์ต่อว่า-ไม่ควรวิจารณ์คนอื่นแบบนี้นะคุณ โดยเฉพาะคนไม่รู้จักกัน-เรื่องเริ่มสนุกแล้วล่ะ เพราะเขาก็มาตอบว่าเขาไม่ได้วิจารณ์นะ เขา ‘แซว’ ในฐานะแฟนคลับ อันนี้ล่ะที่ตลก
คนที่ติดตามฉันมาจริงๆ จะรู้ว่าฉันไม่ชอบและต่อต้านการทักทายกันด้วยลักษณะภายนอกเช่นนี้มากๆ ไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธความจริงว่าน้ำหนักขึ้นหรือน้ำหนักลง แต่กับทุกคนถ้าพอจะใส่ใจบ้าง ก็จะรู้ว่าฉันรักษาตัวอยู่ แล้วฤทธิ์ยามันก็ส่งผลต่อน้ำหนัก หรือเอาจริงๆ แล้ว, ฉันจะอ้วนขึ้นหรือผอมลงก็ไม่ใช่เรื่องจะมาพูดใส่กัน จะบอกว่าคนรู้จักไม่ควรพูดแล้ว คนไม่รู้จักยิ่งไม่น่าพูด
อะ ท่าทางคุณเขาจะเข้าใจอะไรยาก ฉันก็เลยแคปข้อความไว้ แล้วส่งต่อไปในโลกออนไลน์ จะว่าฉันเลวมั้ยที่ตอบโต้แบบนี้? ไม่รู้สิ แต่สำหรับคนที่ดูจะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรไม่เข้าท่า ก็คงต้องให้หลายๆ คนช่วยบอกล่ะมั้ง
ทุกคนก็ไปบอกว่า คุณไปวิจารณ์คนไม่รู้จักไม่ได้ ทางนั้นก็ยังพยายามบอกว่าเขาไม่ได้ไป ‘ว่า’ ใครที่ไหนไม่รู้แต่เขาพูดกับฉันที่เป็นดารา เออออออออ เรื่องนี้ล่ะที่แปลก
เพราะหลังๆ ฉันเห็นหลายคนอินกับดราม่าต่างๆ ของดารานักแสดงมาก แต่งตัวไปงานไม่สวยถูกใจถึงขั้นตามไปด่า (ต้องใช้คำว่าด่าจริงๆ คุณ มันไม่ใช่แค่ติชม หรือวิจารณ์) ในรูปส่วนตัวของเขา ด่าสาดเสียเทเสียเหมือนดาราเขาขโมยผ้าคลุมโต๊ะจีนงานแซยิดอาม่าเจ้าของคอมเมนต์มาตัดชุดน่ะ
ซึ่งถ้าเป็นคนที่รู้จัก นั่งโต๊ะข้างๆ กันในออฟฟิศ หรือเป็นหลานผู้จัดการ เป็นลูกน้า คนเหล่านี้ก็ไม่มีวันไปพูดแบบนี้ต่อหน้าหรอก (ไอ้เรื่องเม้าท์ลับหลังนั่นก็ปล่อยเลยตามเลยค่ะ เพราะรู้ว่าไม่มีวันหยุดได้) แต่พอเป็นดารานักแสดง ความเกรงอกเกรงใจ ความเห็นหัวจิตหัวใจ ความมารยาทสังคมนี้มันหายวับไปได้ในพริบตา
เหมือนดาราเป็นรูปตามผนังโบสถ์ หรืองานแห้งๆ ที่แขวนบนผนัง จะปู้ยี่ปู้ยำถ่มถุยยังไงก็ได้ เพราะมึงเป็นดารา ต้องรับฟังได้สิ ต้องใจกว้างสิ นี่ไม่ได้ด่านะ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว (แต่พูดและเขียนออกมาให้ทุกคนอ่าน)
จริงๆ ฉันก็โดนมาแทบทุกแบบแล้ว เช่นเอามือมาชี้ๆ หน้า ถามว่าเธอคือทรายจริงปะ? ถูกแยกส่วนอวัยวะมาวิจารณ์เป็นชิ้นๆ หรือกระทั่งตอนเด็กๆ พ่ออุ้มฉันไปซื้อเป็ดพะโล้ในตลาด นอกจากจะไม่ขายให้พ่อแล้ว แม่ค้ายังชี้หน้าด่าพ่อแถมมาถึงฉันให้อีก ว่าในละครนั้นพ่อฉันใจร้ายกับความรักของคู่พระนางนัก อีกหน่อยล่ะผลกรรมต้องตกมาถึงลูก (ซึ่งหมายถึงฉัน) แน่นอน!! ทุกวันนี้ฉันเลยเกลียดเป็ดพะโล้ไปโดยปริยาย
ปริมณฑลของการสนิทสนม เป็นเจ้าของ รู้จัก และสาธารณะ มันดูช่างไร้ขอบเขตเสียจริงๆ เวลาคุณเป็นดารา ไม่ชอบก็ไม่ได้ เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นแฟนคลับนะ เขาเป็นคนดูนะ เพราะมีเขาเราจึงอยู่ได้ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าถ้างดการด่ารูปร่างเอาเจ็บๆ หรือวิจารณ์ว่าปากฉันห้อยเกินงามแล้วเนี่ย ฉันจะอยู่ไม่ได้เหรอ?
คือการมีตัวตนในการทำงานของฉัน คือการต้องยอมให้เขาด่าเหรอ? แปลกดี
สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบแบบปาหมอนขัดใจคนดู เพราะทางนั้นก็ตอบว่าขอโทษ (คือขอโทษเพราะโดนด่าน่ะ ไม่ได้เข้าใจหรอกว่าผิดยังไง) เสียใจจังที่การแซวเล่นต้องถูกด่า (เออ เสียใจเป็นด้วยแฮะ ลืมไปหรือไงว่าคนอื่นเขาก็เสียใจเป็นเวลาโดนวิจารณ์) ผมนึกว่าพี่ทรายจะแค่ตกใจ ว่าคนนี้มาว่าฉันอ้วน เดี๋ยวเถอะ (เดี๋ยวเถอะอะไร เดี๋ยวเถอะจะไปฟ้องศาลปกครอง เดี๋ยวเถอะจะขับออกจากหมู่บ้าน หรือเดี๋ยวเถอะตะเอง เดี๋ยวเค้าจี๋เอวเลย) แล้วก็ลบคอมเมนต์จากไป แล้วฉันก็คงเสีย (คนที่บอกว่าตัวเองเป็น) แฟนคลับไปอีกคน เฮ้อ
จนพุทธศักราชนี้ก็ยังมีคนไม่เข้าใจขอบเขตของการเหยียดแบบ Body Shaming กับการวิจารณ์อยู่เลย เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก คือท่ามกลางการรณรงค์การอย่างมากมาย เรื่องการกลั่นแกล้งด้วยวาจาถ้อยคำ การเหยียด การอคติทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา รูปร่าง ฐานะ หรืออะไรต่อมิอะไร ก็ยังไม่วายมีคนแบบนี้อยู่
มันก็มีนะ คนที่ทำไปโดยรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ทำกันแล้ว ถ้าอยากแซะคนมาก พี่ต้องเก็บไว้ทำกับญาติพี่เป็นการส่วนตัวแล้วล่ะจ้ะ ก็เป็นไปได้ว่าการรณรงค์ การสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่ได้ทำให้คน ‘เข้าใจ’ อย่างแท้จริง แค่เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเงียบเสียมากกว่า ซึ่งก็ยังดีน่า อย่างน้อยก็รู้มารยาทสังคม
แต่ในอีกมุม ก็อาจจะผลักให้กลุ่มคนคันปากเหล่านั้นหาเหยื่อที่โต้ตอบกลับตรงๆ ไม่ได้มากขึ้น แน่นอนค่ะ, ดารา นักร้อง นักแสดง หรือที่มักเรียกรวมไปว่า ‘บุคคลสาธารณะ’ จึงเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ในสายตาคนเหล่านี้
“ฉันเป็นแฟนคลับเธอนะ ฉันอยากพูดเล่นกับเธอ จะได้รู้สึกสนิทสนม”
“ฉันวิพากษ์วิจารณ์นะ ทำไมจะพูดไม่ได้ เธอมันบุคคลสาธารณะ”
บางความเห็นที่พิมพ์กันออกมา ฉันอ่านแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ
ส้วมสาธารณะยังน่าจะได้รับการปฏิบัติจากคนเหล่านี้ดีกว่าดาราเลย อย่างเลวคงราดน้ำชำระสิ่งปฏิกูลกันเป็นบ้าง ไม่ใช่ด่าสาดๆ สะใจแล้วก็จากไปแบบที่ดาราโดน
หลายคนบอกว่า, ก็ดาราลงรูปให้เป็นกระแสอยู่แล้ว
คุณก็ต้องไม่ลืมว่า แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ไม่ได้ทำเอาไว้ให้ดาราเล่นอย่างเดียว คนทั่วไปก็เล่นก็ใช้ แล้วก็ใช้ด้วยจุดประสงค์แบบเดียวกัน คือเล่าเรื่อง แบ่งปันภาพ พูดคุยกัน ไม่ใช่อุทิศตัวเป็นเหยื่อให้แร้งกาที่ไหนไม่รู้มาจิก
เอาจริงๆ คือไม่ได้โกรธมากถึงขั้นวิ่งไปฟ้องแม่ หรือหดหู่จนต้องขังตัวไว้ในห้องน้ำแล้วร้องไห้ แต่ออกจะ…เหวอๆ ที่ได้รู้ว่าคนเขาคิดกับอาชีพเราแบบนี้
คือ, ฉันรู้จักเขาไง เขาไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันรู้ ฉันวิจารณ์ได้
ฮ่วย
แค่โพสต์รูปอาหารแล้วมีคนรู้จักกันจริงๆ มาใส่คอมเมนต์โปรดสัตว์โลกตาดำๆ อย่างฉันว่า “อ้วนแล้วนะ” “กินไม่แบ่ง เดี๋ยวก็อ้วนหรอก” “กินอีกแล้ว” อะไรพวกนี้ฉันยังว่าน่ารำคาญเลย คืออาหารไง อาหารน่ะ รู้ไหมว่ามนุษย์ต้องกินอาหาร
แล้วกินไม่แบ่งนี่คืออะไร? ให้ฉันจุดธูปเรียกเจ้าของคอมเมนต์ หรือเอาอาหารใส่กระทงไปตั้งไว้สามแยกรอเธอมากินเหรอ
นี่คือความน่ารำคาญของการใส่ความเห็นแบบ…พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตกน่ะ คือ…มีแค่ให้รู้ว่าได้พูดแล้ว แต่ไม่ก่อให้เกิดปัญญาใดๆ
อินทิราจะไม่เป็นเหยื่อของเธอต่อไป
จำไว้!!