ยุค 90s นี่ดูจะเป็นช่วงเวลาที่มักถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ นะครับ หลายๆ ความทรงจำในตอนนั้นมักถูกหยิบยกมาพูดถึงราวกับเป็นวันวานอันหอมหวานที่ไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้ อาจเพราะผมเติบโตขึ้นในช่วงสมัยนั้น ก็เลยพลอยอินตามได้ง่ายๆ
แต่หากถอนระยะสายตาออกจากสังคมรอบตัวมาสักหน่อย จะเห็นว่ากระแสความสนใจโลกพักนี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบันเทิงนั้นดูจะให้ความสนใจกับยุค 80s มากทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ยอดฮิตอย่าง Stranger Things มิวสิกวิดีโอเพลง I Feel It Coming ของ The Weekend ที่ก็ให้อารมณ์ไซไฟในยุค 80s หรือเกมอินดี้ที่ดังสุดๆ อย่าง Cuphead ก็ใช้รูปแบบเกมเพลย์สไตล์เกมตู้ 80s ที่หลายคนถึงกับบ่นอุบเพราะความยากของมัน
จริงๆ จะบอกว่า กระแสบันเทิงเพิ่งหันมาสนใจยุค 80s เอาตอนนี้ก็ไม่ถูกนักหรอกครับ เพราะการย้อนกลับไปสนใจช่วงเวลาหนึ่งในอดีตมันมีอยู่ตลอด และเพราะความโดดเด่นของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมบันเทิงที่พุ่งพล่านในยุค 80s จึงไม่แปลกที่มันจะถูกสำรวจอยู่ซ้ำๆ ไม่รู้จบ
สำหรับใครที่หลงรักยุค 80s หนังสือที่ผมจะพูดถึงประจำสัปดาห์นี้คงเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ย่อมๆ เลยล่ะครับ นั่นเพราะสิ่งที่คุณจะได้พบใน Ready Player One นวนิยายไซไฟเล่มนี้คือการเล่าซ้ำบรรยากาศของยุค 80s ดีๆ นี่เอง เพียงแต่มันไม่ใช่ยุค 80s ในอดีต แต่กลับเป็นยุค 80s ในอนาคตต่างหาก
Ready Player One พาเราเดินทางสู่โลกอนาคตที่แสนจะยุ่งเหยิง และวุ่นวาย และต่างไม่มีใครชื่นชอบชีวิตที่เป็นอยู่ในแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้มนุษย์ส่วนใหญ่จึงเลือกจะใช้เวลาอยู่ในโลกเสมือนจริง (virtual world) ชื่อว่า OASIS ที่ซึ่งพาพวกเขาหลบหนีไปจากความโหดร้ายและน่าเบื่อเหน็ดหน่ายของโลกแห่งความจริง
Wade Watts เด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในรถบ้านโทรมๆ ที่ซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ ราวกับคอนโดมิเนียมที่เราคุ้นเคยกันดี ก็ผ่านแต่ละวันของชีวิตเขาไปอย่างน่าเบื่อ เขาไปโรงเรียนแค่เพราะจำเป็น เพียงเพื่อจะได้กลับมาล็อกอินเข้าสู่โลกของ OASIS ที่เขาหลงไหล อยู่มาวันหนึ่ง James Halliday ชายผู้สร้าง OASIS ขึ้นมาได้เสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน แต่พร้อมๆ กับประกาศการจากไปของเขา Halliday ก็ได้ปล่อยแถลงการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนโลกอนาคตทั้งใบ นั่นคือ เขาได้ซุกซ่อน easter egg เอาไว้ ซึ่งถ้าใครค้นพบมันทั้งหมดเข้า เขาผู้นั้นจะได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดของ Halliday ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกอนาคตแห่งนี้
พล็อตประเภทโลกเสมือนจริงไม่ใช่อะไรที่ใหม่ครับ และไม่เพียงแต่ในโลกวรรณกรรม ทั้งเกมหรือภาพยนตร์หลายๆ เรื่องต่างก็เคยหยิบเอา virtual world มาเป็นองค์ประกอบการเล่า สำรวจความเป็นไปได้ หรือกระทั่งทะลวงขีดจำกัดของความเป็นโลกคู่ขนานจนทะลุพรุน ด้วยเหตุนี้จึงพูดได้ว่า Ready Player One นวนิยายที่เขียนขึ้นในปี 2011 เรื่องนี้จึงไม่ได้นำเสนออะไรที่ใหม่หรือน่าตื่นตะลึงใดๆ มันไม่ใช่นิยายไซไฟที่นำเสนอทฤษฎีที่อ่านไปแล้วต้องอ้าปากค้างว่า ‘คิดได้ไง’ อะไรทำนองนั้น
พูดง่ายๆ คือ Ready Player One ก็ยังคงเสนอภาพของโลกคู่ขนานที่เป็นขั้วตรงข้ามกับโลกแห่งความจริง เป็นดั่งพื้นที่ให้มนุษย์ที่ไม่อาจยอมรับกับชีวิตอันยากลำบากได้มีหลุมหลบภัยแค่สั้นๆ
แต่จุดที่น่าสนใจของนวนิยายเล่มนี้คือ การที่มันเลือกพาเรากลับไปสำรวจภาพของความฟุ้งฝันแห่งอดีตนี่แหละครับ Ready Player One ไม่ได้ให้ภาพของอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เป็นภาพของวันวานที่เคยได้ผ่านเลยไปแล้ว และไม่อาจหวนย้อนกลับไปได้ อดีตในนิยายเล่มนี้ไม่ต่างอะไรกับความฝันที่ซ้อนทับอยู่กับความอัตคัดและแรงแค้น และการค้นพบเศษซากอารยธรรมบางอย่างที่บ่งชี้ว่าภาพอดีตในเกม OASIS นั้นเคยมีอยู่จริง (เช่น VDO หนังเก่าๆ หรือเครื่องเกมอาตาริ) ก็ไม่ต่างอะไรกับการคอยตอกย้ำซ้ำๆ ถึงความเลวร้ายของปัจจุบันที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน Watts ตัวเอกของเรื่องเองก็หลงไหลกับอดีตเช่นกัน เขาคอยแอบซ่อนสิ่งของต่างๆ ที่เป็นนวัตกรรมในยุค 80s ซึ่งเขาบังเอิญค้นพบมัน และให้ค่ามันไม่ต่างจากเครื่องรางของขลังที่มีอำนาจวิเศษอยู่ในตัว
อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนแรกครับ ว่าใครที่หลงไหลในยุค 80s คงอ่านหนังสือเล่มนี้ราวกับอยู่ในสวรรค์ดีๆ นี่เอง นั่นเพราะแทบจะทุกหน้า คุณจะได้พบกับการอ้างถึงยุค 80s อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ชนิดที่บางมุกหรือบางการอ้างถึงนี่ก็ต้องเป็นคนที่เกิดในยุคนั้นจริงๆ ถึงจะเก็ต ตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่างเช่น การอ้างถึงหนังดังๆ อย่าง Ghostbusters, Back to the Future หรือ Star Wars รวมถึงบรรดาเกมตู้, เกมนินเทนโด, เกม Duke Nukem และมอร์เตอร์ไซค์สีแดงเข้มจากอนิเมชั่นเรื่อง Akira
แต่ต่อให้คุณไม่อินกับความเป็น 80s Ready Player One ก็ยังเป็นนิยายที่อ่านสนุกเป็นบ้าเลยล่ะครับ เพราะการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว ผลักพล็อตไปข้างหน้าตลอดเวลา แถมยังซุกซ่อนปริศนาเป็นระยะให้คอยได้ขบคิดตีความ ไม่ต่างอะไรกับเราได้กระโดดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโลก OASIS จริงๆ แถมฉากแอกชั่นนี่ก็ประเคนกันมาเรื่อยๆ จนแทบลืมหายใจ ไม่ต่างอะไรกับหนัง blockbuster ดีๆ ที่สาดเทความมันแบบ old school กันเต็มที่ ชนิดไม่ต้องเต๊ะท่ารออะไรให้มากเรื่องมากความเลย เรียกว่าระเบิดภูเขา เผากระท่อมกันเน้นๆ
แถมตอนนี้ Ready Player One ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วด้วยนะครับ ตัวอย่างก็หากันได้ง่ายๆ บนยูทูบเลย ส่วนผู้กำกับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ Steven Spielberg ผู้กำกับที่เรียกได้ว่าทรงอิทธิพลคนหนึ่งในยุค 80s ก็ต้องมาลุ้นกันละครับว่ากับหนังเรื่องนี้แกจะเนรมิตเสน่ห์ของยุค 80s ให้กลับมามีชีวิตในปี 2018 ได้ดังที่เขาเคยทำสำเร็จเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้วหรือเปล่านะครับ