ในตอนที่ผ่านๆ มา เรากล่าวถึงศิลปะที่คุณแดกได้กันไปแล้ว ในตอนนี้ก็คงไม่แปลกอะไรถ้าจะพูดถึงหนังสือตำราอาหารและคู่มือชิมไวน์แบบอาร์ตๆ กันบ้าง หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า The Wines of Gala
หนังสือคู่มือไวน์อันสุดแสนจะพิลึกพิลั่นของศิลปินชาวสเปนผู้ยิ่งใหญ่ จิตรกรผู้แปลกประหลาดพิสดาร บางคนเรียกเขาว่าเป็นนักต้มตุ๋นแหกตา บางคนบอกว่าเขาวิปริต เป็นไอ้บ้าจอมเพี้ยน แต่เขาก็เป็นนักประชาสัมพันธ์ตัวเองชั้นยอดและเป็นศิลปินโด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí)
หนังสือเล่มนี้บรรจุเอาไว้ด้วยผลงานศิลปะ ภาพวาด ภาพคอลลาจ ที่คัดสรรและสร้างสรรค์โดยซัลวาดอร์ ดาลี จำนวนกว่า 140 ชิ้น
เพื่อให้สอดคล้องกับความพยายามของดาลีในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากอารมณ์ความรู้สึก, ความทรงจำ และความฝัน เขาเลือกจัดสรรไวน์ในหนังสือตามลักษณะของการที่มันส่งอิทธิพลต่ออารมณ์ของเขา เขาจัดกลุ่มไวน์โดยแยกประเภทหมวดหมู่ตามจินตนาการอันสุดแสนจะพิลึกพิลั่นตามแบบฉบับศิลปินเซอร์ตัวพ่อ โดยในแต่ละหมวดมีชื่อแปลกๆ อย่าง ไวน์แห่งความเหลาะแหละ, ไวน์แห่งความเป็นไปไม่ได้ หรือไวน์แห่งแสงสว่าง ในบทหนึ่งของหนังสือยังมีการแนะนำวิธีการสั่งไวน์จากประสบการณ์ทางอารมณ์ โดยยกเอาข้อบัญญัติอันโด่งดังของศิลปินที่ว่า “นักเลงไวน์ที่แท้จริงเขาไม่ดื่มไวน์ หากแต่ลิ้มรสความลับของมัน” (แหม เท่จริงพ่อ!)
คัมภีร์ไบเบิลแห่งไวน์อันสุดแสนจะพิสดารความหนา 296 หน้านี้ เดิมทีเคยตีพิมพ์ในปี 1978 หลังจากหนังสือตำราอาหารชื่อ Les Diners de Gala ที่ตีพิมพ์ในปี 1973 ซึ่งเป็นการเติมเต็มความฝันของดาลีที่อ้างว่าเขาอยากเป็นเชฟตอนอายุ 6 ขวบ หนังสือประกอบด้วยสูตรอาหาร 136 สูตร รวมทั้งหมดกว่า 12 บท (ในบทที่ 10 ว่าด้วยอาหารที่กระตุ้นกำหนัด) ซึ่งตัวดาลีเป็นคนวาดภาพประกอบและจัดแต่งอาหารสไตล์เซอร์เรียลลิสม์อันแปลกประหลาดให้กับหนังสือเล่มนี้โดยเฉพาะ โดยมีเมนูอาหารอย่าง ไข่พันปี, เนื้อลูกวัวห่อด้วยหอยทาก, พายกบ และลูกกวาดกับลูกสน
เป็นที่รู้กันดีว่าดาลีโปรดปรานการจัดดินเนอร์ปาร์ตี้เริดหรูและเวอร์วังอลังการจนดูคล้ายกับงานมหรสพมากกว่าจะเป็นมื้ออาหาร ครั้งนึงเขาเคยจัดปาร์ตี้สมทบทุนช่วยเหลือศิลปินในยุโรปที่ตกระกำลำบากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในธีมชื่อ Surrealistic Night in an Enchanted Forest (ค่ำคืนแห่งความเหนือจริงในป่าอันน่าหลงใหล) ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ปาร์ตี้ธรรมดาๆ หากแต่เป็นปาร์ตี้สุดพิสดารที่ตกแต่งด้วยองค์ประกอบอันสุดพิลึกพิลั่นอย่าง เตียงนอนกำมะหยี่สีแดงหรูหราจากกองถ่ายหนังในฮอลลีวูด, ซากรถเก่าจากสุสานรถ, หุ่นโชว์เสื้อเปลือยจากห้างสรรพสินค้า, ถุงกระสอบจำนวนนับไม่ถ้วนบนเพดาน และสิงสาราสัตว์ตัวเป็นๆ อย่าง ลูกเสือ (ที่เป็นสัตว์จริงๆ ไม่ใช่ลูกเสือ/เนตรนารี) ลิง, กบเป็นๆ ฯลฯ ที่ยืมมาจากสวนสัตว์ (ความจริงดาลีอยากได้ยีราฟด้วย แต่สวนสัตว์ไม่ให้ยืมเพราะขนส่งลำบาก) ที่ปล่อยให้เดินเพ่นพ่านรอบๆ โต๊ะดินเนอร์กันอย่างอิสระ แถมยังเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยโดยใช้รองเท้าส้นสูงเป็นภาชนะ!
แขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็คือเหล่าบรรดาเซเลบในยุคนั้นอย่าง คนในตระกูลแวนเดอร์บิลท์ หนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา, อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับชื่อก้อง และดาราชื่อดังอย่าง บ็อบ โฮป, บิง ครอสบี และ คลาร์ก เกเบิล ในขณะที่เจ้าภาพต่างแต่งแฟนซีหลุดโลกกันเต็มที่ จัดหนักจัดเต็มกันแบบนี้ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในงานนี้ย่อมมหาศาลบานปลาย จนในที่สุดก็ไม่มีเงินเหลือไปถึงมือศิลปินผู้อดอยากยากไร้ในยุโรปแม้แต่เก๊เดียว (อ่านะ!)
วิดีโอปาร์ตี้ Surrealistic Night in an Enchanted Forest
อ้อ ถ้าใครสงสัยว่า Gala (กาล่า) ในชื่อหนังสือนี้คือใคร บอกให้ก็ได้ว่าเธอนั้นหรือก็คือศรีภรรยาผู้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญที่สุดของดาลีนั่นเอง สำหรับดาลีแล้ว กาล่าเป็นยิ่งกว่า Muse (เทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ) ทั้งๆ ที่เธอมีอายุแก่กว่าเขาถึงสิบปี ตลอดชีวิต เขาวาดภาพและทำงานศิลปะเกี่ยวกับเธอมากมายหลายชิ้น
กาล่า (Gala) หรือในชื่อเดิมว่า ไอวานอฟนา ดิอาโคโนวา (Ivanovna Diakonova) อดีตผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียซึ่งเป็นภรรยาของ พอล เอลูอาร์ด (Paul Éluard) กวีชาวฝรั่งเศส สหายของดาลี ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มดาดาและเซอร์เรียลลิสม์ ตอนพบกันครั้งแรก กาล่าไม่แยแสสนใจดาลีเท่าไหร่ (เพราะเธอคิดว่าเขาเป็นนักเต้นแทงโก้อาชีพชาวอาร์เจนตินา) แต่เมื่อเธอได้เห็นภาพวาดของเขาเท่านั้นแหละ เธอก็เกาะติดดาลีแจราวกับเป็นจรวดนำวิถี อันที่จริง เธอเป็นคนแรกๆ ที่ตระหนักถึงพรสวรรค์ของดาลีด้วยซ้ำไป เธอเชื่อมั่นในทันทีว่าดาลีจะโด่งดังและนำพาชื่อเสียงเงินทองมาให้เธออย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างเธอเองก็เริ่มเบื่อหน่ายเอลูอาร์ดสามีของเธอที่ไม่มีทีท่าว่าจะประสบความสำเร็จทางการเงินเอาเสียเลย
ไม่นานนัก ดาลีก็ตกหลุมเสน่ห์ที่กาล่าหว่านให้ และเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เพื่อนฝูงของพวกเขาเล่าว่า กาล่าเป็นโรคเสพติดเซ็กซ์และสำส่อนทางเพศ ในขณะที่ดาลีรังเกียจการถูกคนอื่นสัมผัสจับต้องตัว หวาดกลัวอวัยวะเพศหญิง และมีแนวโน้มจะเป็นรักร่วมเพศ (ว่ากันว่าเขาไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับใครเลย เว้นแต่การช่วยตัวเองตลอดชีวิตของเขา) แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยทั้งสองอย่างก็ลงตัว เพราะดาลีชอบเฝ้ามองกาล่าร่วมเพศกับชายอื่น ในขณะที่กาล่าชอบถูกเฝ้ามอง พวกเขามักจะจัดปาร์ตี้เซ็กซ์หมู่บ่อยๆ โดยที่ดาลีเฝ้ามองอยู่เฉยๆ ซึ่งหนึ่งในบรรดาคู่นอนเหล่านั้นก็รวมถึงเอลูอาร์ด สามีเก่าของเธอด้วย ในปี 1932 กาล่าหย่าขาดกับเอลูอาร์ดและแต่งงานกับดาลีในที่สุด
กาล่านี่เองที่เป็นผู้คอยผลักดันและหว่านล้อมให้ดาลีแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง รวมถึงรับงานที่ได้ค่าตอบเงินมหาศาล (มนุษย์เมียนี่มันมนุษย์เมียจริงๆ) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดาลีถูกขับออกจากกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์ แต่อย่างกับดาลีจะแยแสสนใจอะไรนักหนา ก็เขาทั้งโด่งดังทั้งร่ำรวยมหาศาลด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพากลุ่มแล้วนี่นะ! และถึงแม้จะถูกขับออกจากกลุ่ม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ดาลีก็ถูกจดจำในฐานะสัญลักษณ์และภาพจำของกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์อยู่ดี ถึงขนาดที่ว่า ถ้าพูดถึงเซอร์เรียลลิสม์ คนก็จะนึกถึงงานของดาลีเป็นอันดับแรกอยู่ดีนั่นแหละ!
ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ดาลีสุขภาพทรุดโทรมจนจับพู่กันวาดรูปไม่ได้ และเขาเองก็เริ่มหมดความอดทนกับความสำส่อนมากชู้หลายชายของกาล่าในวัยเจ็ดสิบกว่า ที่ยังคงใช้เงินทองของดาลีเลี้ยงดูปูเสื่อและซื้อของกำนัลให้เหล่าชู้รักทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปินหนุ่มๆ อยู่เป็นเนือง และแทนที่จะอยู่ในสตูดิโอกับเขาอย่างเคย เธอก็ตะลอนออกไปข้างนอก ทิ้งดาลีไว้คนเดียววันละหลายชั่วโมง จนดาลีลุแก่โทสะ ตบตีเธออย่างรุนแรงจนซี่โครงหัก กาล่าก็โต้ตอบด้วยการให้เขากินยาระงับประสาทหลายขนานเป็นจำนวนมากเพื่อทำให้เขาเซื่องซึม ผลก็คือมันทำลายระบบประสาทของดาลีอย่างถาวรจนเขาทำงานศิลปะไม่ได้อีกต่อไป ถึงแม้เพื่อนๆ จะช่วยพาเขาไปรักษาตัวในคลินิก แต่ดาลีก็ยังคงคิดถึงกาล่าไม่คลาย และหวาดกลัวว่าเธอจะทิ้งเขาไปอยู่กับชู้รักคนใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน หากแต่เสียชีวิตลงในปี 1982 (ว่ากันว่าดาลีเป็นคนทำร้ายเธอจนเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น)
หลังจากกาล่าตาย ดาลีจมอยู่ในห้วงแห่งความโศกเศร้าถึงหกปี เขาเอาแต่ร้องให้ ไม่กินอาหาร และเอาแต่นอนหมกตัวอยู่ในห้องมืด ว่ากันว่าเขามีกระดิ่งแขวนไว้ที่เตียงเพื่อใช้เรียกพยาบาล และมักจะสั่นมันในเวลากลางคืนจนพยาบาลรำคาญและเปลี่ยนเป็นหลอดไฟแทน ในคืนหนึ่งเขากดปุ่มถี่ยิบจนไฟฟ้าช็อตและลุกไหม้เตียงของเขา มีคนพบเขาดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเปลวไฟและควัน มันเผาไหม้ผิวหนังเขาไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์
หลายคนคิดว่าเขาคงต้องตายแหงแก๋ แต่เขากลับรอดมาได้และรักษาตัวจนไปให้สัมภาษณ์ลงหนังสือในปี 1986 ได้ เขาทนอึดมาได้ถึงสามปี จนกระในทั่งปี 1989 เขาก็เสียชีวิตตามกาล่าภรรยาสุดที่รักของเขาไปในที่สุด
อ้างอิงข้อมูลจาก
www.thisiscolossal.com/2017/11/the-wines-of-gala-salvador-dali
www.thisiscolossal.com/2016/10/les-diners-de-gala-dal
*หนังสือ The Wines of Gala และ Les Diners de Gala ถูกนำมาตีพิมพ์ใหม่อีกครั้งในรอบสี่สิบกว่าปีหลังจากฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ Taschen ใครสนใจก็ไปซื้อหากันได้ตามลิงก์นี้ได้เลย https://goo.gl/Dk1yeC, https://goo.gl/PbXYTU