1. ว่ากันตามตรง สำหรับผม สยามสแควร์เป็นหนังผีที่หากวัดกันจากหน้าหนังแล้ว ยังดูไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างส่งให้คิดว่ามันคงเป็นหนังวัยรุ่นเจอผีทั่วๆ ไป ไม่น่าจะมีอะไรใหม่ จะมีก็แต่ตัวคำถามที่ว่า คุณคิดว่าสยามมีผีมั้ย ที่เป็นจุดเดียวซึ่งน่าสนใจของหน้าหนังเรื่องนี้
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ได้ดู หนังผีที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรใหม่ กลับเต็มไปด้วยความสดใหม่ที่น่าชื่นชมทีเดียวครับ และแม้อาทิตย์นี้จะมีหนังใหม่เข้าชนกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Ghost in the Shell หรือ มหา’ลัยวัวชน แต่สยามสแควร์ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่อยากให้พลาดกันเลยครับ
2. โดยคร่าวๆ หนังเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งในสยามที่ผูกพันกันจากการเรียนพิเศษบ้าง แอบไปชอบเพื่อนของเพื่อนสักคนหนึ่งบ้าง และซึ่งพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากหนุ่มสาวธรรมดาทั่วไป ทะเลาะผิดใจกันบ้าง ตกหลุมรักกันบ้าง คึกคะนองกันบ้างตามประสา แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้รู้ตำนานลี้ลับของสยามซึ่งเล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อสามสิบปีที่แล้วมีเด็กสาวคนหนึ่งหายตัวไปในสยามอย่างลึกลับ หลายคนเล่าว่าทุกวันนี้ยังคงเห็นร่อนเร่ไปมาพร้อมด้ายแดงที่ผูกอยู่ตรงข้อมือ และคอยตามหาใครสักคนไปอยู่ด้วยกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ตำนานของเธอยังไปผูกโยงเข้ากับความเชื่อของเด็กนักเรียนที่ว่า ในสยามจะมีห้องเรียนหนึ่งซึ่งมีด้ายแดงผูกไว้กับโต๊ะ ถ้าใครอยากเอ็นติดก็ให้เอาได้แดงมาผูกเข้ากับเก้าอี้ตัวนี้ ตำนานสารพัดเวียนวนอยู่ในการรับรู้ของกลุ่มเด็กเดินสยาม และเมื่อจู่ๆ มันได้เข้ามาแทรกอยู่ระหว่างมิตรภาพของวัยรุ่นกลุ่มนี้ มันก็ได้สั่นคลอนโครงสร้างความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างรุนแรง
3. ดังเช่นชื่อของมัน สยามสแควร์ คือหนังที่พูดถึงพื้นที่หนึ่งๆ โดยหยิบเอาองค์ประกอบเฉพาะพื้นที่นี้มาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้กับหนัง หากทบทวนภาพจำของสยามกันเร็วๆ เราจะเห็นว่า มันเป็นพื้นที่ของวัยรุ่น เป็นพื้นที่ซึ่งเป็นจุดนัดพบประจำ เป็นพื้นที่ซึ่งพวกเขาอาจมาช้อปปิ้ง หรือกวดวิชา และเป็นพื้นที่ซึ่งอาจพูดได้ว่า ได้สร้างความสนิทชิดเชื้อ ความคุ้นเคย และความไว้วางใจระหว่างคนกับพื้นที่ ซึ่งเห็นจะเป็นจุดนี้เองที่หนังเรื่องนี้ได้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ
กล่าวคือ ภาพของสยามที่หนังเรื่องนี้ฉายให้เห็นคือพื้นที่ซึ่งดำรงอยู่ตรงกลางความขัดแย้ง มันเป็นจุดที่วัยรุ่นในหนังจะเปิดเผยความลับ หรือเรื่องราวที่ปิดบังอยู่ต่อเพื่อนๆ ให้ได้รู้ อาจเรียกได้ว่าพ้นไปจากโรงเรียนแล้ว ก็เป็นสยามนี่เองที่วัยรุ่นกลุ่มนี้จะได้เจอกัน แต่โรงเรียนนั้นเต็มไปด้วยสายตาของคนรู้จัก และความรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว ต่างกับสยามที่อย่างน้อยพวกเขาจะรู้สึกเป็นส่วนตัวมากกว่า ถูกสอดส่องจากคนรู้จักน้อยกว่า เป็นอิสระมากกว่า และเปิดเผยตัวตนได้มากกว่า
หากพูดกันถึงว่า ตัวตนของมนุษย์สักคนหนึ่งเกิดจากการนิยามของคนอื่น และคำพูดคือสิ่งซึ่งประกอบสร้างมนุษย์หนึ่งๆ ขึ้นมา ในสยามสแควร์เองก็มีตัวละครซึ่งถูกคำพูดกับการรับรู้จากคนนอกวาดภาพตัวเขาขึ้นอย่างเสร็จสรรพ จนเกิดเป็นอีกตัวตนหนึ่งที่ต่างกับอีกตัวตนที่เขาคิดว่าตัวเองเป็น ความขัดแย้งระหว่างตัวตนภายนอกกับภายในนี่เอง ที่ไม่เพียงได้สร้างบาดแผลให้กับตัวละครนี้ในระดับที่เขาเองไม่อาจแบกรับไหว แต่ยังเป็นเสมือนชนวนระเบิดที่รอวันที่มันจะปะทุขึ้นมา
4. ข่าวลือคือสิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าผี คำพูดและคำนินทานั้นหลอกหลอนอย่างรวดเร็วและไปไกลยิ่งกว่าอิทธิฤทธิ์ใดๆ ชีวิตในแต่ละวัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นในหนังนั้นคล้ายจะโคจรอยู่กับมุขปาฐะซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าคือเรื่องจริง หรือเรื่องแต่ง เช่นกันกับเรื่องผีที่ก็เกิดขึ้นจากใครก็ไม่รู้ในตอนไหน แต่จากระยะเวลาของผีที่รับรู้กันว่าเคยมีตัวตนอยู่เมื่อสามสิบปีก่อน ก็อาจอนุมานได้ถึงอายุอันยาวนานที่ตำนานนี้ยังคงแพร่สะพัดอยู่ในกลุ่มคนอายุหนึ่ง ในพื้นที่หนึ่ง และซึ่งมันก็ไม่เคยจะหายไปไหน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ หากข่าวลือก็คล้ายจะทรงพลังเสียยิ่งกว่าข้อเท็จจริงซึ่งพิสูจน์ได้
สิ่งที่สยามสแควร์แสดงให้เราเห็นคือความทรงพลังของข่าวลือนี่เองที่มันได้สร้างปิศาจซึ่งทรงอานุภาพยิ่งกว่าผีตนใดขึ้นมา และเป็นข่าวลืออีกเช่นกันที่มันคอยแต่จะผูกพันธนาปิศาจร้ายตนนั้นให้ยังคงวนเวียนอยู่เรื่อยไป และไม่อาจหลุดพ้นไปไหนได้เสียที พูดได้ว่าสิ่งที่หนังตีแผ่ให้ได้เห็นคือสภาวะจิตใจอันสับสน ทดท้อ และสิ้นหวังของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อผูกโยงเข้ากับตำนานลี้ลับ ผลลัพธ์ที่ได้จึงออกมาเป็นหนังที่สะท้อนภาพของวัยรุ่นออกมาได้อย่างคมคาย และแม้ประเด็นเรื่องบาดแผลในจิตใจ หรือความระหองระแหงในกลุ่มเพื่อนจะไม่ใช่ประเด็นใหม่ของโลกภาพยนตร์ แต่ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง ลูกล่อลูกชน และการเปลี่ยนฉากที่ออกแบบมาอย่างดี มันจึงส่งให้สยามสแควร์กลายเป็นหนังที่พูดถึงวัยรุ่นได้น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
5. แต่น่าเสียดายอยู่เหมือนกันครับ ที่แม้อะไรหลายๆ อย่างในหนังจะชวนให้อยากปรบมือ ถึงอย่างนั้นหนังก็ยังมีจุดที่ผมรู้สึกว่ามีปัญหากับมัน เรื่องแรกเลยคือตัวละครในเรื่องที่มากเกินไปจนล้น และไม่อาจให้พื้นที่กับบางตัวละครได้มากพอ จนบางครั้งก็ชวนให้เสียดายว่า นอกจากออกมาพูดสักประโยคหนึ่งแล้ว ตัวละครดังกล่าวแทบจะไม่มีที่ยืนของตัวเองเลย และมันอาจดีกว่าที่จะตัดตัวละครบางตัวออกไป
หรืออีกจุดหนึ่งคือช่วงท้ายของเรื่องที่ประเด็นต่างๆ เริ่มจะคลี่คลาย ราวกับรถไฟกำลังจะจอดอยู่รอมร่อ แต่แล้วหนังก็เลือกจะสับสวิตช์ไปต่อ ผลเลยออกมาเป็นความย้วยๆ เกินๆ ที่มากไปสักหน่อย ถ้าหนังเลือกจะจบเร็วกว่านั้นสักห้านาทีผมคิดว่าหนังจะออกมาลงตัวและกลมกล่อมขึ้นมาก
แต่ถึงที่สุดแล้ว สยามสแควร์ก็ยังเป็นหนังที่ดีและอยากเชียร์ให้ไปดูกันที่สุดเรื่องหนึ่งครับ อ้อ แอบกระซิบอีกอย่างว่าสำหรับใครที่กลัวผี ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปฮะ เพราะพูดกันตรงๆ ผีในเรื่องนี้ไม่ค่อยจะน่ากลัวสักเท่าไหร่ ขนาดผมที่ไม่ค่อยจะกล้าดูหนังผียังเปิดตาดูได้ไม่เป็นปัญหา มันเป็นความเปรแาะบางของวัยรุ่นนั่นต่างหากครับที่ไม่อยากให้คลาดสายตา หรือถูกผีมาบดบัง