ทันทีที่ภาพยนตร์ชุดอิงประวัติศาสตร์ ‘ศรีอโยธยา’ (2560) ฉายได้เพียงตอนสองตอนก็เป็นที่ฮือฮาพูดถึงโดยคอละคร นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้ที่สนใจธรรมเนียมโบราณราชประเพณีเอ้อเอิงเอยทั้งหลาย อันที่จริงละครศรีอโยธยาก็ถูกพูดถึงก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว เพราะออกตัวแรงโปรโมทก่อนฉายมานาน ทั้งแนะนำตัวละคร จุดประสงค์ โปรดักชั่น เบื้องหลังการถ่ายทำ การซักซ้อม ความใส่ใจละเมียดละไมของผู้กำกับ LIVE พิธีบวงสรวงองค์พระมหาบูรพกษัตราธิราชเจ้าแห่งราชอาณาจักรอยุธยาเพื่อขอถ่ายทำภาพยนตร์ ( หืม ? งงเด้ )
แต่ที่ดูเหมือนจะถูกพูดถึงมากที่สุดเห็นจะเป็น ‘เกมส์จับผิด’ ที่จู่ๆ ข้าวของเครื่องใช้ในศตวรรษที่ 21 ก็โผล่ขึ้นมาประกอบฉากในละครพีเรียดช่วง ค.ศ. 1760 ตั้งแต่ปลั๊กไฟในวัดประดู่ทรงธรรม แทงค์น้ำ ไปจนถึง flip flop ของชาวบ้านร้านตลาดนอกพระราชฐาน
มันก็ออกจะเด๋อๆ หน่อย
บางทีอาจจะเป็นความตั้งใจของผู้จัดผู้กำกับก็ได้ เพราะมีหลายอย่างใน ‘ศรีอโยธยา’ ที่ถูกดัดแปลงแต่งเสริมใหม่อย่างตั้งใจ เช่น ตัวพระพันวัสสาน้อยที่แสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช ซึ่งตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นางต้องตายไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2301 แต่ในเรื่องนี้ยืดอายุขัยให้ยาวไปถึงเสียกรุงครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310
และตัวละคร พระกำนัลนารี (สังข์) ที่รับบทโดย ปิยะ เศวตพิกุล เป็นขันทีศรีอโยธยาชาวไทย ไม่ได้มาจากอาหรับตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ในการโปรโมทละครเรื่องนี้ พันธุ์เทวนพ เทวกุลกล่าวว่า “ตามหลักฐานที่บอกว่า จริงๆ บางรัชกาลก็เป็นแบบเปอร์เชีย แต่ของเราเนี่ยะ เอ่อ คือครั้งนี้ adapt ให้เป็นไทย”[1] ด้วยเหตุนี้จึงมีขันทีชาวไทย เป็นผู้ชายแต่งชุดเป็นผู้หญิงห่มสไบ แต่งหน้าจัดขาววอกให้ผิดมนุษย์มนา สร้างคาแรกเตอร์ให้เป็นตลกหลวง จริตจะก้านเล่นใหญ่เล่นโต เหมือนหนังละครดื่นๆ ทั่วๆ ไป ที่มักโยนบทตัวตลก ตัวประหลาดให้กะเทยเล่น ไว้ ‘เป็นสีสัน’
อย่างไรก็ตามเรื่องราวเกี่ยวกับขันทีในกรุงศรีอยุธยาก็มีอย่างจํากัดจําเขี่ยแถมยังคลุมเครือ ด้วยสำนึกการบันทึกประวัติศาสตร์ของไทย มักเขียนแบบชาดกเพื่อสรรเสริญบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ จึงเลือกละเลยการพูดถึงประวัติศาสตร์ในมิติอื่น หลักฐานที่ว่าด้วยบุคคลอื่นและสามัญชนจึงน้อยนิด มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ไม่กี่ชิ้นที่พอจะทิ้งร่องรอยการใช้สอยขันทีในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา เช่นกฎมณเฑียรบาล กฎหมายตราสามดวง คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บันทึกของชาวต่างชาติที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา เช่นจดหมายเหตุของซิมองต์ เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Loubere) ราชทูตพิเศษของราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และ นิโกลาส์ แชร์แวส (Nicolas Gervaise) นักเดินทางชาวฝรั่งเศสที่ติดสอยห้อยตามคณะเผยแพร่ศาสนาในรัชกาลพระนารายณ์ ไปจนถึงค้นหาขันทีจากจิตรกรรมฝาผนัง ภาพลายรดน้ำ
การมีอยู่ของขันทีในอยุธยาจึงเต็มไปด้วยข้อสันนิษฐาน แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า เป็นข้าราชสำนักที่มีมาตั้งแต่อยุธยาตอนต้น ทำงานอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในอันเป็นพื้นที่สงวนสำหรับกษัตริย์กับเจ้านายผู้หญิงอันได้แก่แม่พี่สาวน้องสาวลูกสาวของกษัตริย์ และพวกผู้หญิงนางบำเรอจำนวนมากที่ปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์ในระบบผัวเดียวหลายเมีย
ขันทีในนั้นเป็นเพศชายที่ถูกตอนแล้วเพื่อป้องกันการมีเพศสัมพันธ์กับพวกเจ้านายผู้หญิง มีหน้าที่ภายในเขตพระราชฐานชั้นในเป็นหลัก คอยติดตามเจ้านายผู้หญิง เฝ้าแหนตามราชพิธี ทำหน้าที่รับเครื่องโภชนาการมาถวาย และเป็นผู้นำนางบำเรอมาถวายตัวแก่กษัตริย์ เนื่องจากมีกำลังวังชาเรี่ยวแรงดีจึงทำหน้าที่ป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาบุกรุก และเพราะพวกเจ้านายผู้หญิงต้องอยู่ภายในเขตพระราชฐานชั้นในเท่านั้น ไม่สามารถออกไปไหนได้ ขันทีจึงมีบทบาทประกอบกิจกรรมนอกพระราชฐานชั้นในแทน เช่นดำเนินการค้าให้กับเจ้านายผู้หญิง ซึ่งก็ทำให้ร่ำรวยกันหลายนาง[2]
ในหลักฐานขันทีมักกล่าวคู่กับ นักเทศ (นักเทษ, นักเทด) เป็น ‘นักเทษขันที’ แต่ต่อมาหลักฐานหลังๆ เหลือแค่ตำแหน่งขันทีเท่านั้น ซึ่งขันทีถือได้ว่าเป็นอีกสถาบันหนึ่ง มีหน่วยงานราชการเรียกว่า ‘กรมขันที’ เป็นหน่วยงานเล็กๆ ไม่ซับซ้อน ขึ้นตรงกับกรมวัง จากหลักฐานพบว่าขันทีในราชสำนักอโยธยา มีแต่ขันทีแขก ไม่มีขันทีจีนหรือไทย หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนพระกำนัลนารี (สังข์)[3]
เพราะขันทีเป็นอาชีพหนึ่งในโลกอาหรับ และอยุธยาก็เป็นอีกศูนย์กลางการค้านานาชาติที่สำคัญ ในรัชสมัยพระนารายณ์มีสถิติรายงานว่ามี ‘มัวร์’ ซึ่งเป็นคำเรียกชาวมุสลิมจากเปอร์เซีย อาหรับ ออตโตมัน และอินเดีย มีจำนวนกว่า 3,000 คนในพระนคร[4] จดหมายเหตุของลาลูแบร์กล่าวว่าในราชสำนักของพระนารายณ์มีขันทีเพียง 8 – 10 คนเท่านั้น มีทั้งผิวขาวและดำ ซึ่งสันนิษฐานว่า ขันทีขาวคือเด็กอาหรับ อิหร่าน หรืออินเดียที่ประกอบอาชีพนี้โดยเฉพาะ เพราะบ้านจน จนต้องขายตัวหรือถูกถวายตัวให้ราชสำนักสุลต่าน ส่วนขันทีดำคือเด็กชายแอฟริกันที่พ่อค้าอาหรับนำมาตอนขายเป็นทาส[5]
และในเอกสารประวัติศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับปลายอยุธยา คำให้การขุนหลวงหาวัดฉบับหลวงหรือคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เรียกขันทีว่า ‘กำนัลนารี’
มีนักวิชาการมากมายพยายามอธิบายความหมายของคำว่า ‘ขันที’ บ้างก็ว่ามาจากภาษาเปอร์เซีย khasi (อ่านว่า ข็อ-ซี) พระยาอนุมานราชธน ในนามปากกา ‘เสฐียรโกเศศ’ สันนิษฐานว่าขันทีเพี้ยนมาจากคำสันสกฤต ที่หมายถึงผู้ชายที่ถูกตัดถูกตอน[6] ขุนวิจิตรมาตรา ในนามปากกา ‘กาญจนาคพันธุ์’ บอกว่าขันทีเทียบกับภาษาอังกฤษได้กับคำว่า Eunuch มีรากศัพท์มาจากภาษาอิหร่านหมายถึงผู้ชายที่ตอนแล้ว[7] บ้างก็ว่า Eunuch มีรากศัพท์จากกรีกโบราณ
แม้ที่มาที่ไปของ ‘นักเทษขันที’ ไม่ชัดเจน แม้กระทั่งความหมายของคำ แต่ชุดอธิบายทั้งหมดก็มักอธิบายว่าเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ มนุษย์ที่ถูกตัดออกไปทำให้ขาดหาย สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติแบบ ‘เอาลึงค์เป็นศูนย์กลาง’ (phallocentrism) ที่คำนิยามโฟกัสอยู่แต่การตัดอวัยวะเพศมากกว่าจะบ่งบอกสถานะหน้าที่ เหมือนราชทินนามยศถาบรรดาศักดิ์อื่นๆ
เจ้าพระยานั่นกรมหมื่นนี่ ที่ไม่ได้เกี่ยวว่าถูกเจื๋อนหรือไม่ การให้คุณค่าแต่กับจู๋และการโฟกัสเฉพาะภาวะไร้จู๋ของขันทีจึงนำไปสู่การลดคุณค่าความเป็นคนของอาชีพนี้ ประวัติศาสตร์ขันทีในราชสำนักจีนถูกเรียกให้เป็น ‘อมนุษย์ในร่างของคน’ บ้าง ‘สิ่งชำรุดทางมนุษศาสตร์’ บ้าง[8]
ขณะเดียวกันความเข้าใจขันทีของคนไทยก็มักมีภาพเป็นชาวจีนมากกว่าอาหรับ และภาพตัวแทนของขันทีในราชสำนักจีนที่คนไทยรู้จักตามหนังละครนิยาย มักมีภาพโฉดชั่ว บ้าอำนาจ สอพลอตอแหล เจ้าเล่ห์เพทุบาย โลภและทะเยอทะยาน เป็นทั้งตัวร้ายและตัวอิจฉา[9] เหมือนกับที่ตัวละครพระกำนัลนารี ‘สังข์’ ใน ‘ศรีอโยธยา’ ถูกแนะนำว่าเป็น
“น้องชายลักเพศของ “เจ้าพระยาพลเทพ” ผู้ถวายตัวเป็น “พระกำนัลนารี” (ขันที) ตั้งแต่แผ่นดิน “สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ” เป็นชายลักเพศที่ใฝ่หาแต่ความสุขสบายใส่ตน และบ้าอำนาจไม่แพ้พี่ชาย แต่ในความที่เป็นคนฉลาดหลักแหลมในการเจรจาพาทีอันตลบตะแลงปลิ้นปล้อน จึงเป็นฝ่ายเพ็ดทูลให้องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญพระราชหฤทัยได้ชั่วครู่ชั่วยาม ประดุจตลกหลวงในราชสำนัก”[10]
แม้ ‘พระกำนัลนารี’ จะฟังรื่นหูกว่าขันทีหน่อย แต่ทั้งขันทีและพระกำนัลนารี ก็เป็นภาพสะท้อนผลผลิตของยุคสมัยที่ยังมีการค้าทาส มี ‘เจ้าชีวิต’ ที่จะต้องอุทิศตนเป็นข้ารองบาทรับใช้ แม้กระทั่งเนื้อตัวร่างกาย อวัยวะและเพศสภาพเพศวิถีของตนเองก็ต้องถวายในนามของความจงรักภักดี ภายใต้โครงสร้างสังคมที่เลื่อมล้ำกันอย่างรุนแรง ทว่าบริบทเช่นนี้แหละที่ดันเรียกว่า ‘ยุคบ้านเมืองดี’
‘ศรีอโยธยา’ เรียกคนที่เกิดในสมัยนั้นว่าเป็น ‘คนยุคบ้านเมืองดี’
ปลาสนาการของขันทีแขก แล้วมีพระกำนัลนารี ‘สังข์’ ชาวไทยมาแทนนั้น ก็ไม่ต่างไปจากความเงียบงันของบรรดาตัวละครขุนนางชนชั้นปกครองชาย ที่ควรจะมีเสียงตามจังหวะขยับเขยื้อนกาย
เพราะอีกวัฒนธรรมของผู้ชายครั้งบ้านเมืองดีนั้นก็คือการตบแต่งองคชาต ด้วยการฝังบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในเนื้อองคชาต จากบันทึกจีนของหม่าฮวนที่เดินทางเข้ามาในอโยธยา ระบุไว้ว่า ราษฎรชายอยุธยาพออายุได้ 20 ปี ก็จะประดับอวัยวะเพศตนเองด้วยการไปดึงหนังหุ้มปลายออกมาแล้วใช้มีดคมบางเฉียบกรีดผ่าผิว จากนั้นจึงยัดลูกปัดดีบุกจำนวน 1 โหล เข้าไปใต้ผิวหนัง ปิดไว้ให้สนิทแล้วใช้สมุนไพรสมานรักษาแผลจนหายดี เมื่อพวกหนุ่มๆเดินไปไหนมาไหน อวัยวะเพศชายที่เต็มไปด้วยลูกดีบุกจึงดูเหมือนพวงองุ่น ในกรุงศรีอยุธยาจึงมีอาชีพบริการในการรับจ้างผ่าตัด ฝังลงเนื้อ ไปจนถึงหล่อเชื่อมลูกปัดดีบุก และยิ่งถ้าชายคนนั้นเป็นขุนนาง มูลนาย เศรษฐี หรือกษัตริย์ ก็จะใช้ทองคำทำเป็นเม็ดกลวงๆแล้วใส่เม็ดทรายลงไป แทนลูกดีบุกก่อนจะเอาไปฝังในหนังหุ้มจู๋ เสด็จไปไหนมาไหนก็จะมีเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง ถือว่างามนักเชียว และถ้าชายใดไม่มีลูกปัดถือว่าชั้นต่ำ[11]
ทว่าตัวละครชายในละครที่ล้วนแล้วเป็นชนชั้นสูงกลับไม่มีเสียงกรุ๋งกริ๋งแว่วมาเลย ไม่ว่าในยามเยื้องย่าง วิ่งแข่ง หมอบคลาน ซ้อมโขน หรือเดินจงกรม
การไม่มีและอยู่ดีๆ ก็มีขึ้นมาเฉยเลยในภาพยนตร์ชุดอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ขนาดคนเขียนบทสามารถจับพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเป็นเทวดาที่เพิ่งสร้างในกรุงรัตนโกสินทร์ มาอยู่ในบทสนทนายัดใส่ปากตัวละครชาวอโยธยาได้ ทำไมจะมีปลั๊กไฟ แท็งก์น้ำ และขันทีชาวไทยในอาณาจักรอโยธยาไม่ได้
เอาน่า…ถือสะว่านั่งดูละครจักร์วงศ์ๆ หรือการ์ตูนมนุษย์หินฟลินท์สโตนส์ กำลังเล่าถึงครอบครัวยุคดึกดำบรรพ์ มีเทคโนโลยีและวิถีชีวิตคล้ายมนุษย์ปัจจุบัน เพียงแต่ทำจากบริบทยุคหินก็แล้วกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1]TrueVisionsOfficial. คนยุคบ้านเมืองดี ศรีอโยธยา ตอนที่ 5 พระกำนัลนารีสังข์ ขันทีศรีอโยธยา. Published on Nov 4, 2017.
[2] จุฬารัตน์. ขันทีแขกในราชสำนักอยุธยา. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 21 ฉบับที่ 6 (เมษายน 2543), น. 66-73.
[3] เรื่องเดียวกัน
[4] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). อยุธยา = Discovering Ayutthaya. สมุทรปราการ : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2550, น. 160.
[5] จุฬารัตน์. ขันทีแขกในราชสำนักอยุธยา. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 21 ฉบับที่ 6 (เมษายน 2543), น. 66-73.
[6] Taisuke Mitamura (เขียน) ; วินัย พงศ์ศรีเพียร (แปลและเรียบเรียง). ขันทีจีน. กรุงเทพฯ : วรรณศิลป์, 2534.
[7] กาญนาคพันธุ์. ภูมิศาสตร์วัดโพธิ์ เล่ม 2. กรุงเทพ: บุรินทร์การพิมพ์, 2517, น. 131.
[8] เล่า ชวนหัว. ขันที : สิ่งชำรุดทางมนุษยศาสตร์.กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย, 2534, น. 9, 12.
[9] หลิงไห่เฉิง (เขียน) ; เรืองชัย รักศรีอักษร (แปล). ขันทีคนสุดท้าย. กรุงเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2548.
[10] SriAyodhaya Official. April 20
[11] สุจิตต์ วงษ์เทศ. อยุธยายศยิ่งฟ้า : ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2544, น. 213-215. ; ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. ประวัติศาสตร์มักง่าย: ผู้ชายอยุธยา ฝังลูกปัดไว้ที่องคชาติ?. 7 กันยายน 2559.