ฮะ อะไรนะ? บ้า ไม่มี ไม่ได้อ่านบทความอะไรมาเลย จริงจริ๊งงงงง
อยากเขียนเพราะฉันนี่แหละ ดาราเด็ก ไม่ใช่ตอนนี้สิ นี่วัยกลางคนแล้ว แต่สิริรวมอายุการทำงานก็เท่ากับทำมาแล้ว 23 ปี ก็ป้าเล่นเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 13 ไม่รู้จะรีบไปไหน ดูซิ ชีวิตวัยเด็กสูญหายไปหมดเลย
แล้วชีวิตวัยเด็กมันดียังไง ไหนพูดมาซิ
ถ้าถามฉัน ฉันก็ต้องบอกว่ามันก็ยังงั้น ยังงั้นน่ะแหละ ด้วยความที่ไม่ใช่เด็กป๊อป ไม่ใช่เด็กสวย ไม่ใช่เด็กกิจกรรม ไม่ใช่เด็กเรียนจะใช่อย่างเดียวก็คือเป็นเด็กมึนๆ อึนๆ ไร้อำนาจต่อรองทางสังคม อ้าว ก็มนุษย์เราก็เท่านี้ ถ้าอยากได้อะไรเราก็ต้องแลกมาใช่ไหมล่ะ อยู่ๆ จะมียักษ์ในตะเกียงที่ไหนเสกของมาให้ต่อหน้าโดยไม่มีเงื่อนไขก็เป็นไปไม่ได้
เป็นเด็กนี่ ถ้าเรียนไม่ดี อำนาจต่อรองกับพ่อแม่เพื่อนฝูงก็น้อยไปสเต็ปหนึ่ง จะปวดหัวปวดท้องทำอินดี้บ้างบางวันก็จะถูกมองด้วยสายตาแคลงใจ ว่าป่วยจริงหรือขี้เกียจ แต่ถ้าเรียนดีเสียหน่อยก็พออนุโลม
อ่ะ กลับมาเข้าเรื่องดาราเด็กกันก่อน
แน่นอนว่าเราได้ยิน’ปัญหา’ของเด็กที่ทำงานในวงการบันเทิงอยู่เรื่อยๆ จนอาจจะมองไปว่าวงการนี้ช่างน่ากลัวแปดเปื้อนเสียเหลือเกิน จนบางทีก็ลืมไปว่าเด็กที่มีปัญหาเพราะมีปัญหาเฉยๆ ก็มี และดาราเด็กที่ไม่มีปัญหาเพราะไม่มีปัญหาก็มีเช่นกัน
ฉันนี่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายหลัง แล้วอย่ามาบอกเชียวว่าแหม แกแค่หางหมา ไม่ใช่หัวราชสีห์ ดังเฉพาะแค่ในไทยไม่ได้แบกรับความกดดันเหมือนดาราดังฝรั่งเมืองนอกนี่ยะ อ้าว เหรอ ความกดดันนี่มันก็กดดันนะ มีความกดดันภาคพื้นยุโรปกับเอเชียด้วยเหรอ ดาราฝรั่งที่เริ่มงานแต่เด็กแล้วไม่พังก็มีเหมือนกันนะคุณ นาตาลี พอร์ตแมน โจดี้ ฟอสเตอร์ ไรอัน กอสลิ่ง ฯลฯ
คราวนี้ที่ว่ามันพังนี่มันพังเพราะอะไร
ก็–เหตุผลเดียวกับที่ผู้ใหญ่ก็พังกันได้นั่นแหละ คือความคาดหวัง ต้องดี ต้องน่ารัก ต้องเล่นได้ ต้องอยู่ในโอวาท ต้องไม่ประสาทเสียหนีไปเที่ยวผับ แต่เอาง่ายๆ เด็กวัยรุ่นที่ไหนต่อให้ไม่เป็นดาราแล้วไม่มีปัญหาเหล่านี้ก็ต้องนับว่าเป็นอภิชาติวัยเยาว์อย่างยิ่งแล้ว นี่พอทำงานตั้งแต่เด็ก มีอำนาจต่อรองทั้งกับพ่อแม่และกองถ่าย มันก็ง่ายขึ้นที่จะเผลอไผล เป๋ออกไปนอกทาง
เรียกว่าเมื่อพ่อแม่สูญเสียอำนาจการควบคุมในมือ เพราะลูกมันดันทำมาหากินได้เหมือนกัน แถมบางทีพ่อแม่ต้องหยุดงานมารับส่งเสียอีก กลไกของอำนาจในครอบครัวก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง เด็กก็ลองผลักเส้นความเป็นไปได้ให้กว้างออกเรื่อยๆ วันนี้ทำงานดึก พรุ่งนี้ไม่ไปเรียนได้ไหม? หนูทำงานได้เงินแล้วไง ทำไมจะขอซื้ออะไรตามใจตัวเองบ้างไม่ได้
เรื่องมันก็ไต่อยู่ระหว่างอำนาจและการต่อรองกันนี่แหละ ไม่ได้โซ เซนติเมนทัลโนสทัลเจียกระไรนักหนา
แต่ประเด็นความอาลัยในชีวิตวัยเด็กที่สูญเสียไปนั้นมันจะมาถึงเราตอนโตมากๆ แล้ว และยิ่งถ้าไม่ประสบความสำเร็จ (ซึ่งโอกาสเป็นไปได้มากกว่าประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงด้วยซ้ำถ้าจะว่าไป) ก็จะยิ่งหวนหาโหยไห้ ว่ารู้อย่างนี้กูตั้งใจเรียนเสียก็ดี แทนที่จะเอาเวลามาเดินผ่านกล้อง
แต่ถ้าประสบความสำเร็จน่ะ แกจะไปซื้อทุ่งหญ้ามาตียอดเล่นซักร้อยเอเคอร์ก็ได้ หรือจะโค่นกล้วยซัก 3 ไร่ 8 งานมาทำม้าขี่ก็ไม่มีใครครหา จะทำตัวซัฟเฟอร์หวนหาอดีตสร้างเนเวอร์แลนด์เลี้ยงชิมแปนซีก็เอาเลย
ขอให้ทำให้ได้แค่นั้นแหละ
ซึ่งการวัดใจเบอร์นี้ ไม่ใช่จะเกิดขึ้นแต่กับเด็ก อายุช่วงไหนก็มีสิทธิ์ได้วัดใจกันทั้งนั้น ประสบการณ์ชีวิตบางทีก็ไม่ได้สอนอะไรเราเท่าไหร่ ลองคิดดูว่าได้วัดใจตอน 13 แล้วมีโอกาสเริ่มใหม่ กับวัดใจตอน 30 แล้วมองซ้ายเห็นเพื่อนเล่นหุ้น ออกรถใหม่ มองขวาเห็นไอ้คนที่เคยลอกการบ้านกูไปยุโรปรอบที่ 15 อะไรมันจะเจ็บกว่ากัน
ฉันไม่ได้หมายความว่าเงินคือทุกอย่างในชีวิต แต่ดูจะเป็นเรื่องของโอกาสและการตัดสินใจเสียมากกว่า
ปัญหาก็คือต้องแยกให้ได้ว่า เมื่อโอกาสและการตัดสินใจมาถึงนั้น การจะทำหรือไม่ทำ ทำได้หรือไม่ได้เป็นความอยากของคุณผู้ปกครองหรือคุณลูกกันแน่ และถ้าล่มขึ้นมาก็ต้องรับความจริงกันให้ได้ทั้ง 2 ฝ่ายด้วย
ชีวิตเราก็เท่านี้
ใครจะโตเร็วโตช้าหวนหาอดีตหรือกลบฝังมัน ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวกันไป ดีไม่ดีต่อให้เลือกแล้วว่าอยากจะให้ชีวิตไปทางไหน บางทีหางเสือและคลื่นลมมันก็ไม่เป็นใจ พาไปชนเข้ากับหินโสโครกเอาดื้อๆ อย่างนั้นเอง