เย็นวันจันทร์ที่ 17 เมษายน ค.ศ.1995 ชอว์น เนลสัน (Shawn Nelson) ขโมยรถถัง M60A3 Patton จากคลังอาวุธของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐอเมริกา หรือ National Guard เจ้าเหล็กหนัก 57 ตันทะลุออกนอกรั้วปราการหนาสร้างเสียงกระหึ่มลั่นดังก้องเหยียบย่ำด้วยความโหดเหี้ยมไปทั่วย่านเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานความคุ้มคลั่งที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์
.
มันไม่ใช่แค่เหตุของชายคลุ้มคลั่งธรรมดาที่สร้างความปั่นป่วนให้กับสังคม แต่เรื่องราวของชอว์น เนลสัน นั้นมีที่มาที่ไปจนกลายเป็นเหตุให้เขาทำอะไรที่บ้าคลั่งแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลใดๆ มาลบล้างความผิดในสิ่งที่เขาทำ แต่การพังทลายในชีวิตของเนลสัน คือหนึ่งในตัวอย่างที่นักวิชาการวิเคราะห์ว่ามันคือความล้มเหลวขั้นสุดของสังคมชนชั้นกลางจนคิดแค้นสร้างเหตุรุนแรงคืนแก่สังคมที่เขาไม่สามารถอยู่ร่วมได้
เรามาดูที่มาที่ไปของชายผู้นี้ และเวลาแห่งความโหดเหี้ยมตลอดเวลา 23 นาทีบนท้องถนนซานดิเอโกกัน
ชอว์น เนลสัน เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่นในเมืองแคลร์มอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเข้าเรียนที่เมดิสันไฮสกูลก่อนที่จะผันตนเองไปเป็นทหาร เข้าฝึกที่ฐานทัพฟอร์ท น็อกซ์ รัฐเคนตักกี้ รับใช้กองทัพในกองพันรถถังในประเทศเยอรมนีตะวันตกตลอดระยะเวลา 2 ปี ก่อนที่จะปลดประจำการอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีในปีค.ศ.1980 เขากลับบ้านพร้อมความฝันแบบอเมริกันที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมการงานที่มั่นคง นี่อาจเป็นเหมือนชีวิตปกติสุขในครอบครัวอเมริกันชนยุค 80s ทั่วไป แต่สำหรับเนลสันแล้ว ชีวิตของเขากำลังจะแย่ลงเรื่อยๆ
ชอว์น เนลสัน แต่งงานกับ ซูซี่ เฮลแมน เนลสันเปิดธุรกิจเกี่ยวกับการซ่อมประปา ส่วนเฮลแมนทำงานเป็นเลขานุการทางกฎหมาย พวกเขามีรายได้มากพอจนสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ ทั้งสองใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขเป็นระยะเวลากว่า 6 ปี จนกระทั่ง เบ็ตตี้ แม่ผู้เป็นที่รักของเนลสัน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปีค.ศ.1988 หลังจากนั้นเป็นต้นมาภรรยาของเขาก็อธิบายว่าความสูญเสียที่รุนแรงนี้ทำให้พฤติกรรมของเนลสันได้กลายเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาติดแอลกอฮอล์รวมถึงมีการใช้สารเสพติด เธอไม่สามารถอยู่ร่วมได้จนฟ้องหย่าในปีค.ศ.1990 และในปีเดียวกันนั้นเอง เนลสันก็ประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่คอและหลัง และถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางกฎหมายจากภรรยาในขณะที่เขากำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ถึงแม้เนลสันจะไม่พิการ แต่อาการบาดเจ็บของเขายังคงเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เขาอาศัยอยู่กับพ่อผู้เป็นครอบครัวคนสุดท้ายในชีวิต ทว่าความเลวร้ายไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะ 2 ปีถัดจากนั้น ในปีค.ศ.1992 เฟร็ด ผู้เป็นพ่อก็ได้จากไปด้วยโรคมะเร็งเช่นเดียวกับแม่ของเขา
ในปีค.ศ.1995 รถตู้และเครื่องมือซ่อมประปาที่ไว้ทำมาหากินของเนลสันถูกขโมย ฟางเส้นสุดท้ายนี้ทำให้เนลสันหมดใจกับชีวิตและสังคม การเงินของเขาย่ำแย่จนน้ำไฟถูกตัด ธนาคารเริ่มดำเนินการยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี เนลสันหันไปติดยาและแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง มีแฟนคนใหม่ที่เล่นยา แต่หลังจากพวกเขาคบกันได้ไม่นานเธอก็มาจากไปจากการใช้ยาเกินขนาด ชีวิตช่วงสุดท้ายของเนลสันจึงมักจะเมาเหล้าไม่ก็เมายา เขาเมาถึงขนาดที่ไปขุดหลุมลึก 17 ฟุตในสวนหลังบ้านของเขา และเรียกเพื่อนๆ มาดูในสิ่งที่เขาเรียกว่าความสำเร็จ
ชอว์น เนลสัน เคยเป็นอดีตทหารพลขับรถถัง ประจำการที่เยอรมนีตะวันตก กลับมาพร้อมเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่น่าเชื่อว่าถัดจากนั้นไม่กี่ปี ชีวิตของเนลสันก็กลายเป็นหายนะ สูญเสียทั้งพ่อและแม่ด้วยโรคมะเร็ง ภรรยาฟ้องหย่า ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ แพ้คดีหลายคดี ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางกฎหมาย สูญเสียธุรกิจ ไม่มีรายได้ แฟนสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด เจ็บปวดอย่างต่อเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หลัง และกำลังจะกลายเป็นคนเร่ร่อนจากหนี้มหาศาลที่กำลังจะถูกยึดบ้านสมบัติสุดท้ายของเขาไป
ชอว์น เนลสัน แก้ไขปัญหาเหล่านี้ ด้วยการเดินเข้าไปในคลังอาวุธของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่มีใครรู้ว่าเขาหลบหลีกการรักษาการณ์เข้าไปได้อย่างไร ในฐานะทหารผ่านศึก เขารู้ดีว่าจะขับมันอย่างไร เมื่อเนลสันเจอรถถัง เขาเข้าไปสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยปุ่มกดในรถถังซึ่งไม่ต้องใช้กุญแจ รถถังสองคันแรกที่เนลสันแอบเข้าไปไม่สตาร์ทไม่ติด จนในที่สุดเมื่อเขาเข้าไปนั่งบนรถถังคันที่สามแบบ M60A3 Patton ขนาด 57 ตัน ที่มีทั้งแบตเตอรี่และเชื้อเพลิงที่มากพอ เนลสันสตาร์ทมันติด และขับพุ่งประตูทางออกไปหน้าตาเฉยท่ามกลางความสับสนของทหารที่ต่างยืนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
โชคดีที่บนรถถังไม่ได้บรรจุกระสุนสำหรับปืนใหญ่ 105 มม. ปืนต่อต้านอากาศยาน 12.7 มม. และปืนกล 7.62 มม. แต่เพียงความใหญ่มหึมา ความหนักและถึกทน มันก็ทำให้เมืองซานดิเอโกพังพินาศได้อยู่ดี เคลลี เบิร์ด ชายผู้ที่กำลังตัดหญ้าอยู่หน้าบ้านเป็นหนึ่งในพยานที่มองเห็นรถถังคันนี้บดทับขยี้รถที่จอดในละแวกนั้นไปอย่างน้อย 25 คัน
เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ตำรวจก็มาถึง แม้ว่ารถถังจะทำความเร็วสูงสุดได้เพียง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือราว 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ารถตำรวจจะหยุดเขาได้ รถตำรวจหลายคันเปิดเสียงสัญญาณและพยายามพูดออกลำโพงบอกให้เนลสันหยุดขณะกำลังวิ่งถล่มบนถนนในย่านแคลร์มอนต์ แต่ไม่มีอะไรมาขวางทางเขาได้ เขาวิ่งชนไปตามป้ายถนน ก๊อกน้ำ รถที่จอดอยู่ทุกรูปแบบไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ไฟจราจร เสาไฟฟ้า แทบทุกอย่างที่อยู่ด้านหน้าราบเป็นหน้ากลอง อะไรที่เนลสันชนตอนแรกแล้วไม่ล้ม เขาจะถอยหลังแล้วชนอีกรอบจนกว่าจะพัง รถกว่า 40 คันที่จอดอยู่รวมถึงรถบ้าน 1 คันเสียหายจนแทบซ่อมไม่ได้
แม้จะไม่มีชาวบ้านประชาชนคนใดเสียชีวิตไม่ว่าด้วยความตั้งใจของเนลสันหรือไม่ก็ตาม แต่เสาไฟฟ้าและแหล่งสาธารณูปโภคที่ล้มพังทลายนั้นส่งผลให้ชาวบ้านกว่าละแวกนั้น 5,100 รายต้องได้รับความเสียหาย
หลังจากย่านชุมชนพังพินาศเรียบร้อย คราวนี้เนลสันพยายามนำรถถังออกไปทางหลวงหมายเลข 163 ของรัฐ ตำรวจพยายามใช้รถทุกคนที่มีต้อนรถถังจนสุดท้ายมันได้ไต่ขึ้นไปติดอยู่บนรั้วกั้นคอนกรีตจนหยุดนิ่งสนิท ริค ไพลเนอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจซานดิเอโกวิ่งขึ้นไปบนรถถัง เปิดประตู และสั่งให้เนลสันมอบตัว แต่เนลสันไม่ยอมฟัง เขายังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้รถถังขยับออกได้อีกครั้ง ไพลเนอร์จึงต้องตัดสินใจยิง กระสุนพุ่งไปยังไหล่ของเนลสัน เขาล้มลง การอาละวาดตลอด 23 นาทีสิ้นสุดลง เขาถูกนำตัวส่งยังโรงพยาบาล และเสียชีวิตต่อจากนั้นไม่นาน
ข่าวนี้ได้กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เนลสันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเดินทางบนชีวิตอันโชคร้ายของชนชั้นกลางที่ล้มเหลว และเป็นคำเตือนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออดีตทหารกลับมองเห็นประเทศเดียวกันกลายเป็นศัตรู ข่าวทั้งในและนอกประเทศต่างประโคมให้ชายผู้นี้เป็น “คนบ้า” “คนคลั่ง” และ “คนติดยา” กลายเป็นสองมุมมองที่คิดต่างกันระหว่างสิ่งที่เขาทำ มันเป็นเพียงเรื่องบ้าๆ หรือเป็นการแก้แค้นทางสังคมที่ควรจับตามอง
เจอร์รี แซนเดอร์ส ผู้บัญชาการตำรวจซานดิเอโก กล่าวว่าเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต เรื่องพฤติกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นนั้นจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสังคมวิทยา ในมุมมองของเขามีเพียงบทเรียนเดียวที่สำคัญ นั่นคือบทเรียนกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ว่าเหตุใดถึงปล่อยให้ชายคนหนึ่งเข้าไปถึงอาวุธหนักได้เพียงนี้
ดร.มาร์ค คาลิช จิตแพทย์จากซานดิเอโกกล่าวว่าเหตุที่เกิดขึ้นมีเหตุผลเดียวคือ แอมเฟตามีนที่เป็นส่วนประกอบของยาบ้า “แอมเฟตามีนทำให้คนอย่างเขาคลั่ง ก้าวร้าวและรุนแรง ไม่ว่าใครก็มองออกว่าผู้ชายคนนี้กำลังเสพยาบ้า” คาลิชมองว่าโศกนาฏกรรมของเนลสันส่วนใหญ่เป็นเพราะยาที่เขาเสพ หาใช่สัญลักษณ์ของความวิบัติทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วงเวลานั้นไม่
แต่เมื่อมองลึกลงไป ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับซานดิเอโก การตกงานของชนชั้นกลางหลายหมื่นแสนคน โดยเฉพาะโรงงาน General Dynamics ที่มีการเลิกจ้างวิศวกรถึง 40,000 คนด้วยระยะเวลาเพียงแค่ปีเดียว
แลมเบิร์ต เดโว หนึ่งในผู้สร้างสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวของเนลสันและความล้มเหลวในซานดิเอโก “Cul de Sac: A Suburban War Story” เล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ เขากล่าวว่ามีหลายครอบครัวที่ต่างทรุดโทรมและสิ้นหวัง และพวกเขาต่างล้วนระงับความเจ็บปวดทางจิตใจด้วยยาเสพติดและแอลกอฮอล์
ส่วน ซูซาน ฟาลูดี นักเขียนสตรีนิยม กล่าวว่ากองกำลังอันทรงพลังได้ทรยศต่อชายชาวอเมริกันคนนี้ ดังนั้นในฐานะชายชาวอเมริกันคนหนึ่งจึงเลือกที่จะต่อสู้กลับ “ถ้าคุณไม่สามารถให้โครงสร้างพื้นฐานกับเขา เขาก็สามารถทำลายมันลงได้ หากกองทัพไม่ให้ศัตรูเขามาสู้รบ เขาก็กลับไปทำสงครามที่บ้านได้ หากไม่มีเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ เขาก็จะต้องยืนหยัดอยู่คนเดียว หากเราไม่ได้มองถึงการกระทำของเขา ชีวิตที่สิ้นหวังของชอว์น เนลสัน เป็นตัวอย่างที่ดีที่เกิดขึ้นกับใครหลายๆ คน”
ส่วนซูซี่ เฮลแมน อดีตภรรยาของเนลสันกล่าวถึงเหตุการณ์นี้เพียงว่า
“ฉันว่าเรื่องราวนี้มันไร้สาระ เราเคยมีทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต เขาเคยเป็นคนฉลาดที่มีวิธีการที่ดีที่จัดการกับลูกค้า สุดท้ายแล้วเขาก็แค่เสพยา แค่นั้นแหละ”
สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะมองอย่างไร แต่เหตุการณ์ของเนลสันก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดจากทั้งความล้มเหลวอันรุนแรง ยาเสพติด รวมไปถึงการไม่ยอมถอดแบตเตอรี่รถถังเมื่อไม่ได้ใช้งาน
อ้างอิงข้อมูลจาก