การยึดครองอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตเหมือนการกระโดดเข้าไปกลางรังแตน ซึ่งคงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่หวังว่าตนเองจะไม่ถูกต่อย กลุ่มต่อต้านโซเวียตค่อยๆ ผุดขึ้นทั่วทุกแว่นแคว้นในโลกมุสลิม ไม่จำกัดอยู่ในอัฟกานิสถานเท่านั้น แต่กระจายไปจนถึงโลกอาหรับในตะวันออกกลาง
กองกำลังติดอาวุธและนักรบ ‘Freelance’ คนแล้วคนเล่าเดินทางมุ่งหน้าจากนานานับประเทศเข้าสู่อัฟกานิสถานเพื่อเข้าร่วมสงครามจับอาวุธต่อสู้กับ ‘พวกนอกรีต’ คนชั่วร้ายไร้ศาสนาผู้เป็นศัตรูกับอิสลาม นักรบเหล่านี้เรียกตัวเองรวมๆ ว่านักรบ ‘มูจาฮิดีน’ หรือนักรบผู้กระทำการ ‘จิฮาด’ ซึ่งแปลคร่าวๆ ได้ว่าการจับอาวุธดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งศาสนาอิสลาม
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงเวลาเกือบสิบปีนี้ก็คือ อัฟกานิสถานได้กลายเป็นเหมือน ‘โรงเรียนอนุบาลผู้ก่อการร้าย’ ไปโดยปริยาย จากจุดเริ่มต้นของการรวมเป็นหนึ่งของโลกมุสลิมเพื่อร่วมต่อสู้ศัตรูเดียวกัน กลุ่มต่างๆที่ได้เข้าไปเรียนรู้และสร้างเครือข่ายนักรบจากสงครามครั้งนี้ และหลายๆ กลุ่มได้พัฒนาจากจุดนั้นกลายมาเป็นกลุ่มที่ถูกขนานนามว่ากลุ่มก่อการร้ายขนาดใหญ่ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอัลกออิดะฮ์ของโอซามา บิน ลาดิน หรือแม้กระทั่งผู้ก่อตั้งกลุ่มไอซิส ชาวจอร์แดนที่ชื่อว่าอะบู มูซาบ อัล ซาคาวี ก็ได้เข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยในช่วงปลายของสงคราม ก่อนที่จะก่อตั้งไอซิสขึ้นมาในปี 1999
ในฝั่งของสหภาพโซเวียต การพยายามเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถานส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องไร้ผล หนำซ้ำยังต้องเจอกับการโจมตีจากมูจาฮิดีนกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ตลอดเวลา ทำให้สงครามในอัฟกานิสถานกลายเป็นค่าใช้จ่ายทางการทหารที่มีราคาแพงมากๆ สำหรับรัสเซีย ยิ่งในช่วงเวลาที่โลกคอมมิวนิสต์กำลังเจอปัจจัยลบจากรอบด้าน สงครามในอัฟกานิสถานได้กลายเป็นสงครามที่รัสเซียเองไม่มีปัญญาจะจ่าย จนท้ายสุดทนต่อไม่ไหว รัสเซียตัดสินใจถอนทัพออกในปี 1989 เก้าปีกว่าๆ หลังจากยกทัพบุกเข้ามา และสองปีก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991
แต่สงครามก็ไม่ได้จบลงหลังจากที่โซเวียตถอนทัพออกไป แต่กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์กลับย่ำแย่ลงไปอีก ระหว่างปี 1989-1996 อัฟกานิสถานต้องเจอกับสงครามกลางเมืองครั้งที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ เมื่อกลุ่มมูจาฮิดีนทั้งหลายที่ก่อนหน้านี้จับมือกันร่วมขับไล่รัสเซีย ได้หันมาสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งจากปากคำคนอัฟกานิสถานที่ได้คุยด้วยก็ได้ระบุว่านี่เป็นยุคสมัยที่ย่ำแย่ที่สุดในการอาศัยอยู่ในประเทศนี้ แทบทุกวันมีระเบิดลง มีคนยิงกัน มีคนตาย บ้านเมืองเละเทะจนแทบจะอาศัยอยู่ไม่ได้
และช่วงเวลานี้เองคือช่วงที่กลุ่มตาลิบันได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1991 ท่ามกลางไฟแห่งสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน กลุ่มนักเรียนศาสนาในเมืองKandaharในตอนใต้ของประเทศได้รวมตัวกันจับอาวุธลุกขึ้นสู้ภายใต้การนำของครูสอนศาสนาที่ชื่อว่ามุลเลาะห์ โมฮัมหมัด โอมาร์ โดยคำว่า Talib นั้นแปลตรงตัวได้ว่า ‘นักเรียน’ และ Taliban ก็คือรูปพหูพจน์ของ Talib
เงินสนับสนุนส่วนใหญ่ของกลุ่มตาลิบันมาจากรัฐบาลปากีสถานผู้ที่ต้องการสร้างรัฐบาลอัฟกานิสถานที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับตน กลุ่มตาลิบันได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านอาวุธและกองกำลังที่ส่วนหนึ่งที่ถูกเกณฑ์มาจากโรงเรียนสอนศาสนาต่างๆ ในปากีสถานซึ่งมีทั้งคนอัฟกันและคนปากี
นอกเหนือจากการสนับสนุนจากปากีสถานแล้ว อีกแรงที่หนุนกลุ่มตาลิบันขึ้นมาก็คือกลุ่มอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนาภายในอัฟกานิสถานเอง ที่หลักๆ ถูกเกณฑ์มาจากโรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทางตอนใต้ของประเทศ รวมไปถึงนักวิชาการและนักการศาสนาหลายๆ คนที่อยากให้เกิดความสงบขึ้นในอัฟกานิสถาน ทำให้ในกองกำลังของตาลิบันเองมีทั้งส่วนที่เป็นชาวบ้านไม่มีการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่กลายเป็นไพร่พลในกองกำลังติดอาวุธ และคนชั้นกลางถึงชั้นสูงผู้มีการศึกษา ซึ่งรับผิดชอบเรื่องบริหารจัดการองค์กร
ในช่วงเริ่มต้นตาลิบันได้รับการสนับสนุนจากคนอัฟกันทั่วไปพอสมควร เพราะภาพลักษณ์ยังไม่ได้ดูบ้าคลั่งเหมือนในปัจจุบัน และจากเดิมที่ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานตกอยู่ในภาวะไร้กฎไร้เกณฑ์โดยสิ้นเชิง ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจระหว่างกองกำลังติดอาวุธต่างๆ ตาลิบันเองสามารถเข้ามาปราบขุนศึกต่างๆ เหล่านี้ได้และสร้างระเบียบสังคมขึ้นได้บ้าง
หลังจากนั้นตาลิบันก็สามารถรวบรวมกำลังได้เป็นหลักหมื่น โดยยังคงใช้เงินสนับสนุนส่วนใหญ่จากรัฐบาลปากีสถาน ซึ่ง ส่งเงิน กำลังพล และอาวุธผ่านหน่วยงานแบบ CIA ของปากีสถานที่มีชื่อว่า ISI (Inter-Services Intelligence)
ตาลิบันบุกเข้าโจมตีกรุงคาบูลในเดือนกันยายนปี 1996 ส่งกองกำลังมูจาฮิดีนอื่นๆ ที่เหลือถอยร่นกลับไปยังภาคเหนือของประเทศ สามารถยึดครองอำนาจและจัดตั้งรัฐบาลหลังจากนั้น
จากสภาวะไร้กฎไร้เกณฑ์เป็นระยะเวลาเกือบสิบปีหลังจากที่สหภาพโซเวียตยกกองกำลังออกไป อัฟกานิสถานตกอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลตาลิบันอยู่ 5 ปี ตั้งแต่ 1996 ถึง 2001 ตาลิบันได้เข้าครอบงำทุกมิติของชีวิตของชาวอัฟกันด้วยกฎเกณฑ์ที่สร้างมาจากการตีความอิสลามแบบสุดขั้ว ผสมผสานกับแนวคิดชาวพาชตุนเป็นใหญ่ (Pro-Pashtunism)
แต่ภายหลังขึ้นมามีอำนาจ กลุ่มหัวก้าวหน้า (ซึ่งมีอยู่จำนวนหนึ่งในตาลิบัน) กลับถูกครอบงำด้วยกลุ่มที่เป็นอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ซึ่งมีกำลังมากกว่า ทำให้นโยบายต่างๆ ผิดแปลกออกไปจากสัญญาตอนแรกของตาลิบันที่กล่าวว่าจะสร้างความสงบ การพัฒนาก้าวหน้า และการเมืองแบบมีส่วนร่วมให้กับชาวอัฟกานิสถานโดนสิ้นเชิง
ภายใต้รัฐบาลตาลิบัน อัฟกานิสถานได้เปลี่ยนชื่อเป็น Islamic Emirate of Afghanistan ในยุคนี้ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าโรงเรียน ออกมาจากบ้านต้องมีญาติผู้ชายพาออกมาด้วยและต้องคลุมตัวไม่ให้เห็นเนื้อหนังแม้แต่นิดเดียว เว้นไว้แค่ช่องมองผ่านตาข่ายเท่านั้น ผู้ชายห้ามโกนหนวดและต้องแต่งตัวในชุดพื้นเมืองเท่านั้น ห้ามมีการจัดงานรื่นเริง ดนตรี หรืออะไรก็ตามที่แสดงถึงยุคสมัยใหม่และแนวคิดแบบตะวันตก ตามท้องถนนมีตำรวจศาสนาคอยตรวจตราพฤติกรรมของผู้คน หลายครั้งที่สตรีโดนโบยตีตามท้องถนนเพราะว่า ‘ทำตัวไม่เหมาะสม’ และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนโลกจริงๆ ในศตวรรษที่ 21
และนอกจากนั้นตาลิบันยังได้สังหารชนกลุ่มน้อยที่นับถืออิสลามคนละนิกายกันไปเป็นจำนวนมาก และได้ทำลายโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สืบทอดมาจากอารายธรรมต่างๆ ที่มีอายุย้อนหลังไปเป็นพันๆ ปี ในช่วง 5 ปีนี้สหประชาชาติไม่เคยยอมรับว่าตาลิบันเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมชองอัฟกานิสถาน แต่ยกให้กลุ่มพันธมิตรฝั่งเหนือ ‘Northern Alliance’ ที่เป็นกลุ่มมูจาฮิดีนต่อต้านตาลิบันที่แข็งแรงที่สุดเป็นรัฐบาลแทน ถึงแม้ว่ากลุ่มนี้จะสามารถคุมประเทศได้แค่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นก็ตาม โดยมีแค่สามประเทศเท่านั้นที่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลตาลิบันคือ ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ถึงกระนั้นก็ตาม สื่อสากลส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถานมากนัก และชาวโลกก็ไม่ได้รวมตัวกันต่อต้านตาลิบันอย่างจริงจังเท่าที่ควรทำ
แต่ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ 9/11 ที่ทำให้ชื่อของโอซามา บิน ลาดิน กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
บิน ลาดิน เป็นชาวอาหรับจากประเทศซาอุฯผู้เข้ามามีบทบาทในอัฟกานิสถานในช่วงสงครามมูจาฮิดีนต่อต้านรัสเซีย และได้ก่อตั้งองค์กรของเขาที่ชื่อว่า al Qaeda หรืออัลกออิดะฮ์ในประเทศอัฟกานิสถาน อัลกออิดะฮ์เป็นพันธมิตรกับตาลิบันและมีค่ายฝึกทหารอยู่ทั่วทั้งอัฟกานิสถาน ซึ่งแม้แต่ซาคาวีผู้ก่อการร้ายที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งเองก็เคยเป็นผู้คุมค่ายเหล่านี้ภายใต้อัลกออิดะฮ์ ก่อนที่แยกตัวไปก่อตั้งไอซิสในภายหลัง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ 9/11 อยู่ดีๆ ความสนใจของโลกก็โฟกัสมาที่อัฟกานิสถาน สิ่งที่บิน ลาดินทำได้ไปแหย่ยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าอเมริกาให้หันหน้ามายังเอเชียกลางและตะวันออกกลาง เป็นจุดเริ่มต้นของส่งครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หลังเกิดเหตุ อเมริกาเรียกร้องให้ รัฐบาลตาลิบันส่งตัวผู้นำกลุ่มอัลกออิดะฮ์ทั้งหมดรวมถึงบิน ลาดินให้กับอเมริกา และปิดค่ายฝึกฝนผู้ก่อการร้ายทุกค่ายที่อยู่ในอัฟกานิสถาน ตาลิบันปฏิเสธ และบอกว่าให้อเมริกาแสดงหลักฐานที่ชัดเจนเพื่อพิสูจน์ว่าบิน ลาดินอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ 9/11 จริงๆ และถึงมีหลักฐานก็ขอให้บินลาดินได้ขึ้นศาลศาสนาในประเทศแทน ซึ่งแน่นนอนว่าอเมริกาปฏิเสธและไม่ยอมต่อรองใดๆ
จนถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2001 อเมริกา ได้รวมทัพกับแคนาดา อังกฤษ NATO และกลุ่มต่อต้านตาลิบัน Northern Alliance เข้าตีกรุงคาบุลและหัวเมืองอื่นๆ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการจับตัวบินลาดินและเอากลุ่มตาลิบันออกจากอำนาจ เพื่อไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มไหนสามารถใช้อัฟกานิสถานกลายเป็นฐานทัพและค่ายฝึกทหารได้อีก ใช้เวลาเพียงแค่สองเดือนก็สามารถตีตาลิบันถอยร่นกลับไปสู่หุบเขาและคุมประเทศเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าตาลิบันเองจะไม่เคยประกาศยอมแพ้จนถึงปัจจุบันนี้ก็ตาม
หลังจากนั้นอเมริกาก็เข้ามามีบทบาทในการเมืองอัฟกานิสถานซึ่งเปลี่ยนแปลงสถานะเข้าสู่การเป็นสาธารณรัฐอิสลาม ได้จัดให้มีการเลือกตั้งครั้งแรกในประวัติศาสตร์อัฟกันในปี 2004 และผู้ที่ชนะก็คือ Hamid Kazai ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ 10 ปี ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับ Ashraf Ghani ผู้ชนะการเลือกตั้งในปี 2014 นับเป็นการส่งมอบอำนาจอย่างสันติผ่านกระบวนการทางกฎหมายเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการก่อตั้งประเทศขึ้นมา
และสำหรับตาลิบันเอง หลังจากที่แพ้พ่ายไป กลับมามีบทบาทอีกครั้งในฐานะกองกำลังต่อต้านรัฐบาล แย่งชิงพื้นที่ควบคุมกับฝั่งรัฐมาตลอดสิบปีให้หลัง ก่อเหตุทุกอาทิตย์ ทั้งวางระเบิด ลักพาตัว กราดยิง ระเบิดพลีชีพ ก่อเหตุกระจายไปทั่วทั้งประเทศ ตีหัวเมืองได้ที่หนึ่ง เสียอีกที่หนึ่ง สลับกันไปสลับกันมาอยู่เช่นนี้เรื่อยมา ส่งผลให้มีประชาขนเสียชีวิตอยู่เรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จน 15 ปีที่ผ่านมามียอดผู้ตายชาวอัฟกันทั้งหมด รวมทหารและประชาชนเกือบแสนคน
และนั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน คือสาเหตุของสงครามที่ดำเนินมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี และคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ชีวิตและความตายดำเนินควบคู่กันไปในทุกๆ วัน