1.
“ถ้าคิดว่าที่อื่นเฮี้ยนแล้ว ขอให้คุณลองมาที่นี่ก่อน”
พวกเขาทั้ง 4 คน ประกอบด้วยชาย 1 หญิง 3 ต่างกำลังชั่งใจว่า จะอยู่ให้ถึง ตี 3 ดีหรือไม่ โดยช่วงดังกล่าว คือเวลาของแม่มด ณ สถานที่ซึ่งมีเสียงร่ำลือว่า ตั้งอยู่บนสุสาน เป็นจุดประกอบกิจกรรมไสยศาสตร์ของพ่อมดและคนที่ชื่นชอบมนต์ดำทั้งหลาย
ตอนตี 3 จึงเป็นเวลาที่น่าสนใจยิ่งนัก เพราะอาจมีบางอย่างเผยร่างให้คนเห็น
เพียงแค่นั่งรอและนับถอยหลัง ทั้ง 4 ก็จะได้พิสูจน์ว่าบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้น คืออะไร
แต่ขณะนี้ทุกคนต่างขนลุกและหวั่นไหว มีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ยังไม่นับเรื่องเล่าลี้ลับมากมายในโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารที่มีอายุเฉียดพันปี
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และสัมผัสถึงปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้ มันค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นรอบตัว แม้ทั้ง 4 ราย จะเป็นนักล่าท้าผี ที่เดินทางทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
แต่ทุกที่ที่เคยไปมา ไม่เหมือนสถานที่นี้เลย แม้แต่น้อย
โทนี่ เฟอร์กูสัน (Toni Ferguson) มีอาชีพปกติเป็นเทรนเนอร์สอนออกกำลังกาย แต่งานเสริมคือนักพิสูจน์ผี บัดนี้เขากับเพื่อนสาวต้องมาติดแหง็กอยู่ในตึกโบราณ ข้างล่างเป็นผับร้าง ส่วนชั้นบนแปรสภาพเป็นโรงแรม มีห้องพักมากมาย ที่แทบจะเหมือนกันไปหมด
อย่างไรก็ดี ไกด์ที่พาเที่ยวตึกนี้ บอกว่าทุกห้องล้วนมีเรื่องเล่าสยองแตกต่างกัน ส่วนทางเจ้าของก็บอกว่า ถ้าอยู่รอดได้ตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มถึงตี 3 ก็ดีมากแล้ว
แม้ไม่มีเงินรางวัล ไม่มีของขวัญจะให้
แค่เอาตัวรอดไปได้ ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่า
เสียงกระซิบบางอย่างดังขึ้น ทั้ง 4 คนได้ยินกันหมด โทนี่หวาดผวา มันเป็นคำโบราณภาษาต่างแดน ที่แปลว่าวิญญาณกับปีศาจ
จากนั้นเทรนเนอร์อาชีพ นักล่าท้าผีมือสมัครเล่น ก็ประจักษ์กับสายตา ยังไม่ถึงตี 3 เลย พวกเขาก็เจอเข้าให้แล้ว
ณ ตรงนั้น มันอยู่ที่นี่ โผล่มาให้เห็น หมอกสีขาว หรืออะไรบางอย่างที่ดูคล้าย อยู่ตรงหน้าโทนี่ ชายหนุ่มอยู่ในอาการตะลึง ขนในตัวลุกกราว แทบหายใจไม่ออก
ทันใดนั้น เสียงบางอย่าง จากสักแห่งก็ดังสนั่นขึ้นอย่างน่าหนวกหู
ชั่วพริบตา หมอกนั้นก็พุ่งเข้าหาทุกคนในกลุ่ม
2.
แคโรลีน แฮมป์เชียร์ (Caroline Humphries) กำลังปวดหัวกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งพ่อของเธอซื้อมาจากเจ้าของคนก่อน ในปี 1968 ขณะนั้นแคโรลีน ยังเป็นเด็กหญิงวัยแค่ 7 ขวบ เรียนอยู่ชั้นป.2 เท่านั้น
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นผี
เดิมนั้นพ่อซื้อมันเพื่อสร้างเป็นเกสต์เฮาส์ โดย 2-3 ปีที่เปิดบริการ มีคนเข้ามาพักเป็นจำนวนมาก เนื่องจากอาคารแห่งนี้ ตั้งอยู่ในชนบท ใกล้กับชุมชนที่ดูน่าอบอุ่น ห่างไกลจากเมืองใหญ่ เลยมีนักท่องเที่ยวแห่แหนมาใช้บริการ เพื่ออยากพักชาร์จพลัง หลบหนีจากความวุ่นวาย
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า เกสต์เฮาส์ที่มีผับอยู่ข้างล่าง ไม่ได้มีแค่คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่
“เรามีเตียงและอาหารเช้าให้ แต่บางครั้ง แขกบางคนก็ขอเช็กเอาต์กลางดึก โดยบอกว่าพวกเขาถูกผีหลอก”
ทางแคโรลีนบอกว่า ตั้งแต่เด็ก เธอเห็นเฟอร์นิเจอร์ในตึกแห่งนี้ เคลื่อนย้ายได้ โดยไม่ต้องอาศัยแรงมนุษย์ บางคราประตูกับหน้าต่างก็เปิดและปิดเอง
ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ในนั้น
แขกบางรายบอกว่า พวกเขาได้เห็นเรื่องลี้ลับนี้กับตา และไม่ใช่แคโรลีนที่ได้สัมผัสปรากฏการณ์สยองนี้ พ่อของเธอก็เห็นและรับรู้ด้วย
ครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกอะไรบางอย่างเล่นงานเข้าอย่างจัง โดยเห็นแสงไฟพุ่งกระแทกร่าง จากนั้นสิ่งนี้ก็เหวี่ยงเขาจากมุมหนึ่ง ไปอีกมุมหนึ่ง แล้วตรึงร่างติดไว้กับกำแพง
โดยที่ขยับอะไรไม่ได้เลย
นั่นจึงเป็นที่หมายของประโยคที่พ่อบอกกับแคโรลีนอยู่บ่อยๆ ว่า
“สถานที่แห่งนี้ มีผีสิงอยู่”
แม้คนในชุมชนจะรู้ดี 2 พ่อลูกก็รับทราบ แต่กระนั้น มันยังมีแขกมาพักมากหน้าหลายตา แม้จะต้องเสี่ยงกับการเจอเหตุที่อธิบายไม่ได้ แต่ตึกแห่งนี้ก็รับนักท่องเที่ยวมาหลายสิบปี
จวบจนช่วงโควิดระบาด โรงแรมแห่งนี้ต้องปิดตัว แคโรลีนที่ขึ้นมาดูแลกิจการแทนพ่อที่เสียชีวิตไปในปี 2017 ก็ประสบกับปัญหาลูกค้าหาย เงินสดกำลังจะร่อยหรอ ช่างเป็นช่วงเวลาลำเค็ญเป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่นเดียวกับผู้คนทั่วโลกในยุคโรคระบาด
ขณะที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอะไรกับตึกแห่งนี้ เธอก็นึกย้อนไปถึงประสบการณ์ตั้งแต่วัยแค่ 7 ขวบ จนถึงวัยใกล้ 60 ทุกสิ่งในตึกลี้ลับแห่งนี้ แม้จะซ่อนความน่ากลัว แต่ก็มีจุดขายบางอย่าง
นั่นทำให้แคโรลีนตัดสินใจนำข้อมูลลงโลกออนไลน์ ประกาศเปิดให้คนกล้า ผู้อยากเผชิญหน้ากับวิญญาณ ปีศาจ ผี หรืออะไรบางอย่างที่อยู่ในตึกแห่งนี้ ได้มาลงทะเบียนเข้าพักกัน
โดยเธอย้ำว่า ในช่วงเวลา 3 ทุ่ม ถึง ตี 3 คือจังหวะใกล้เคียงสุด ที่คุณจะได้พบปรากฏการณ์ลี้ลับนี้
เท่านั้นแหละ นักท่องเที่ยวและผู้กล้าทั้งหลายต่างเข้ามาพัก ประกอบกับการพูดปากต่อปากว่า อาคารแห่งนี้เฮี้ยนจริง ยิ่งทำให้มีคนแห่จอง เพราะอยากพิสูจน์ว่า ผีมีจริงหรือไม่
นั่นทำให้หญิงชรามีรายได้มหาศาล จนคาดว่าอีกไม่กี่ปี เธอจะเปิดผับให้ได้ดื่ม และร้านอาหารให้คนได้ชิม
ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักดังเดิม เผื่อใครอยากได้ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ
กินเวลาไม่นาน คนทั่วทั้งอังกฤษ ต่างรู้จักสถานที่แห่งนี้ว่า ดิ แอนเชี่ยน แรม อินน์ (The Ancient Ram Inn)
โรงแรมผีสิง
3.
ตึกแห่งนี้ อยู่ในเมืองกลอสเตอร์เชียร์ (Gloucestershire) หากกางแผนที่ ก็จะพบว่าตั้งอยู่ห่างจากลอนดอน เมืองหลวงสหราชอาณาจักร ไปทางด้านตะวันตก เป็นสถานที่ดึงดูดนักล่าท้าผีเป็นจำนวนมาก
เมื่อมีการค้นคว้าก็พบว่า บริเวณดังกล่าว เป็นที่ตั้งและร่ำลือกันว่า ในอดีตมีพ่อมดหมอผีมาทำพิธีบูชาซาตาน และมีสุสานของพวกนอกศาสนาตั้งอยู่ โดยตึกสร้างทับมันไว้
จึงการันตีความเฮี้ยนสยองได้เป็นอย่างดี
ไกด์ที่แคโรลีนจ้างให้พานักท่องเที่ยวในคราบนักล่าท้าผี เข้านอน ได้ย้ำเตือนกับแขก ซึ่งมีนักข่าวแฝงตัวมาเขียนสกู๊ปว่า
“สถานที่แห่งนี้ คุณจะต้องเตรียมใจที่จะเชื่อ ในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ แต่มันไม่ใช่แบบบ้านผีสิงนะ บางวันก็จะมีอะไรประหลาดเกิดขึ้น และหากคุณโชคดี ก็จะไม่พบมัน”
ปัญหาของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้และนักข่าว ต่างมองหน้ากันไปมา แล้วเกิดคำถามตัวเบ้อเร่อ
“วันนี้พวกเขาโชคดี หรือโชคร้าย”
มัคคุเทศก์ได้บอกต่อว่า ในวันหนึ่ง ช่วงฤดูหนาวที่แสนยะเยือก เคยมีคนพยายามจะพิสูจน์ผี โดยสามีภรรยาคู่หนึ่งได้ติดตั้งอุปกรณ์ดักจับ มีการตั้งกล้องถ่ายรูป ตั้งโหมดถ่ายภาพกลางคืนไว้ เมื่ออัดภาพมาดูก็เห็นเงาสีขาวหน้าคล้ายคนอยู่ด้านหลังเมียตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีคนพิสูจน์วิญญาณพ่อของแคโรลีน โดยมีผู้กล้าลองของถามไปอย่างมั่นใจว่า “จอห์นอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
ท่ามกลางความเงียบ พลันก็ปรากฏเสียงชายชราเปล่งออกมาว่า
“ใช่แล้ว กูอยู่ที่นี่”
4.
เมื่อกลางคืนปรากฏ ทุกอย่างก็น่าขนลุก นักข่าวที่ไปทำข่าวบอกว่า เขาเกิดอาการกลัวจนอยากจะวิ่งหนีออกจากอาคารแห่งนี้ ไปค้างในรถแทนเลย
แต่เมื่อหัวหน้าสั่งมา เขาจึงต้องยอมรวบรวมความกล้าหาญอยู่ต่อ โดยเลือกที่จะรอในห้องที่ถูกเรียนขานว่า ห้องแม่มด เพราะมีคนบอกว่าเป็นที่เก็บศพหญิงสาวซึ่งถูกใส่ความว่าเป็นแม่มด ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 แล้วโดนสังหารอำพรางไว้ที่นี่
ทุกคนในกลุ่มไม่มีใครกล้านอนบนเตียง ที่ปกคลุมด้วยผ้าห่มสีแดงฉาน พวกเขาเลือกจะเอาถุงนอนกองบนพื้น แล้วนอนเบียดกันไป
“อย่างน้อย อยู่ในนี้คงไม่มีใครกระชากขาพวกเรา หลุดจากผ้าห่มแน่”
นี่เป็นมติเอกฉันท์ ทุกรายทำตาม พวกเขาเฝ้ารอเวลาตี 3 ช่วงเวลาที่ว่ากันว่าน่ากลัวสุดในสถานที่แห่งนี้ อะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนพร้อมรับ นี่คือการพิสูจน์ครั้งสำคัญ
พวกเขาเฝ้ารอ รอคอย นาทีเดินผ่าน วินาทีเดินลิ่ว ชั่วโมงแล้ว ชั่วโมงเล่าผ่านไป
จนนาฬิกาแจ้งว่า 6 โมงเช้า แสงแดดโปรยเข้ามาแล้ว
แต่มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนนอนกันสบาย ตื่นมารับอรุณ ช่างเป็นความรู้สึกแสนประหลาด มองหน้ากันไปมา โล่งใจ หรือผิดหวัง โล่งอก หรือดีใจ
ยากจะตอบได้
ไกด์ที่มาพบนักท่องเที่ยวชุดนี้ตอนเช้า ได้พูดออกมาว่า
“พวกคุณโชคดีมากครับ”
5.
ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่ สถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่น่าอึดอัด แสนหวาดผวา นักล่าท้าผีบางรายที่มานอน แล้วไม่เจออะไร ต่างบ่นด้วยความผิดหวัง แต่ในใจก็ค่อยยังชั่ว
พวกเขาแค่โชคดีเหมือนที่มัคคุเทศก์บอกไว้ หลายคราตึกแห่งนี้ ไม่ได้หลอกใครทุกวัน มันจะเลือก บางทีกลับปล่อยผ่าน แต่บางครั้งก็ลงมืออย่างรุนแรงด้วย
ดังในกรณีของโทนี่และเพื่อนสาวรวม 4 คนนี้
ในอดีตนั้น กลุ่มท้าผีของพวกเขาตระเวนพิสูจน์วิญญาณมานานกว่า 8 ปีแล้ว และเป้าหมายใหม่คือ ดิ แอนเชี่ยน แรม อินน์ นั่นเอง
พวกเขาทั้ง 4 ติดตั้งกล้องวงจรปิดกะจะจับผีให้ได้ กระนั้นเมื่อเข้าสู่ราตรี ความสยดสยองก็ค่อยๆ เริ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
ทุกอย่างอุ่นเครื่อง เริ่มต้นจากคนในกลุ่มเห็นแสงประหลาด คล้ายลูกแก้ว ลอยพุ่งเข้าหา แถมในกล้องยังจับภาพไว้ได้ ต่อมาพวกเขาได้ยินเสียงดังแปลกๆ กระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นก็เห็นหมอกสีขาวโผเข้ามา แล้วพุ่งผ่านโทนี่ไป ชายหนุ่มยืนยันว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ลมแน่นอน
ต่อมา ในห้องที่ร่ำลือว่ามีคนผูกคอตาย พวกเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกที่ผนัง เหมือนเท้าคนดิ้นรนจากบ่วงเชือก อัดเข้าใส่ รัวเป็นชุด แล้วมีเสียงใครลากบางสิ่งอยู่เหนือเพดาน แต่พอออกไปดู ก็ไม่เห็นใครบนนั้น
ความลี้ลับแผ่ขยายยิ่งกว่าเดิม เมื่อมีคนได้ยินเสียงเปล่งเสียงว่าปีศาจ ในมุมห้องที่มืด ปรากฏเสียงผู้ชายพูดออกมาอย่างดุดันว่า
“ไอ้ห่า”
มันไม่ใช่น้ำเสียงที่คุ้นเคยของพวกเขาทั้ง 4 เลย
จากนั้นเสียงแมวก็ร้องโหยหวน แต่ตึกแห่งนี้ ไม่มีสัตว์เลี้ยงดังกล่าวอาศัยอยู่ หรือจะเป็นแมวที่มีคนร่ำลือว่า มีเจ้าของเป็นแม่มด ที่เอามันมาฝังไว้ใต้ตึกแห่งนี้
โทนี่บอกว่า สิ่งที่น่ากลัวสุด นอกจากหมอกขาวพุ่งมาหาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาตระหนกก็คือ
“มีมือคนจับอยู่ที่คอผม แต่ไม่มีใครยืนตรงนั้น จากนั้นก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกบีบคออยู่”
เท่านี้แหละ ทั้ง 4 คนตัดสินใจ ขณะนั้นเวลาแจ้งตี 1 ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมง ก่อนจะถึงช่วงแม่มด จุดที่ว่ากันว่าน่ากลัวสุดในตึกแห่งนี้ ตอนตี 3
แต่พวกเขาทั้ง 4 คนขอยอมแพ้
ทั้งหมดเผ่นหนีออกจากตึก แล้วไปนอนที่อื่นกัน
โทนี่บอกว่า “มีอะไรหลายสิ่งที่ผมไม่อาจเข้าใจ หรืออธิบายได้เลย ผู้หญิงในกลุ่ม เร่งเร้าให้เราออกจากที่นี่ เพราะรู้ว่าไม่นานจะต้องตกเป็นเป้าของสิ่งลี้ลับนี้แน่นอน”
เพียงแค่นี้ ยังผวา หากอยู่นานไปมากกว่านี้ มันจะเจออะไรขนาดไหน
นับว่าพวกเขาตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่ออกจากดิ แอนเชี่ยน
แค่นี้ก็พอแล้ว (โว้ย)
ชายหนุ่มบอกกับนักข่าวด้วยความหวาดผวาว่า “ไม่ว่าคุณจะเคยเห็นอะไรสยดสยองจากที่ไหนมา ทุกอย่างเทียบไม่ได้กับสถานที่แห่งนี้”
“ผมขอพูดเลยว่า นี่คือสถานที่สุดหลอนและน่ากลัวสุดในอังกฤษ”
อ้างอิงจาก