“คืองี้ครับพี่แจ็ค” วลียอดฮิตติดปากคนไทยจากรายการ The Ghost Radio ที่พบเห็นทั่วไปในวงสนทนาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้คนมักหยิบยกวลีนี้ขึ้นมาก่อนที่จะแบ่งปันเล่าเรื่องราวประสบการณ์การเผชิญหน้ากับ ภูติ ผี วิญญาณ หรือเรื่องลึกลับอื่นๆ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเล่าบางเรื่องที่ได้ฟังทำให้เราจินตนาการสภาพแวดล้อมที่ผู้เล่าต้องเผชิญและสัมผัสถึงความรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าหากพิจารณาด้วยเลนส์ของวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องเล่าแทบทั้งหมดล้วนมาจากประสบการณ์และความทรงจำของผู้เล่าที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เห็นในความทรงจำนั้นคือ ‘ผี’ จริงๆ หรือไม่ เมื่อกระบวนการวิทยาศาสตร์ต้องการ ‘หลักฐานเชิงประจักษ์’ ผ่านการทดลองที่สามารถ ‘ทำซ้ำได้’
เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน โจเซฟ ไรน์ (Joseph B. Rhine) จึงได้ตั้งวิทยาศาสตร์สาขา ‘ปรจิตวิทยา (Parapsychology)’ ศาสตร์ที่พยายามอธิบายเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
โดยหนึ่งในการทดลองของศาสตร์ปรจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงคือการทดลองชั่งน้ำหนักวิญญาณของ ดัลแคน แมคดูกอล (Duncan MacDougall) ในปี 1901 เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าวิญญาณนั้นมีอยู่จริง เพราะด้วยพื้นฐานของคนไทยที่เชื่อว่า ผีคือวิญญาณที่ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้ตามวัฏสงสาร เราคงจะพิสูจน์เรื่องผีไม่ได้ หากเราไม่สามารถยืนยันเรื่องการมีอยู่ของวิญญาณให้ได้ก่อน

ในการทดลองนี้ ดัลแคนได้พยายามเปรียบเทียบน้ำหนักของมนุษย์ก่อนกับหลังเสียชีวิตในทันที จากกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยหนัก 6 คน แต่กลับมีผู้ป่วย 1 คนเท่านั้นที่เครื่องชั่งน้ำหนักของดัลแคลสามารถวัดได้อย่างแม่นยำไว้ที่ 21.3 กรัม หลังจากที่ชีพจรหยุดเต้นในทันที ทำให้เขาเชื่อว่าน้ำหนัก 21.3 กรัม ที่หายไปนั้นคือน้ำหนักของวิญญาณ
อย่างไรก็ตามเมื่องานวิจัยของดัลแคนได้รับการตีพิมพ์ในปี 1907 ข้อสรุปของเขาก็กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบจากนักวิทยาศาสตร์ในวงการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากน้ำหนัก 21.3 กรัมที่หายไปอาจเกิดจากปัจจัยมากมายที่ดัลแคนมองข้าม เช่น การระเหยของเหงื่อและของเหลวในร่างกายผู้เสียชีวิต หรือไม่ก็เรื่องที่ว่ากลุ่มตัวอย่างทดลองมีจำนวนน้อยเกินไป ทำให้หลักฐานนี้ถูกตีตกไปในที่สุด
และแม้เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน จนแล้วจนรอดเราก็ยังไม่เคยมีการทดลองไหนสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของวิญญาณที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการทดลองหาคลื่นพลังงานด้วยเครื่องมือตรวจวัด ไปจนถึงการหาองค์ประกอบพื้นฐานของจักรวาลในระดับที่เล็กกว่าอะตอมด้วยเครื่องเร่งอนุภาค เพราะวิทยาศาสตร์ยึดมั่นในหลักของหลักฐานเชิงกายภาพ ขณะที่วิญญาณเป็นสิ่งที่คนหมู่มากเชื่อว่าอยู่โลกหรือมิติที่แยกออกไปจากโลกของเรามากกว่า
นักวิทยาศาสตร์จึงโฟกัสไปที่การศึกษา ‘สติ’ หรือ ‘การรับรู้ตัวตน’ ของเรามากกว่าจนได้ข้อสรุปออกมาว่า การที่เราเป็นเราอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้เกิดจากวิญญาณ แต่เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในสมองของเรา หากเราเสียชีวิตลง เราก็จะไม่รับรู้อะไร ว่างเปล่า ไปตลอดกาล ดั่งคำกล่าวของ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawkings) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังที่ว่า “ไม่มีสวรรค์หรือโลกหลังความตายสำหรับคอมฯ ที่พังแล้วหรอก มันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของพวกที่กลัวความมืดเท่านั้น”
แล้วถ้า ภูติ ผี วิญญาณ ไม่มีอยู่จริง วิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องประสบการณ์เจอผีได้อย่างไรบ้าง?

ในขณะที่ปรจิตวิทยาล้มเหลวกับการหาข้อพิสูจน์เรื่องผีและวิญญาณ ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่เรียกว่า ‘จิตวิทยาวิกล (Anomalistic Psychology)’ ก็กลับเผยคำอธิบายที่น่าสนใจออกมาว่าการพบเจอผีอาจเป็นแค่การสื่อสารระหว่างส่วนต่างๆ ในสมองเกิดความผิดพลาดขึ้น จนสาส์นที่ส่งไปถูกตีความแบบผิดๆ
ยกตัวอย่างเช่น ‘ประสบการณ์ผีอำ’ ที่เป็นอาการเหมือนอัมพาต ขยับตัวไม่ได้แม้จะรู้สึกตัวอยู่ก็ตาม ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้หลับหรือไม่ก็หลังตื่นใหม่ๆ โดยการแพทย์สมัยใหม่ให้เหตุผลกับปรากฏการณ์นี้ว่า เกิดการจากการที่สมองหลั่งสารเคมีที่ปกติมักใช้ให้ร่างกายเราอยู่นิ่งๆ ตอนหลับลึกออกมาผิดที่ผิดเวลา ไม่ได้มีวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรมานั่งทับบนอกแต่อย่างใด ซึ่งอาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ
แต่บางครั้งการเห็นผีของอาจเกิดจากการที่สมองเราทำงานได้ดีเกินไปอีกด้วยผ่านปรากฏการณ์ ‘แพริโดเลีย (Pareidolia)’ หรือการที่อยู่ๆ เราก็เห็นก้อนเมฆเป็นหน้าคน เห็นกระต่ายบนดวงจันทร์ แม้ความจริงมันจะไม่มีคนหรือกระต่ายอยู่บนฟ้าก็ตาม กล่าวคือสมองของมนุษย์สามารถรับรู้ภาพและเสียงที่ไม่มีอยู่จริงในเชิงกายภาพขึ้นมาได้ เงาของวัตถุบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ หรือเสียงของแมวจรจัดตีกัน ก็อาจไปหลอกสมองเราให้คิดว่าเป็นผี
โดยความไวของสมองในการหารูปแบบในธรรมชาติที่วุ่นวายไร้ระเบียบนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์กับบรรพบุรุษเราในอดีตมากกว่าโทษ เนื่องจากทักษะนี้ช่วยให้พวกเขาแยกแยะนักล่าที่อันตรายหรือศัตรูออกมาจากภาพข้างหน้าได้อย่างฉับไว เพื่อที่จะได้ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรต่อไป

ยิ่งถ้าตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดสลัว ไม่คุ้นเคย ปราศจากผู้คน สมองก็จะเริ่มหลังฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา ให้เราตื่นตระหนกและหาทางออกไปให้ไว้ที่สุด อันเป็นผลจากกระบวนการวิวัฒนการหลายล้านปีของสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน ว่ามนุษย์มักมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าหากอยู่ใกล้ไฟและอยู่กันเป็นกลุ่มในอดีต ซึ่งความเครียดสามารถไปกระทบกับการทำงานของสารสื่อประสาทอื่นๆ ได้ง่ายกว่าเดิม
ถึงขนาดที่ว่าในบางครั้งสมองของเราก็เผลอหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดอาการหลอนกลิ่น (Phantosmia) ขึ้นมาได้เช่นเดียวกับภาพและเสียง โดยคนที่เคยมีประสบการณ์หลอนกลิ่นก็มักรายงานว่า มีทั้งกลิ่นดีๆ เช่น หอมของดอกไม้ ไปจนถึงกลิ่นแย่ๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิต จำพวกกลิ่นไหม้ กลิ่นควันธูป กลิ่นบุหรี่ ไปจนถึงกลิ่นเน่าเหม็น ในขณะที่คนรอบข้างกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
ทั้งยังไม่นับเรื่องของอคติที่อาจเกิดจากการจับแพะชนแกะเพิ่มเติมได้ว่าเหตุการณ์ที่ผู้พูดเผชิญจะต้องเกิดมาจากภูติผีวิญญาณเท่านั้น ทั้งที่อาจจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ มารองรับอยู่แล้วก็ได้ ทำให้ในท้ายที่สุดแล้วหากถามนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักว่า “ผีมีจริงไหม?” เราก็คงได้คำตอบมาประมาณว่า “ไม่น่ามีอยู่จริง” เพราะยังไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนเพียงพอ
แต่ในขณะเดียวกันวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องการมีอยู่ของผีไปทั้งหมด และยังคงทำความเข้าใจธรรมชาติของจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เรื่อยๆ สมมติว่าวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่าผีมีอยู่จริง ความตื่นเต้นก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการพบเจอเอเลี่ยนจากต่างดาว ที่ในปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงอยู่ในวงการวิทย์เช่นกันว่ามีอยู่จริงหรือไม่
จึงทำให้เรื่องราวของภูติผีวิญญาณนั้นตกอยู่ในสถานะความเชื่อส่วนบุคคลต่อไปตราบที่เราจะเจอหลักฐานใหม่ๆ มาหักล้าง ซึ่งหลักการที่ไม่ยึดติดอะไรตายตัวนี่แหละคือสเน่ห์ของวิทยาศาสตร์
อ้างอิงจาก