1.
“หมอคะ ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ คือ..ผู้ชายที่ฆ่าฉันตาย ยังลอยนวลอยู่”
เวลา 07.30 น. ซึ่งเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1977 คนในหอพักแห่งหนึ่ง ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกาได้กลิ่นควัน เหมือนมีไฟไหม้ จึงแจ้งแม่บ้านของอาคาร ก่อนมีการโทร.หาพนักงานดับเพลิง นำกำลังมาควบคุมสถานการณ์ทันที
เจ้าหน้าที่ใช้เวลาไม่นานก็ดับไฟสำเร็จ และเริ่มตรวจสอบห้องต้นเพลิง 15 บี พอพวกเขาเปิดประตูเข้าไป สำรวจอย่างละเอียด ก็รีบแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบต่อทันที
เนื่องจากทางการพบศพหญิงสาวนอนเปลือยอยู่ในห้อง สภาพถูกมีดปักเข้าที่อก
นักสืบเข้าตรวจจุดเกิดเหตุ พบร่างเทเรซิตา บาซา (Teresita Basa) อายุ 48 ปี ชาวฟิลิปปินส์ที่อพยพมาทำงานเป็นผู้บำบัดด้านโรคทางเดินหายใจ ที่โรงพยาบาลในเมือง
ทีแรกตำรวจคาดว่าคนร้ายน่าจะก่อเหตุบุกเข้ามาข่มขืนหญิงสาว เพราะผู้เสียชีวิตถูกถลกเสื้อผ้าออก จนร่างเปลือยเปล่า
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาหลักฐานในห้องที่ถูกเผาแบบละเอียด พร้อมกับนำศพไปตรวจ ก็พบความจริงว่า บาซาไม่ได้โดนข่มขืน แต่ฆาตกรเอามีดทำครัวแทงอก แล้วถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจุดไฟเผา เพื่ออำพรางคดี
เจ้าหน้าที่ระดมกำลังกันสืบสวน เพื่อพลิกแผ่นดินล่าตัวคนร้ายทันที เมื่อตรวจประวัติผู้เสียชีวิต พบว่าเจ้าตัวเดินทางมาอเมริกา ตั้งแต่ 1960 เพื่อมาเรียนดนตรี ก่อนลงเอยมาทำงานที่โรงพยาบาล
อุปนิสัยของผู้เสียชีวิต เป็นคนเงียบๆ ถ่อมตัว และยังไม่ได้แต่งงาน เพื่อนร่วมงานให้การว่า “เธอน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่จะตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรุนแรง” เพราะไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร
ตำรวจเชื่อว่า การจุดไฟเผานั้น เป็นความพยายามจะอำพรางมูลเหตุจูงใจฆาตกรรม แต่เมื่อลงมือสอบสวนไปเรื่อยๆ นักสืบถึงกับกุมขมับ เพราะพวกเขาหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมฆาตกรต้องบุกก่อเหตุสังหารบาซาด้วย
เมื่อหาแรงจูงใจไม่พบ ก็ยากจะวางทิศทางคดีได้ นักสืบแทบจะไม่มีหลักฐานในการไขปริศนานี้เลย เพราะของในห้องล้วนถูกทำลายจากกองเพลิงทั้งสิ้น จึงไม่อาจตรวจสอบว่ามีทรัพย์สินใดหายไปบ้าง
ทางการมีหลักฐานเพียงอย่างเดียวคือ ไดอารี่ของผู้เสียชีวิต ที่มีข้อความเขียนว่า ให้ไปรับตั๋วจาก เอ.เอส. (A.S.) แต่เจ้าหน้าที่ก็งงว่า แล้วเอ. เอส. มันเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไรกับคนตาย
แม้ทางตำรวจพยายามมองทุกความเป็นไปได้ มองในหลากหลายทฤษฎีที่คนร้ายจะสังหารบาซา แต่นักสืบก็มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคลำทางจากตรงไหน
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 6 เดือน ก็ได้รับเบาะแสสำคัญจากชายที่อ้างว่า
“ภรรยาผมถูกผีบาซาเข้าสิง และบอกว่าใครฆ่าเธอ”
2.
โจเซ่ ชัว (Jose Chua) เป็นหมอผ่าตัด เขามีภรรยาที่ชื่อว่าเรมี ชัว (Remy Chua) ทั้งคู่อพยพมาจากฟิลิปปินส์ หลังความตายของบาซา ในคืนนั้น ทางเรมีได้ฝัน พร้อมกับละเมอ ก่อนพูดภาษาตากาล็อก ซึ่งเป็นภาษาที่คนฟิลิปปินส์พูดกัน
อย่างไรก็ดี การพูดของเรมีได้ปนสำเนียงภาษาสเปนด้วย ทำเอาโจเซ่สงสัยมาก เพราะปกติภรรยาไม่พูดตากาล็อกแบบนี้
“ตอนนั้นผมตกใจมาก จึงรีบสะกิดแล้วถามว่าคุณเป็นใคร เมียผมตอบกลับมาว่า ฉันคือ เทเรซิตา บาซา นั่นทำให้ผมกลัวมาก”
แน่นอนว่าโจเซ่อ่านข่าวรู้เรื่องการฆาตกรรมสยองนี้ ก่อนจะเข้าใจว่าเมียตัวเองโดนผีเข้าเสียแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาขอให้คุณช่วยไขคดีฆาตกรรม”
หลังจากนั้นตัวเรมีก็ผล็อยหลับไป พอตื่นมาเธอก็ได้เล่าให้สามีฟังว่า บาซามาเข้าฝัน แล้วอ้อนวอนขอให้ไปหาตำรวจ เพื่อบอกว่าเกิดอะไรขึ้น ในคืนฆาตกรรม
ทั้งคู่ฟังแล้ว ก็ตัดสินใจวางเฉย
แต่แล้วในคืนหนึ่ง ขณะที่เรมีหลับ เธอก็โดนผีเข้า ก่อนจะพูดด้วยสำเนียงที่แปลกไป พร้อมบอกว่าตัวเองคือบาซา แล้วพูดว่าฆาตกรที่ฆ่าเธอนั้น ชื่ออัลลัน ชาวเวอร์รี่ (Allan Showery) ซึ่งทำงานมานมนานที่โรงพยาบาลเดียวกับคนตาย
“คุณต้องไปแจ้งตำรวจนะ”
พอบางสิ่งที่อยู่ในร่างเรมีบอกกับโจเซ่เสร็จ ดูเหมือนหญิงสาวก็สะดุ้งตื่น แล้วจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไป เหมือนความทรงจำขาดหายไปทันที
หมอผ่าตัดฟังดังนั้น แม้จะเริ่มหวาดหวั่น แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ไปหาตำรวจ นั่นนำไปสู่การผีเข้าครั้งที่ 3 บางอย่างที่เข้ามาสิงในร่างเรมี ถามย้ำว่า ทำไมโจเซ่ถึงยังไม่ไปพบเจ้าหน้าที่
“ผมไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดชาวเวอร์รี่นะสิ” อีกฝ่ายเถียงกับผี
นั่นทำให้บาซ่าในร่างเรมี พูดออกมาว่า “ผู้ชายคนนี้เอาอัญมณีของฉันไปให้แฟนเขา”
เมื่อมีข้อมูลที่เพิ่มมากกว่าเดิม ในที่สุดโจเซ่และเรมี ก็เดินทางไปพบตำรวจในคดีนี้
พร้อมกับเล่าทุกอย่างให้นักสืบฟัง
แน่นอนว่าพอเจ้าหน้าที่ฟังจบ ก็ถึงกับอึ้งฉงนหนัก พร้อมมากด้วยความสงสัยที่ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อเรื่องนี้ดีไหม แต่ในที่สุด หลังพิจารณาคำบอกเล่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน นักสืบก็เอะใจตรงชื่อคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร นั่นก็คือ ชาวเวอร์รี่ ซึ่งพอนำอักษรตัวแรกของชื่อ กับอักษรตัวแรกของนามสกุลมาเขียน จะได้เป็นคำว่า A.S.
อันตรงกับข้อความที่ปรากฏในไดอารี่ผู้เสียชีวิตนั่นเอง
ดังนั้นแม้จะเหลือเชื่อและเหนือโลกอย่างมาก แต่นักสืบก็ตัดสินใจลองสืบค้นข้อมูลที่ได้มาจากผีดู
3.
ตำรวจเช็กที่อยู่ของชาวเวอร์รี่ พบว่าอยู่ใกล้กับบ้านบาซ่า เมื่อสอบถามเพื่อนร่วมงาน ก็ได้ความว่าชายผิวดำคนนี้ ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกับผู้เสียชีวิต และก่อนเกิดเหตุเขาแจ้งว่าจะเดินทางไปห้องพักของหญิงสาวตอนกลางคืน เพื่อซ่อมโทรทัศน์ให้
เบาะแสตรงนี้ ทำให้ตำรวจเริ่มสนใจในตัวชาวเวอร์รี่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จึงตัดสินใจลองตามข้อมูลจากวิญญาณ ไปสอบปากคำเขาดู
นักสืบไปที่ห้องพักของผู้ต้องสงสัย ก่อนจะพบว่าอยู่กับแฟนสาวที่กำลังตั้งท้อง ตำรวจพบว่าคนรักของชาวเวอร์รี่ ใส่แหวนมุกและจี้รูปหยก พอลองถามดู อีกฝ่ายก็บอกว่า
“เขาให้ฉันเป็นของขวัญคริสต์มาสย้อนหลังนะ”
เจ้าหน้าที่ขอแหวนและจี้นี้ พร้อมเชิญตัวชาวเวอร์รี่ไปสอบปากคำ แน่นอนว่าเจ้าตัวย้ำว่าเขารู้จักบาซาคนตาย เพราะทำงานโรงพยาบาลด้วยกัน ทางผู้เสียชีวิตได้ร้องขอให้ชายหนุ่มไปซ่อมทีวีให้ ทีแรกเขาก็ตกลงจะไป ก่อนจะพบว่าตัวเองไม่มีเครื่องมือเพียงพอ จึงยกเลิกนัด
อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่เชื่อคำให้การนี้ พวกเขานำทรัพย์สินที่ได้จากแฟนสาวชาวเวอร์รี่ไปให้เพื่อนที่ทำงานบาซาดู ทุกคนยืนยันว่ามันเป็นอัญมณีของผู้เสียชีวิต
นักสืบจึงเรียกตัวชาวเวอร์รี่มาอีกครั้ง แล้วถามว่าของขวัญย้อนหลังที่ให้แฟนสาวนั้น เอามาจากไหน ทำไมมันถึงเหมือนกับทรัพย์สินบาซาที่โดนฆ่าอย่างมาก
ในที่สุดชายผิวดำ ก็รับสารภาพ พร้อมลงชื่อในคำให้การ รับว่าเขาได้ไปหาผู้ตายที่บ้านจริง ก่อนจะทำร้ายร่างกาย เอามีดแทง แล้วขโมยแหวนและจี้ ก่อนจะจุดไฟเผา เพื่ออำพรางคดี แล้วหลบหนีมา
หลังจากผ่านไปกว่า 6 เดือน นักสืบก็จับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้สำเร็จ ท่ามกลางความตกตะลึงของอัยการ นักข่าวและสังคมอย่างมาก
เพราะเบาะแสทั้งหมด มาจากผู้หญิงที่อ้างว่าโดนผีบาซาเข้านั่นเอง
4.
ในเวลาต่อมา ชาวเวอร์รี่ได้กลับคำให้การในชั้นศาล อ้างว่าโดนตำรวจข่มขู่ หากไม่รับสารภาพ ก็จะจับตัวแฟนสาว ทางทนายของผู้ต้องหาก็เรียกร้องให้ศาลยกเลิกการไต่สวนคดีนี้ เพราะตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดอะไรเลย นอกจากเรื่องสยองขวัญของตัวเรมี ที่อ้างว่าโดนวิญญาณเข้าสิง
“ตั้งแต่ทำงานมา ผมไม่เคยเห็นใครโดนจับ เพราะเรื่องเหนือธรรมชาติเลย ไม่เคยมีตำรวจที่ไหน ได้ข้อมูลชื่อฆาตกรจากเสียงร้องของศพมาก่อน”
เมื่อการได้มาซึ่งหลักฐานคลุมเครือแถมยากจะพิสูจน์แบบนี้ ทางทนายของชาวเวอร์รี่ จึงวิงวอนต่อหน้าผู้พิพากษาว่าข้อมูลที่ได้มาไม่อาจนำมาใช้พิจารณาคดีได้
แต่ทางฝ่ายรัฐก็ได้ตอบโต้ โดยแม้ทางนักสืบจะยอมรับว่า จริงอยู่ที่พวกเขาได้รับเบาะแสจากเมียหมอผ่าตัด ที่โดนผีสิง แต่ต้องอย่าลืมว่าตัวชาวเวอร์รี่เองต่างหากที่รับสารภาพ หลังโดนสอบปากคำ แถมตอนไปเคาะห้องเพื่อเอาตัวมาสอบ ก็ไม่ได้ใช้ปืนขู่ หรือมีการจับกุมอะไร
“ตัวผู้ต้องหามาที่โรงพักด้วยความสมัครใจ และไม่ได้ถามว่าเขาโดนจับหรือเปล่าด้วย”
ทางตำรวจสรุปง่ายๆ ว่า ทางชาวเวอร์รี่ยอมรับว่าเป็นฆาตกรก่อเหตุสังหารบาซาเอง ดังนั้นคดีนี้จึงมีมูล มีคำให้การของผู้ต้องหา ที่สามารถเอาผิดตามกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแน่นอน
ทางเจ้าหน้าที่โต้แย้งทนายของจำเลยต่ออีกว่า แม้ทางการจะได้ข้อมูลจากเสียงร้องจากศพจริง กระนั้นก็ไม่ใช่ว่านักสืบไปจับกุมตัวมาเลย แต่ได้ทำการสอบสวนตรวจสอบข้อมูลทุกอย่าง จนนำไปสู่คำรับสารภาพนี้
ด้านอัยการในคดีนี้ ก็ยืนยันว่า ทางตำรวจเอง ไม่อาจละเลยเบาะแสแบบนี้ได้ แม้มันจะฟังดูหลอนแค่ไหน แต่เมื่อเป็นนักสืบ พวกเขามองข้ามข้อมูลแบบนี้ไม่ได้แน่
หลังจากโต้เถียงกันไปมา ฝ่ายหนึ่งบอกว่ามันไม่มีหลักฐานเอาผิด ส่วนอีกฝ่ายบอกเอาผิดได้สิ (วะ) ในที่สุดผู้พิพากษาในคดีนี้ ก็ตัดสินว่า คำร้องของทนายจำเลยไม่เป็นผล คดีนี้จะต้องถูกพิจารณาตามขั้นตอนปกติ นั่นก็คือให้ลูกขุนตัดสิน เพราะมีหลักฐานเพียงพอ
“ผมไม่เห็นเหตุผลที่จำกัดอำนาจการสืบสวนของตำรวจ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อเสียงร้อง (จากศพนั้น) หรือไม่ แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์ตรวจสอบมัน”
แถมทางตำรวจก็ได้โชว์หลักฐานเพชรกับจี้ของบาซาที่ชาวเวอร์รี่เอาไปให้เมีย พร้อมแจกแจงสิทธิ์ตามกฎหมาย ก่อนที่เขาจะรับสารภาพด้วย
คดีจึงดำเนินไปตามปกติ แม้จะมีที่มาเหนือโลกก็ตามที และเพื่อไม่ให้มันไปทางสิ่งเร้นลับมากไปกว่านี้ ทางโฆษกของอัยการได้ยืนยันว่า พวกเขาจะไม่เรียกตัวเรมีมาให้การเด็ดขาด เพราะเธอได้บอกไปแล้วว่า ตอนโดนผีเข้านั้น จำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนหมอผ่าตัดก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ นอกจากฟังคำของเมียมาแจ้งเจ้าหน้าที่เท่านั้น
และที่สำคัญก็คือ
“คดีนี้ไม่ใช่การตรวจสอบเรื่องเหนือธรรมชาติ เราไม่นำมาพิจารณาแน่ เพราะเสียงร้องนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการสืบสวน แต่หลักฐานที่ได้มา ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น”
ในที่สุดด้วยข้อมูลที่ตั้งต้นจากผีเข้า ทำให้ลูกขุนเห็นว่าชาวเวอร์รี่มีความผิด ต้องโทษจำคุก 14 ปี จากข้อหาปล้นและวางเพลิง
ส่วนข้อหาฆาตกรรมนั้น ทางลูกขุนไม่อาจตัดสินเป็นเอกฉันท์ เพราะหลักฐานตำรวจไม่พอจะยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายก่อเหตุจริง ผู้พิพากษาจึงกำหนดโทษเพียงแค่นี้
เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่คนร้ายโดนจับเพราะผีกระซิบ ทำให้สื่อแห่ลงพื้นที่ตรวจสอบ ก่อนจะพบข้อสงสัยบางอย่างระหว่างตัวเรมีและบาซาคนตายด้วย
5.
พลันที่นักข่าวเริ่มค้นหาว่าทำไมคนตายต้องมาติดต่อกับเรมี มากไปกว่าการเป็นคนฟิลิปปินส์ด้วยกัน พวกเขาก็พบว่าตัวหญิงสาวที่โดนผีสิงนั้น ได้เคยทำงานที่เดียวกับบาซาด้วย โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินหายใจ แผนกเดียวกับคนตาย และก่อนจะเกิดเหตุฆาตกรรม เธอก็เพิ่งโดนไล่ออกจากงานด้วย
ไม่เพียงเท่านี้ ตัวเรมีเองยังเคยพบกับชาวเวอร์รี่ ผู้ต้องหาอีกด้วย นี่ทำให้นักสืบสมัครเล่นและคนที่สนใจเรื่องนี้ ทั้งทางด้านไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่างมีข้อสงสัยว่า บางทีหญิงสาวอาจไม่ได้โดนผีเข้าจริง แต่เธออาจได้ยินฆาตกรพูดเป็นนัยว่าได้ไปก่อเหตุฆ่าบาซามา พร้อมนำทรัพย์สินติดมาด้วย
แต่เพราะไม่รู้จะไปบอกตำรวจอย่างไร เนื่องจากก็เป็นคนต่างชาติ ไม่กล้าไปพบเจ้าหน้าที่ จึงปรึกษาสามี แล้วกุเรื่องขึ้น ก่อนส่งข้อมูลเด็ดนี้ให้แก่ทางการ จนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด
พูดง่ายๆ ว่าแต่งเรื่องผีขึ้น เพื่อช่วยตำรวจจับคนร้ายนั่นเอง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง มีคนสงสัยว่า หรือบางทีมันอาจจะมีฆาตกรตัวจริงที่ยังไม่โดนจับ แต่ทางชาวเวอร์รี่เลือกที่จะเป็นแพะ จะได้แบ่งทรัพย์สินที่ฉกมาจากห้องบาซา เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อเรื่องผีเข้านี้ และหากติดคุก ก็คงโดนโทษไม่หนัก ไม่นานก็ได้ออกมา และย้ายเมืองไปใช้ชีวิตที่อื่น
ทฤษฎีมากมายถูกขบคิด และลุกลามจนถึงขนาดว่า เรมีกับสามีและชาวเวอร์รี่รู้เห็นเป็นใจในเหตุการณ์นี้ และร่วมกันฆ่า ร่วมกันโกหก ตำรวจจะได้ปิดคดี เลิกสืบสวนเสียที จะได้เอาของมาแบ่งกัน
ส่วนทนายความชาวเวอร์รี่ก็ยิ่งโหมโรงหนักเข้าไปอีกว่า จริงๆ แล้วคนที่ฆ่าบาซา ก็คือเรมีนั่นแหละ เพราะอาจมีส่วนทำให้หญิงสาวตกงาน หลังจากนั้น ฆาตกรตัวจริงได้เอาทรัพย์สินไปขายหนุ่มผิวดำ แล้วกุเรื่องว่าผีเข้า จนนำไปสู่การจับแพะ
ก่อนที่เรื่องจะอลหม่านไปมากกว่านี้ ทางตำรวจจึงได้ตั้งโต๊ะแถลง พร้อมยืนยันว่าพวกเขาพิจารณาทุกอย่างโดยละเอียด เรมีไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยแน่นอน ซึ่งหลังผ่านเหตุการณ์นี้ ไม่มีวิญญาณบาซามาเข้าสิงอีก ทางหญิงสาวได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวในคดีนี้ พร้อมพูดว่า “พวกเราล้วนเชื่อในชีวิตหลังความตายว่ามันมีจริง”
ฟากชาวเวอร์รี่นั้น ติดคุกไป 6 ปีก็ออกมา แล้วไปใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์อะไร จนถึงปัจจุบันมีคนนำคดีนี้ไปสร้างหนัง ทำเป็นพอดแคสต์ มีบทความมากมาย แม้จะมีข้อสงสัยในเรื่องเหนือธรรมชาติแค่ไหนก็ตาม
แต่ทุกฝ่ายก็ยังเชื่อว่าเรื่องราวนี้ไม่มีแพะ ส่วนที่ว่าตัวเรมีนั้น จะโดนผีเข้าจริงๆ หรือแอบหาทางช่วยเหลือแจ้งเบาะแสตำรวจ ประเด็นนี้ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าอันไหนเป็นเรื่องจริง มันยังคงเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบัน
ผ่านไปหลายปี ทางนักสืบในคดีนี้ได้เผยถึงแรงจูงใจที่พบจากการสืบสวนว่า ตัวบาซาชอบช่วยเหลือชาวเวอร์รี่ที่มีปัญหาทางการเงินอยู่หลายครั้ง ให้งานทำเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดท้ายความหวังดี ก็แปรเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อคนร้ายอยากได้ทรัพย์สินมากกว่าเดิม นั่นจึงทำให้หญิงสาวต้องถูกฆ่าตาย
ส่วนสาเหตุที่ทางการเลือกจะเชื่อเบาะแสจากคนที่โดนผีเข้านั้น ตำรวจเผยว่า เป็นนักสืบต้องมองให้กว้าง พิจารณาทุกความเป็นไปได้ และตลอดชีวิตการทำงาน ตัวเขาเองเคยคุยกับแมงดา โสเภณี คนติดยามากมาย หลายครั้งก็ได้เบาะแสมาไขคดีเยอะแยะไปหมด
ดังนั้นพอทางคู่รักตระกูลชัว ซึ่งมีการศึกษาดี เป็นคนฉลาด อยู่บ้านราคาเฉียดแสน มาให้ข้อมูลบ้าง
“ทำไมพวกเราถึงจะไม่ยอมเชื่อล่ะ”
อ้างอิงจาก
https://www.washingtonpost.com
https://www.historicmysteries.com
https://www.chicagotribune.com
https://www.chicagotribune.com