“ยินดีต้อนรับสู่เมืองที่น่าอยู่ สดใสปลอดภัย ฟ้าโปร่ง ถนนหาทางสะอาด ไร้ขยะไร้มลพิษ ปลอดการทุจริตคอรัปชั่น คดีอาชญากรรมเป็นศูนย์ และผู้คนอยู่กันอย่างสันติ”
เป็นอะไรที่ฟังดูดีและอุดมคติพอๆ กับ “กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเสียดสีประชดประชัด เพราะมันตรงกันข้ามทุกอย่างกับสิ่งที่มหานครก็อตแธม (Gotham) เป็นและมีให้ แต่คำถามสำคัญคือ ในเมื่อเป็นเมืองที่มีฟิลเตอร์ดำๆ ขมุกขมัวครอบอยู่ การจัดแสงโลว์คีย์ กับการเกรดสีให้มืดและเพิ่มปริมาณ shadow สูงตลอดเวลา มีระดับความน่าอยู่น้อยในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ แถมยังเต็มไปด้วยอาชญากร ความรุนแรง ความไม่แน่นอน และความหวาดกลัวขนาดนี้ ทำไมคนเมืองนี้ถึงยังเลือกจะอาศัยอยู่กันล่ะ? แล้วเหตุใดก็อตแธมถึงมีวายร้ายยั้วเยี้ยเช่นนี้?
หลังจากไตรภาคล่าสุดของหนังแบทแมนจบลงที่ The Dark Knight Rises (2012) เราก็ไม่มีไตรภาคหนังแบทแมนให้ดูกันอีกเลย จนกระทั่ง 10 ปีให้หลัง The Batman (2022) ของผู้กำกับ แมตต รีฟส์ (Matt Reeves) กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในฐานะจุดเริ่มต้นของหนังไตรภาคใหม่ ในแนวทางที่เลือกจะแตกต่างกับภาพยนตร์ฉบับก่อนๆ ที่เคยมีมาด้วยการเป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนเต็มขั้นที่ยังเจาะลึกไปยังแง่มุมจิตวิทยาของการเป็นแบทแมน เด็กกำพร้า วายร้ายผู้น่าจดจำ ภายใต้เมืองอันสกปรกโสมมอันเลื่องชื่อไปพร้อมๆ กัน และบทความนี้จะเป็นการพาไปวิเคราะห์เจาะลึกถึงประเด็นต่างๆ ที่ได้กล่าวไป
(เนื้อหาต่อนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ The Batman)
สิ่งหนึ่งที่อาจมีบางคนไม่ทราบมาก่อนคือชื่อค่าย ‘DC Comics’ นั้น ตัวอักษร DC ย่อมาจากคำว่า ‘Detective Comics’ ที่เป็นหนังสือการ์ตูนของฮีโร่ใส่ชุดมนุษย์ค้างคาวที่มีชื่อว่า ‘แบทแมน (Batman)’ ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกและมีตัวตนอยู่ทั้งในคอมมิค นิยายภาพ ทีวี ภาพยนตร์ โฆษณา เกินกว่า 80 ปีแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ Batman อยู่คู่กับเรามานานขนาดนี้ก็เพราะมีการรีเมค รีบู๊ต เดี๋ยวรื้อเดี๋ยวถอนเดี๋ยวสร้างอยู่เรื่อยๆ โดยไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าหนังที่แบทแมนปรากฏตัวนั้นมีอยู่ราวๆ 15-16 เรื่องเลยทีเดียว
ภาพลักษณ์ที่เราคุ้นชินกับแบทแมนฉบับภาพยนตร์ ให้นึกแบบไวๆ ก็จะมี ลูกชายมหาเศรษฐีเพลย์บอย ชุดค้างคาว เสียงแหบ ทาตาดำ อุปกรณ์ไฮเทค พ่อบ้าน ถ้ำค้างคาว รถแบทโมบิลล์ (Batmobile) และวายร้าย แต่แทนที่จะเดินตามรอยที่เคยมีมา ผู้กำกับเลือกที่จะคงไว้ซึ่งบางอย่าง และตีความบางอย่างใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับมนุษย์ค้างคาวสายเด็กอีโมฉบับ โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) ในร่าง บรู๊ซ เวย์น (Bruce Wayne) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักร้องนำวง Nirvana ด้วยการนำเสนอที่อาจมีหน่วงบ้างเล็กน้อย แต่พ่วงมาด้วยความหนักและโทนภาพเข้มๆ สไตล์ฟิล์มนัวร์ ฝนตกปรอยๆ แทบเปียกแฉะตลอดเวลา ที่แสดงถึงกลิ่นอายความน่าอยู่ของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นการพาแบทแมนกลับไปสู่ต้นขั้วของการเป็น ‘นักสืบที่เก่งที่สุดในโลก (The World’s Greatest Detective)’ ด้วยการให้หนังเรื่องนี้ เป็นทั้งการเดินทางของแบทแมน/บรู๊ซ เวย์น ในการสืบสวนหาตัวคนร้ายฆาตรกรต่อเนื่องอย่าง เดอะ ริดเลอร์ (The Riddler) ที่เกี่ยวพันกับตัวละครคุ้นหน้าอย่าง แคทวูแมน (Catwoman) และเพนกวิน (Peguin) และยิ่งเขาเดินทางใกล้คำตอบเท่าไหร่ เขาก็เข้าใกล้ความลับอันดำมืดที่โยงใยไปมาแล้วชี้กลับมาที่ตัวของเขากับตระกูลเวย์น (Wayne) ผู้อุปถัมภ์ค้ำชูเมืองมากขึ้นเท่านั้น
พร้อมกันนั้นยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์คลาสสิกแนวๆ ศาลเตี้ย-คอร์รัปชั่น-สืบสวนสอบสวน-บรรยากาศลึกลับด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น The French Connection (1971), Chinatown (1974), All the President’s Men (1976), Taxi Driver (1976), ภาพยนตร์ของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก (Alfred Hitchcock) ไปจนถึงหนังฟิล์มนัวแนวสืบสวนสอบสวนหาตัวฆาตกรที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความสะพรึงกลัวถึงขั้วหัวใจและความใจสลายอย่าง Se7en (1995) ของเดวิน ฟินเชอร์ (David Fincher) และอันนี้จากที่สังเกตได้เองก็รู้สึกได้ถึงความเป็นหนังสยองขวัญเล่นเกมเอาชีวิตอย่างหนังตระกูล Saw ด้วยเช่นกัน
แบทแมนฉบับของร็อบ (ชื่อสั้นๆ ของโรเบิร์ต แพททินสัน) จะไม่ได้เล่าที่จุดเริ่มต้น เช่น การเอาชนะความกลัว การเอาค้างคาวที่ตอนเด็กๆ กลัวมากเป็นแรงบันดาลใจ หรือโชว์ให้เราเห็นฉากเดจาวูอย่างพ่อแม่บรู๊ซถูกฆาตกรรมหน้าโรงละคร สร้อยไข่มุกกระจาย เพราะหนังอาศัยความดีความชอบของการอยู่มานานและมีมาก่อนซึ่งคล้ายกับเคสของหนัง Spider-man ฉบับ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ที่ข้ามเรื่องลุงเบนไปเลย แล้วเลือกจะเล่าเรื่อง 2 ปีให้หลังของการเป็นแบทแมนที่เทิร์นโปรแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามที่ต้องถามตัวเองอยู่ไม่น้อยถึงสิ่งที่ทำอยู่
ความสดใหม่เริ่มตั้งแต่ตรงนี้ เริ่มจากความที่เราเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับแบทแมนคนนี้ ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าบรู๊ซ เวย์น ที่เราเห็นตรงหน้าผ่านอะไรมาบ้างตั้งแต่เด็กยันโต ซึ่งหนังใช้สิทธิประโยชน์ตรงนี้ในการนำมันมาทำให้คนดูอยากรู้อยากเห็น (ว่าจะเข้าใจถูกมั้ย) และหักมุมด้วยการเปลี่ยนประวัติกับแบ็คกราวน์ตัวละครเพื่อให้เอื้อกับเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องภายใต้ความตั้งใจของผู้กำกับที่อยากให้ไตรภาคนี้เป็นเอกเทศ มีสไตล์ กลิ่นอาย และลายเซ็นต์เป็นของตัวเองโดยไม่ขึ้นตรงกับจักรวาล DCEU เพื่อที่จะมีมู้ดแอนด์โทนและอิสระในการที่จะเล่นอะไรก็ได้ หยิบตัวละครไหนมาใช้ก็ได้ หรือเปลี่ยนอะไรก็ได้ตามที่เห็นสมควรได้อย่างตามอำเภอใจ
สิ่งที่เราได้เห็นจากแบทแมนเวอร์ชั่นนี้คือความเป็นมนุษย์ มีปม มีหัวจิตหัวใจ และมีมิติมากขึ้น เป็นแบทแมนที่เต็มไปด้วยความสับสน เต็มไปด้วยอดีตที่น่าสงสารที่ทั้งต้องการที่จะแก้ไขให้ดีขึ้น พร้อมกับแบกรับภาระหน้าที่ของครอบครัวเวย์นเพื่อทำให้เมืองก็อตแธมเป็นเหมือนน่าอยู่ อย่างที่พ่อของเขา โธมัส เวย์น (Thomas Wayne) เคยสันอกสัญญาเอาไว้ ด้วยการคอยดูแลเมืองอยู่ในเงามืดเช่นนี้ ทั้งยังมีความสมจริงทางด้านความซุ่มซ่ามบ้างเล็กน้อยกับมีพลั้งมีพลาดแบบที่ถ้าให้เทียบกับ เจมส์ บอนด์ ก็คงจะเป็นบอนด์ฉบับ เดเนียล เคร็ก (Daniel Criag)
“ฉันคือการล้างแค้น”
โดยแบทแมนเวอร์ชั่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคอมมิค Batman : Year One, Batman: Ego และ Batman: Zero Year ที่ตรงกับข้ามกับเวอร์ชั่นวัยเกษียณอย่าง The Dark Knight Returns ที่เป็นแรงบันดาลใจของฉบับ เบน แอฟเฟ็ค (Ben Affleck) หรือมนุษย์ค้างคาวคนก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ตรงที่จะโฟกัสไปที่การร่วมมือกับตำรวจอย่างเจมส์ กอร์ดอน (James Gordon) ในการปราบอาชญากรรมโลกใต้ดินและผู้มีอิทธิพลในช่วงแรกของการเป็นแบทแมน ซึ่งเขาจะต้องเรียนรูวิถีของการเป็นแบทแมน พึ่งตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และต้องค้นหาความหมายของการเป็นฮีโร่หน้ากากค้างคาวไปด้วย ส่วนตัวชุดไม่บอกก็รู้ว่ามาจากเกม Batman: Arkham Knight เต็มๆ
แบทแมน ฉบับโรเบิร์ต แพททินสัน นิยามตัวเองว่าเป็นมิสเตอร์ล้างแค้น (Mr. Vengeance) ที่ถึงจะดูมีมไปหน่อย แต่ก็สะท้อนถึงชุดความคิดของเขาที่กำลังทำหน้าที่ปราบอาชญากรในนามของ ‘กรรม’ หรือ ‘การเอาคืน’ ด้วยการลงโทษด้วยกำลังจากการประทุษร้ายและการกระทำความผิดก่อน ซึ่งคำว่ามิสเตอร์ล้างแค้นนี้ยังผูกโยงไปถึงการล้างแค้นให้กับเมืองนี้ที่ถูกโครงสร้างกดทับและระบบกำลังพังพินาศด้วยความเน่าเฟะ และทั้งหมดนี้ตัวเขาที่ลงไปเปลี่ยนเกมเอง ก็ทำหน้าที่ไปสอดส่อง เฝ้ามองในฐานะประชาชนคนหนึ่งของก็อตแธม จากนั้นก็ทำการจดบันทึกในสมุดพร้อมกับบรรยายไปด้วย
บรรยากาศตรงนี้ทำให้นึกถึงตัวละครรอร์ชาร์ต (Rorschach) ในหนัง Watchmen (2009) ของผู้กำกับ แซ็ค สไนเดอร์ (Zack Snyder) และยังสัมผัสได้ถึงเสียงบรรยายมุมมองและความคิดในหัวของแบทแมนใน Detective Comics ที่จะนับว่าเป็นการเคารพต้นฉบับก็ว่าได้
และสิ่งหนึ่งที่หนังใช้สัญลักษณ์ได้อย่างคมคายและเป็นจุดที่ทำได้ดีคือการมองสัญลักษณ์ค้างคาวบนฟากฟ้าในมุมกลับ เพราะโดยปกติแล้วมันคือสัญญาณไฟที่ตำรวจเปิดเพื่อเรียกแบทแมนมาปราบอาชญากรและเหล่าร้าย แต่มองอีกมุมหนึ่งในนครที่เต็มไปด้วยอันตราย ความเหลื่อมล้ำสูง และผู้คนสิ้นหวังกับความยากจนอดยากจนต้องหันมาฉีกกระชากกันเองเช่นนี้ แบทแมนกลับเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมที่สร้างความกลัวให้กับผู้กระทำผิดเหล่านั้นจนต้องผงะและหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างทันทีทันใด แล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วอีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือ บรู๊ซ เวย์น หรือร่างคนของแบทแมนฉบับตีความใหม่ที่ฉบับนี้เป็นคน anti-social ไม่เพลย์บอย ไม่ชอบเข้าสังคม เป็นชายหนุ่มอินโทรเวิร์ตที่ชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว ซ่าห์ได้ภายใต้หน้ากาก และมั่นใจได้ในชุดเกราะกับผ้าคลุมที่ห่อหุ้มถึงขั้นเดินไปเดินมาท่ามกลางตำรวจเป็นว่าเล่นพร้อมกับพูดเสียงโดยปราศจากการแปลงเสียงใดใดเพราะรู้สึกเซฟที่จะเผยตัวมากกว่าในชุด (ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกันและทำเอามองเสียงแหบๆ ฉบับของ คริสเทียน เบล (Christian Bale) แปลกไปเลย) แต่เวอร์ชั่นนี้มีความแข็งแรงตรงที่ความเป็นบรู๊ซและการที่เกี่ยวพันในฐานะหนึ่งในเหยื่อหรือตัวหมากของ เดอะ ริดเลอร์ นั้น สะท้อนกลับมาที่ปัญหาโครงสร้างและตัวเมืองก็อตแธมอย่างเต็มๆ
กล่าวคือหนังแบทแมนที่ผ่านมาจะเน้นไปที่ตัวตนของบรู๊ซและความรวยล้นฟ้าระดับเจ้าของเมืองนั้น ซัพพอร์ตกับอำนวยความสะดวกในการเป็นแบทแมนของเขาอย่างไร พูดง่ายๆ คือเน้นโชว์รวยและอุดช่องโหว่ทั้งหลายแหล่ ในขณะที่หนังเรื่องนี้ขุดลึกไปยังประเด็นที่ว่า ‘เกิดเป็นลูกคนรวยก็ผิดและถูกบูลลี่ได้’
ใช่ ถึงแม้ถ้าเขาจะล้มก็ล้มบนฟูกและไม่ทำตัว…เกินไปยังไงชีวิตก็ไม่แย่เหมือนที่คุณแวน ธิติพงษ์ กล่าวไว้ แต่สำหรับเมืองก็อตแธมที่เหลื่อมล้ำจนประชาชนต้องกินกันเอง การเกิดเป็นลูกคนที่รวยที่สุดในเมืองจึงเป็นบาปมหันต์และเป็นความเห็นแก่ตัว ยิ่งคนที่รวยที่สุดคนนั้น (พ่อขอเขา) ให้คำมั่นว่าจะทำให้เมืองนี้ดีขึ้นด้วย แต่ดันมาถูกฆ่าซะก่อนด้วยแล้ว ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบรู๊ซเองก็ใช่ว่าเอ็นจอยหรือพอใจกับความรวยที่เขามีนี้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นเพลย์บอยเต็มตัวไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปเจ็บตัว หนังจึงแสดงให้เห็นว่า บรู๊ซ เวย์น นั้น จริงจังกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ขนาดไหนถึงขั้นทีไม่ไปทำการทำงาน บริษัทและการเงินจะเป็นยังไงก็ช่าง ในเมื่อระบบมันเน่า เต็มไปด้วยนักการเองฉ้อฉล ทุจริต มีการรับส่วย สินบน ใต้โต๊ะ และกรมตำรวจไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้บ้าง (ถ้าดูซีรีส์ Gotham จะเห็นว่าคู่หูตัวเอกปวดหัวกับปัญหานี้ขนาดไหน)
ความรู้สึกผิดบาปที่ได้แย่งสิทธิในการมีชีวิตที่ดีไปจากคนอื่นและยึดมั่นกับคำสัญญาพ่อ จึงทำให้เขาต้องสร้างอีกตัวตน อีกอีโก้หนึ่งขึ้นมาเพื่อทำลายและขยี้ตรงนี้ให้แหลก อีกทั้งยังได้เห็นมุมที่บรู๊ซนั้นทุกข์ทรมานกับการเป็นเด็กกำพร้าขนาดไหน ผ่านการที่เขาคอยมองและคอยปกป้องลูกชายของนายกเทศมนตรีที่ม่องเท่งไปแล้ว เพราะเข้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดี การถูกปล่อยให้เคว้งอยู่บนโลกโดยที่หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นและทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา
“เมื่อความจริงถูกทำให้เงียบ
ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวจึงต้องถูกสร้างขึ้น
เพื่อให้เกิดการตั้งคำถาม”
เมื่อเมืองไร้ระเบียบ จึงต้องมีแบทแมนเกิดขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบและสร้างความเรียบร้อยให้กับเมืองก็อตแธม มันจึงได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชายอีกคนหยิบหน้ากากมาสวมและประกาศอุดมการณ์ตัวเองด้วยการมีซีนในฐานะฆาตกรกับไลฟ์สดเพื่อสร้างความโกลาหล ชายคนนั้นคือ ‘เดอะ ริดเลอร์ (The Riddler)’ ที่รับบทโดย พอล ดาโน (Paul Dano) ที่เป็นขั้วตรงข้ามของแบทแมน และเขาจัดฉาก เดินเกม หลอกใช้แบทแมน ทั้งหมดโดยที่เบื้องหลังหน้ากากคือชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เมืองบังคับให้เขาต้องพูดและชวนตั้งคำถามแทนคนอีกหลายๆ คน
จริงๆ เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเดอะ ริดเลอร์ เป็นวายร้ายได้หรือไม่ การแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงกับตัวตนอันละเอียดลออของตัวละครนี้มีมิติมากกว่านั้น บทนี้ในหนังฉบับนี้ถึงได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Zodiac Killer หรือฆาตกรจักรราศีในคดีสะเทือนขวัญชาวอเมริกันอันโด่งดัง ฉะนั้นถ้าจะมองในแง่ที่เขาฆ่าคน (เอาเรื่องที่ว่าเป็นคนแบบไหนออกไปก่อน) เขาคือวายร้าย แต่หากมองในแง่ที่ว่า เขาทำการเปิดเผยความจริงที่สื่อ ตำรวจผู้ฉ้อฉล นักการเมืองและอัยการรับสินบนและข้องเกี่ยวหรือเป็นเบี้ยของมาเฟียใต้ดิน เขาช่วยทำคุณงามความดีในสายตาคนก็อตแธมด้วยซ้ำไป
เพราะอันที่จริงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเป้าหมายของเดอะ ริดเลอร์ และแบทแมน ที่ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าทั้งคู่และอยู่รุ่นๆ เดียวกันนั้น คือเป้าหมายร่วมกัน คือต้องการที่จะตั้งคำถาม นำมาซึ่งความยุติธรรม และเปิดโปงความชั่วร้ายที่กำลังกัดกินเมืองอยู่ นั่นก็คือการทุจริตคอร์รัปชั่นที่นอกจากจะทำให้เหล่าคนชั่วเรืองอำนาจ ครองอำนาจ และเป็นกลุ่มเดียวที่แบ่งสรรปันส่วนอำนาจได้แล้ว ยังเอางบที่จะใช้ในการพัฒนาเมืองไปแบ่งกินราวกับเค้ก แถมมีคนไม่พอใจ มัวเมาและงอแงอยากกินเพิ่มจนต้องไปแย่งเค้กมาจากพวกเดียวกันอีกอย่างน่าสมเพช
แต่วิธีการของเดอะ ริดเลอร์นั้น ขัดต่อศีลธรรมกับกฎหมาย ซึ่งก็ต้องมาตั้งคำถามอีกว่าเราสามารถเรียกเดอะริดเลอร์เป็น anti-hero ได้มั้ย ในเมื่อเขานำความอยุติธรรมมาแก้ผ้าประจาน สาวไส้ไปถึงต้นตอของกลิ่นเหม็นเน่าของเมือง และทำลายมันลงได้อย่างประสบผลสำเร็จกว่าแบทแมนที่ใส่หน้ากากและเอาแต่ซัดวายร้ายข้างถนน ที่เกิดขึ้นมาจากความยากจน การไร้การศึกษา ความเหลื่อมล้ำ ความไม่แฟร์ และปัญหายาเสพติดที่มาจากตัวใหญ่สุดอย่าง คาร์ไมน์ ฟัลโคน (Carmine Falcone) ซึ่งเดอะ ริดเลอร์จัดการได้อยู่วันยันค่ำ
พูดให้เห็นภาพคือคนหนึ่งแก้ปลายเหตุ คนหนึ่งแก้ที่ต้นเหตุ กับอีกสองคำถามคือแล้วอะไรคือศีลธรรม แล้วถ้าการกระทำของริดเลอร์ดีกับผู้คนและเมืองนี้จริงๆ เปิดโปง ล้มระบบโครงสร้างการทุจริตกับความจริงประเภท ‘คนรวยคนมีอิทธิพลผิด รอด คนจนผิด ต้องติดคุก’ สำเร็จ จะถือว่ามีศีลธรรมหรือไม่?
สารภาพว่าเกิดอาการพยักหน้าหงึกๆ ตลอดทั้งเรื่องเพราะเห็นด้วยกับเดอะ ริดเลอร์ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยทั้งหมด และเห็นว่าสิ่งที่เขาทำแล้วเรียกว่าชั่วร้ายเกินกว่าจะเป็น anti-hero คือการที่ตัดสินว่าพ่อบรู๊ซผิดและลงโทษลูกชายของเขาอย่างบรู๊ซเพียงเพราะบาปของพ่อ (Sins of the Father) จากการตัดสินโดยที่ไม่ได้รู้ข้อมูลจริง’ อีกทั้งยังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย และแผนใหญ่ของเขาในตอนท้ายที่ทำลายเขื่อนเพื่อให้น้ำทะลักมาท่วมเมืองในฐานะสัญลักษณ์ของ ‘การชำระล้าง’ นั้น เป็นแผนที่มาจากการเหลิงในอำนาจที่มีผู้ติดตามและมั่นใจว่าวิธีการนี้จะดีที่สุดแล้วจริงๆ หรือสิ่งที่เขาทำนั้น ไม่หยุดแค่กำจัดคนชั่วแต่เกิดจากความไม่เชื่อในระบบยุติธรรมอีกต่อไป จึงทำการใหญ่และกลายเป็นวายร้ายเต็มตัวเกินกว่าที่จะเรียกว่าศาลเตี้ยหรือ anti-hero ได้ (หนังเล่นเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างเสียดสีผ่านชื่อตัวละครผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีที่ชื่อ รีอัล (Real) ที่สะกดเหมือน ‘เรียล (Real)’ เพื่อเล่นกับการหาเสียงด้วยสโลแกน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง (Real Change) ด้วยเช่นกัน )
ซึ่งถ้าหากเขาไม่ทำเช่นนี้จนเกินเลยไปกว่าการตั้งคำถามและหาคำตอบให้ชาวเมือง มันก็ยากที่จะบอกเหมือนกันว่าเราควรมองว่าใครเป็นฮีโร่ดี ระหว่างเดอ ริดเลอร์ ที่ควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในแผน กับแบทแมนที่ไขปริศนาได้บ้างไม่ได้บ้างโดยถ้าขาดตัวช่วยที่ได้มาอย่างตั้งใจหา บังเอิญได้มา หรือคำใบ้จากเดอะ ริดเลอร์ เอง เขาอาจไม่สามารถช่วยใครไว้ได้เลย หนำซ้ำยังเป็นหุ่นเชิดทำตามเกมของเดอะ ริดเลอร์ผู้ฉลาดกว่ามาตลอดอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ตอบได้คือถ้าหากแบทแมนเวอร์ชั่นนี้เป็นความต้องการสะท้อนถึงสโลแกน ‘The World’s Greatest Detective’ แล้ว เดอะ ริดเลอร์ ก็คงจะเป็น ‘The World’s Greatest Mastermind Who Is Better Than The World’s Greatest Detective‘ หรือสุดยอดผู้บงการที่นำหน้าแบทแมนเสมอ เพราะหากไม่ได้ทำการบอกตรงๆ หรือไม่ได้การช่วยเหลือจากคนนั้นคนนี้โดยบังเอิญ บางครั้งเขาไม่สามารถตามทันริดเลอร์ได้เลย
“ลองมองดูดีๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นนายกเทศมนตรีตัวจริง”
พอพูดถึงเรื่องการต่อกรกับวายร้ายในเมืองก็อตแธม มันจึงกลับมาสู่เรื่องเมืองก็อตแธมที่มีบทบาทในฐานะ ‘ตัวละครที่มีชีวิต’ มากกว่าหนังแบทแมนฉบับอื่นๆ ซึ่งพอมาพิจารณาดู ตามลำพังเมืองไม่ได้ผิด เพราะมันเป็นแค่เมืองที่มีคนตั้งชื่อและอาศัยอยู่ แต่คนที่อาศัยและคนที่หวังจะกอบโกยผลประโยชน์กับสร้างความกระจุกตัวของอำนาจต่างหากคือผู้ที่ผิด และทำให้เมืองเป็นสถานที่ที่มีแต่คำโกหกหลอกลวง กับบ่มเพาะอาชญากร เพราะมันบีบให้ผู้คนต้องสิ้นหวัง กลายเป็นบ้า และใช้ยาเสพติด จนอัตราการก่ออาชญากรรมในเมืองก็อตแธมสูงเช่นนี้ ซึ่งมันอาจฟังดูเลวร้ายแล้วแต่คนด้านบนอย่างฟัลโคนและมาเฟียคนอื่นต่างก็กัดกินและใช้ประโยชน์คนเหล่านั้นกับผู้บังคับกฎหมายในฐานะเพื่อนร่วมงานและสหายร่วมสร้างสังคมที่น่าอยู่ (เฉพาะคนบางคน) ตามแบบฉบับของเขา
ซึ่งเมื่อถามว่าคนก็อตแธมอยากจะย้ายออกไปหรือไม่ แน่นอนว่าใจจะขาด เพียงแต่คำถามคือที่เขาต้องทนอยู่อย่างนี้เพราะอะไร? ก็เพราะความเน่าเฟะฝังรากจนทำให้พวกเขาส่วนหนึ่งชาชิน ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเราต้องอยู่ให้ได้ด้วยความมีหวังว่ากฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์ในซักวัน อาชญากรรมจะสิ้นในซักครา ผู้นำดีๆ จะถูกเลือกขึ้นมาซักครั้ง เพราะไม่ใช่เรื่องแฟร์ที่พวกเขาที่ต้องย้ายออกไป และการที่คนบางคนไม่สามารถที่จะไปอยู่ที่อื่นได้แล้วเนื่องจากลงหลักปักฐานกับที่ที่มานานจนมีบ้าน มีกิจการ ไอ่ครั้นจะย้ายออกก็ไม่สามารถทำได้ เพราะใครล่ะจะมาอยากซื้อบ้านอยู่ที่เมืองก็อตแธม ไม่ใช่ครอบครัวพ่อกับแม่ท้องแก่ที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่และต้องการสร้างครอบครัวสุขสันต์ที่โตมาด้วยรอยยิ้มและความปลอดภัยเป็นแน่
ส่วนตำแหน่งนายกเทศมนตรีดูจะมีอำนาจใช้กฎหมายจัดการอะไรๆ ไปจนถึงปราบคอร์รัปชั่นที่มากที่สุดนั้น ยังเป็นหนึ่งลูกน้องเบื้องใต้ฟัลโคนอีกที นายกเทศมนตรีจึงเป็นตำแหน่งที่ไม่เพียงแต่จะไม่มีความหมาย แต่ผู้ที่ได้รับเลือกยังสามารถใช้ตำแหน่งทำได้สองอย่าง อย่างแรกคือทำให้ตัวเองดำรงตำแหน่งอยู่ต่อ (อยู่มา 4 สมัย แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น อาชญากรรมเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ไม่ดีขึ้นไม่พอยังมีแต่แย่ลงๆ แต่ยังได้อยู่ต่อ แบบนี้ก็น่าตั้งคำถามอยู่นะ) กับอีกแบบคือใช้เพื่อเอื้อให้กับตัวเอง พวกพ้อง และผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันแทนที่จะนึกถึงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เลือกเขา (หรือต่อให้ไม่ได้เลือกแต่เจอโกงคะแนนหรือใช้มุกบัตรเขย่งก็ตาม)
ส่วนสิ่งหนึ่งที่ชอบที่สุดในหนังคือการพูดถึงความเป็นคู่ตรงข้ามของแบทแมนและเดอะ ริดเลอร์ และการที่ต่างคนต่างก็สร้างอีกคน เพราะก่อนหน้านี้จะมีคำถามเกี่ยวกับตัวละครแบทแมนเสมอว่าที่เมืองก็อตแธมยั้วเยี้ยไปด้วยวายร้ายถึง 20-40 ตัว (ไม่นับพวกโจรกระจอกตามซอกตามซอยอีก) เป็นเพราะว่ามีวายร้ายแล้วแบทแมนใส่หน้ากากไปสู้ หรือเพราะพอมีแบทแมนที่แสดงถึงความอ่อนเปลี้ย หย่อนยาน และไม่เอาถ่านของอำนาจกฎหมายและระบบยุติธรรม วายร้ายหรือผู้ได้รับผลกระทบบางอย่างในเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำ คุณภาพชีวิตแย่ กับดูสิ้นหวังเช่นนี้ เลยทำตัวเป็นวายร้าย และกระจุกอยู่ที่เมืองนี้เพื่อทำมาหากินและอาศัยในสถานที่ที่ชั่วร้ายเหมาะกับพวกเขากันแน่
คำตอบคือ ‘ต่างคนต่างสร้างกันและกัน’ ความรุ่นราวคราวเดียวกันของ บรู๊ซ และ เดอะ ริดเลอร์บ่งบอกว่าทั้งสองมีสถานะเท่ากัน และเดอะ ริดเลอร์ ในฐานะวายร้ายตัวแรกของหนังเปิดไตรภาค มีส่วนในการหล่อหลอมแบทแมนคนนี้เป็นอย่างมากให้เขาเติบโตขึ้นเป็นแบทแมนที่มีแนวคิดที่ชัดเจนกว่าเดิม และมีสูตรสำเร็จเป็นของตัวเอง เป็นผู้เฝ้ามอง ผู้ปกป้อง ผู้พิทักษ์ นักสืบ และยังเป็นความหวังแทนความหมายของซูเปอร์แมน (Superman) ที่ผู้กำกับบอกว่าจะไม่มีวันนำเข้ามาในจักรวาลหนังไตรภาคของเขาแน่ (คงเป็นสาเหตุที่แบทแมนจะต้องเป็นทั้งสองความหมายในคนเดียวเพื่อแบกความหมายส่วนของบุรุษเหล็กด้วย)
บรู๊ซทำให้ริดเลอร์รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม ริดเลอร์จึงสร้างความเท่าเทียม ริดเลอร์ทำให้ตัวเองเป็นวายร้ายด้วยการใส่หน้ากากและฆ่าคนเพื่อเปิดโปงความผิด จากนั้นสร้างสถานการณ์ และอย่างที่เคยได้ยิน ‘สถานการณ์สร้างฮีโร่’ โดยที่ในองก์สุดท้ายของหนัง แม้ริดเลอร์จะอยู่ในคุกแล้วก็ตาม เขาได้แสดงให้เห็นว่าเดอะ ริดเลอร์คือ ‘อุดมการณ์’ ไม่ใช่ตัวผู้คน และผู้คนมากมายหรือผู้ติดตามเขา 500 คนที่ร่วมมีส่วนในการวางแผนและทำระเบิดด้วย ก็ได้รับอุดมการณ์ตรงนั้น ที่มาจากการถูกกดขี่ที่ไม่สามารถพูดได้ ทำอะไรได้ หรือแม้แต่ตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในตัวมันเองก็ตาม มันคืออุดมการณ์ที่มาจากความเหลืออดที่ทุกคนมีเหมือนๆ กัน ใครๆ ก็เป็น เดอะ ริดเลอร์ ได้เมื่อพวกเขาตั้งคำถามกับระบบ
พอแบทแมนกระชากหน้ากากคนร้ายคนหนึ่งออกแล้วถามว่า “แกเป็นใคร?” พอได้คำตอบกลับมาว่า”ฉันคือความแค้น (I’m Vengeance)” ที่เป็นคำเดียวกับที่เขานิยามตัวเอง นั่นก็เพราะการเป็น เดอะ ริดเลอร์ ที่ถูกกระตุ้นด้วยความแค้นที่สั่งสมกับถูกกรีดแทงด้วยระบบอันขาดความยุติธรรมนั้น ใครๆก็เป็นได้ แต่แบทแมนเป็นได้แค่คนเดียว มันจึงทำให้เขาต้องมานิยามความหมายของการเป็นแบทแมนของเขาใหม่
และคำตอบคือ เขาอยากที่จะเป็นตัวแทนของ ‘ความหวัง (Hope)’ มากกว่าที่จะเป็นความแค้น เพราะในเมื่อผู้ร้ายมองว่าสัญลักษณ์ค้างคาวบนฟ้าคือ ‘การล้างแค้น’ แล้วแต่คนธรรมดายังเห็นเป็นแค่ไฟวงรีที่มีรูปค้างคาว แบทแมนคนนี้จึงต้องการเป็นความหวังที่ให้ผู้คนทุกครั้งที่เห็นใสส่องไปยังฟากฟ้า เหมือนที่สัญลักษณ์ค้างคาวในหนัง The Dark Knight Rises จุดประกายให้ผู้คนมีความหวังอีกครั้งที่จะทวงเมืองคืนจากวายร้ายชื่อ เบน (Bane)
แม้โดยส่วนตัวจะมีความรู้สึกขัดข้อง กังขา ไม่อิน และไม่ซื้อหลายๆ อย่างของหนัง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Batman ฉบับนี้มีคุณงามความดีในด้านการเป็นหนังเปิดไตรภาคที่ทำให้อยากดูต่อ เป็นการเริ่มต้นได้เหมือนรถแบทโมบิลล์ในเรื่องที่ติดขัดแต่ก็ยังวิ่งต่อได้
เป็นหนังที่แม้จะมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองบ้าง และเราได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เมื่อรู้จักมักจี่กันแล้ว เห็นสรีระร่างกาย ได้คุย ได้ฟังเสียงในระยะที่ชิดใกล้ในโรง IMAX แล้ว หนังเรื่องนี้ถ้าเป็นเพื่อนคือเป็นเพื่อนที่ไม่เลวเลย มีความคูล เป็นคนมีแง่มุมน่าสนใจเยอะ (ด้วยแนวหนังที่เต็มไปด้วยความ Mystery, Action, Drama และ Psychological) เป็นคนสนใจปัญหาโครงสร้าง (พูดถึงคอร์รัปชั่นและมีความ Political-Thriller) คบได้ และอยากคบต่อไปเพื่อรอดูพัฒนาการ ทั้งของตัวหนังเองและตัวละครแบทแมนของ โรเบิร์ต แพททินสัน ที่ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้รับบทมนุษย์ค้างคาวซักที หลังจากที่เปิดตัวให้โลกรู้จักในหนังมนุษย์ (พฤติกรรมคล้าย) ค้างคาวใน Twilight และถูกสบประมาทมาตลอด จนพิสูจน์ตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าเขาคือนักแสดงที่มีความสามารถ