นี่คือเรื่องเล่า 7 ตอนจบ ของซีรีส์เรื่อง The Keepers จาก Netflix
7 ตอน 7 ชั่วโมง แต่มันคือเหตุการณ์ครอบคลุมช่วงเวลายาวนานกว่า 40 ปี หลังจากแม่ชีหรือซิสเตอร์คนหนึ่งได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
เย็นวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 1969 ซิสเตอร์แคเธอรีน แอนน์ เซสนิก (Catherine Ann Cesnik) หรือซิสเตอร์แคธี วัย 26 ปี ได้ขับรถออกจากที่พัก มีหลักฐานว่า ซิสเตอร์แคธีได้เอาเช็คไปขึ้นเงินที่ห้างเอ็ดมันด์สันวิลเลจ (Edmondson Village Shopping Center) และเป็นไปได้ว่าจะซื้อขนมปังที่ร้านเบเกอรีในห้างดังกล่าวด้วย เพราะมีการพบกล่องขนมปังอยู่ที่เบาะหน้ารถ ที่สำคัญ เธอยังไปซื้อของขวัญวันหมั้นให้กับน้องสาว
คืนนั้น เธอไม่ได้กลับมาที่พัก แต่หายตัวไปอย่างลึกลับ
รุ่งเช้า มีผู้พบรถยนต์ที่เธอขับ จอดเฉียงๆ คล้ายผู้จอดร้อนรน เป็นการจอดแบบผิดกฎจราจร เพราะท้ายรถโผล่ออกมานอกถนน รถอยู่ไม่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ที่เธอพัก ล้อรถเปื้อนโคลน
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซิสเตอร์หายไปไหน ทำไมรถของเธอจึงจอดอยู่ตรงนั้น?
ซิสเตอร์แคธีเกิดที่เมืองพิตต์สเบิร์กในปี 1942 เธอมีชีวิตเรียบง่ายในครอบครัวชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด เธอบวชเป็นซิสเตอร์ และมาสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนชื่อคีโย (Keough High School) ซึ่งเป็นโรงเรียนในศาสนจักรคาทอลิก อยู่ในเมืองบัลทิมอร์ รัฐแมรีแลนด์
เธอไม่ได้พักอยู่ในอารามชี แต่ในยุคนั้นมีการทดลองหลังสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง เรียกว่า Post-Vatican II Experiment ที่ให้ซิสเตอร์สามารถออกมาใช้ชีวิตอยู่ภายนอกได้ ซิสเตอร์แคธีจึงสมัครออกมาพักในอพาร์ตเมนต์ร่วมกับซิสเตอร์อีกคนหนึ่ง คือซิสเตอร์เฮเลน รัสเซลล์ ฟิลิปส์ ซิสเตอร์ที่อยู่ในโครงการทดลองนี้ไม่ต้องแต่งชุดแม่ชี สามารถแต่งชุดธรรมดาๆ ได้ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ไปไหนมาไหนได้ แม้ก่อนหน้านั้นการอนุญาตนี้จะเพิกถอนไป แต่ซิสเตอร์แคธียังไม่ทันได้ตัดสินใจทำอะไร เธอก็มาเสียชีวิตไปเสียก่อน
สี่วันหลังจากซิสเตอร์แคธีหายตัวไป ผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อ จอยซ์ เฮเลน มาเล็กคี (Joyce Helen Malecki) วัย 20 ปี ก็ได้หายตัวไปอีกคน เรื่องนี้ทำให้ชาวเมืองบัลทิมอร์ที่เป็นเมืองเล็กๆ ต้องตระหนกตกใจ เพราะมีเหตุหายตัวไปของผู้หญิงสาวถึงสองคนติดกัน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุการณ์ทั้งสองเกี่ยวเนื่องกันหรือเปล่า?
มีการพบศพของจอยซ์ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1969 เธอถูกรัดคอและถูกแทงจนเสียชีวิต แต่ซิสเตอร์แคธียังคงหายตัวไปอย่างลึกลับ กว่าจะพบร่างของซิสเตอร์แคธี ก็อีกเดือนกว่าถัดมา คือในวันที่ 3 มกราคม 1970 ใกล้กับที่ทิ้งขยะแห่งหนึ่งในเมืองบัลทิมอร์ แม้จะมีการสืบสวนอย่างเข้มข้น (หรือดูเหมือนเข้มข้น) เอฟบีไอเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่สุดก็สาวปมอะไรไม่ได้ ทำให้คดีเงียบหายไปเป็นเวลานานหลายสิบปี
เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นกันแน่?
ถ้าคุณคิดว่า The Keepers จะให้คำตอบไขกระจ่างกับคดีที่เกิดขึ้น คุณจะต้องผิดหวัง เพราะแม้เวลาผ่านมาเนิ่นนานเกือบ 50 ปีแล้ว ก็ดูคล้ายกับว่าไม่มีอะไรคลี่คลายไปเลย
The Keepers คือซีรีส์สืบสวนสอบสวนจากเหตุการณ์จริงที่พูดได้ว่า เลือดเย็น โหดเหี้ยม และดิบเถื่อนที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นความเลือดเย็น โหดเหี้ยม และดิบเถื่อนในสองระดับ ด้านหนึ่งคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นความเลือดเย็น โหดเหี้ยม และดิบเถื่อน ที่ตัวซีรีส์กระทำกับผู้ชม ด้วยการค่อยๆ ‘คลี่’ เรื่องทั้งหมดออกมาช้าๆ อ้อยอิ่ง ไม่รีบร้อน แต่ค่อยๆ บดขยี้คนดูอย่างหนักแน่น อึดอัด และมีลักษณะ realistic ทุกอย่างค่อยๆ เผยแสดงออกมาอย่างน่าตระหนก ตามหลักฐานร้ายกาจที่ถูกเปิดเผยออกมา
เป็นการเปิดเผยสองขยัก
ขยักแรกเกิดขึ้นในราวยี่สิบปีให้หลัง หลังจากคดีเงียบงันลง และความลี้ลับยังคงลับลี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในปี 1994 อดีตนักเรียนหญิงของโรงเรียนคีโยสองคน ผู้ใช้นามแฝงว่า เจน โด (Jane Doe) กับ เจน โร (Jane Roe) พยายามรื้อฟื้นคดีดังกล่าวขึ้น โดยทั้งคู่ตั้งข้อกล่าวหาบาทหลวงที่เป็นประธานสังฆมณฑล (Archdiocese) แห่งบัลทิมอร์ คือบาทหลวงโจเซฟ มาสเคล (Joseph Maskell) ว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศพวกเธอ และอาจมีความเกี่ยวข้องกับการสังหารซิสเตอร์แคธีด้วย
คุณอาจสงสัยว่า ทำไมนักเรียนหญิงสองคนนี้ ถึงได้รีรอมาตั้งยี่สิบกว่าปี กว่าจะลุกขึ้นฟ้องร้อง นักเรียนหญิงสองคนนี้สมคบคิดอะไรกันหรือเปล่า
เรื่องนี้เป็นกลไกทางจิตที่ซับซ้อนมาก เจน โด และเจน โร ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ทั้งคู่แทบจะ ‘ลืม’ เรื่องที่เกิดขึ้นไปหมดแล้ว แต่แล้วจู่ๆ เรื่องบางเรื่องก็ทำให้ เจน โด เกิดการรื้อฟื้นความทรงจำที่เรียกว่า Recovered Memories ผุดวาบขึ้นมาในหัว ความทรงจำถึงเหตุการณ์ในอดีตอันเลวร้ายค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละอย่างสองอย่าง จนในที่สุดเธอก็ตระหนักแน่ว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างในวัยเด็ก
เริ่มจากเธอถูกบาทหลวง ‘ตรวจภายใน’ กระทั่งถึงถูกล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งโดยตัวบาทหลวงเองและโดย ‘คนอื่นๆ’ (ที่เธอยังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร) จนกระทั่งถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด เมื่อเธอถูกพาไปดู ‘ศพ’ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอมั่นใจเหลือเกินว่านั่นคือศพของซิสเตอร์แคธี
เจน โด ร้องเรียนต่อศาสนจักร แต่ศาสนจักรบอกให้เธอหาพยานมายืนยัน เธอจึงส่งจดหมายไปหาเพื่อนนักเรียนในอดีต นั่นทำให้เธอได้พบกับ เจน โร ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กัน ยังปิดปากเงียบอยู่
เวลาเกิดเหตุการณ์เลวร้ายระดับนั้นขึ้นในวัยเด็ก เป็นไปได้ที่คนเราจะปิดกั้นความทรงจำของตัวเอง กดฝังมันลงไป จึงเกิดกลไกความทรงจำใหม่ที่ทำให้เราไม่รับรู้ถึงความทรงจำนั้น เจน โด ก็เป็นอย่างนั้น
น่าเสียดายที่ในยุคนั้น เรื่องของ Recovered Memories ยังเป็นเรื่องใหม่ในทางจิตวิทยา หลายคนจึงยังไม่ยอมรับ ประกอบกับศาสนจักรในบัลทิมอร์เองก็ไม่ยอมร่วมมือด้วย ดังนั้น การฟ้องร้องชนิดที่ต้องเอาตัวเข้าแลก (โดยใช้นามแฝง – แต่ต้องแบกหน้าไปขึ้นศาล) ของอดีตนักเรียนหญิงสองคน จึงล้มเหลว
แม้บาทหลวงมาสเคลจะถูกตั้งข้อสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถูกกล่าวหา ที่แย่ที่สุดก็คือ สังฆมณฑลอนุญาตให้เขาหลบลี้หนีหน้าไปไกลถึงไอร์แลนด์ เรื่องราวอันคลุมเครือจึงจบลงในขยักแรกด้วยความคลุมเครือ ไม่มีใครรู้อะไร ไม่มีอะไรกระจ่างแจ้งขึ้นแม้แต่น้อย
เรื่องราวในขยักที่สองเริ่มขึ้นเมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า เมื่ออดีตนักเรียนของซิสเตอร์เคธี่อีกสองคน คือเจมมา ฮอสกินส์ (Gemma Hoskins) และ แอบบี ชวอบ (Abbie Schaub) ได้ลุกขึ้นมาเปิดเพจรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพื่อสืบสวนเรื่องราวการตายของ ‘ครู’ ของพวกเธอในปี 2013
ย้อนกลับไปในปี 1969 ทั้งคู่เป็นนักเรียนปีสุดท้ายที่กำลังจะจบการศึกษา แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศใดๆ แต่การตายของครูก็ติดค้างอยู่ในความทรงจำและความรู้สึกของพวกเธอมาตลอด ดังนั้น เมื่อเทคโนโลยีเอื้อให้ พวกเธอจึงรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีแบบ crowdsourcing นั่นทำให้เธอได้หวนกลับไปหา เจน โด และ เจน โร ที่บัดนี้ต่างยินยอมเปิดเผยตัวตนแท้จริง [พวกเธอคือ จีน วีห์เนอร์ (Jean Wehner) และ เทเรซา แลงคาสเตอร์ (Teresa Lancaster)] พร้อมกับเปิดเผยเรื่องเล่าที่สั่นสะเทือน หยาบดิบ และลึกลับซับซ้อน อย่างที่อาจไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีการสมคบคิดกันปกปิดสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นมากมายหลายชั้นได้ถึงเพียงนี้
และเหตุการณ์นี้กลับเกิดขึ้นในที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด – นั่นคือ ‘โรงเรียน’ ที่ก่อตั้งขึ้นในนามของศาสนจักรคาทอลิก!
นี่เป็นสารคดีสืบสวนสอบสวนที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นคดีที่กินเวลายาวนาน จึงมีรายละเอียดมากมาย เหยื่อของเหตุการณ์นี้มาให้สัมภาษณ์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีการสืบสาวโยงใยย้อนกลับไปถึงตำรวจที่เคยทำคดีนี้ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้เห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผยตัวเมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปี หน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมถึงทนายความและผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในศาสนจักรยุคโน้น
ผู้กำกับซีรีส์เรื่องนี้คือ ไรอัน ไวท์ (Ryan White) เขาเคยทำงานอย่าง The Case Against 8 ให้กับ HBO มาก่อน จึงเชี่ยวชาญการเล่าเรื่องทำนองนี้เป็นอย่างดี เขาใช้วิธีดำเนินเรื่องอย่างใจเย็น ลองนึกภาพหญิงวัยหกสิบปีที่ผิวหนังเหี่ยวย่น นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาฉ่ำชื้น แก่ชรา แต่กำลังบอกเล่าให้เราฟังถึงการถูกข่มขืน การถลกกระโปรง การสอดอวัยวะเพศเข้ามาที่หว่างขาสมัยที่เธอยังเป็นเด็กสาว รวมถึงการที่บาทหลวงบีบบังคับให้นักเรียนหญิงให้บริการทางเพศกับเจ้าหน้าที่รัฐและคนอื่นๆ ที่เธอไม่รู้จัก การสารภาพบาป การล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งการถกเถียงเรื่องแมลงวันตอมศพที่เธอเห็น ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ในฤดูกาลอันหนาวเหน็บนั้น
เธอคล้ายถูกกระทำซ้ำๆ คล้ายเธอเป็นผู้ถูกฆ่าเสียเอง แต่เธอก็ตายเพื่อจะเกิดใหม่ เพื่อจะลุกขึ้นมาให้ปากคำ เป็นปากเสียงให้กับผู้ที่ได้ตายไปแล้วจริงๆ เธอขุดค้นความทรงจำในหัวขึ้นมา ปลุกเร้าตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพื่อยืนยันความจริง
ผู้กำกับถักทอเรื่องราวไปช้าๆ แต่ทุกคำพูดหนักหน่วง อึดอัด เปิดเผย หลายเรื่องปรากฏในจังหวะที่คาดไม่ถึง เป็นการเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย คล้ายผู้เล่าได้เล่ามาแล้วนับพันครั้งจนชินชา ทำให้ผู้ชมต้องอึ้ง
ทั้งยังนำเสนอคำให้การและหลักฐานด้วยทักษะการเล่าเรื่องระดับสูง แต่ละตอนใน 7 ตอน ค่อยๆ คลี่เรื่องออกมาโดยไม่มีอะไรเยิ่นเย้อ ช้า…ทว่าหนักแน่นและไม่เคยซ้ำ เรื่องเต็มไปด้วยเลศนัยและดำเนินไปข้างหน้าอย่างเลือดเย็น – จนเราไม่อาจหยุดดูได้
เวลากว่า 40 ปี ได้ทำให้วัยเยาว์ของเด็กหญิงจำนวนมากต้องสูญเปล่าไป ความตายที่พัวพันเป็นกลิ่นอายล้อมรอบ ผู้ร้ายที่อาจเป็นฆาตกรลับเลือนไปในสายกาล มาสเคลตายไปโดยไม่ได้เผชิญหน้ากับการสอบสวน จากคนที่เคยทรงอำนาจ เพียงปรายตามองเด็กสาวทั่วโรงเรียนก็ต้องสยบยอม กลายมาเป็นคนแก่ที่ร่วงโรยในทุกมิติก่อนจะตายจากไป นั่นทำให้ไม่มีใครรู้ความจริงแน่แท้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การรวบรวมหลักฐานทำให้เรารู้ว่า อย่างน้อยที่สุดก็มี ‘เหยื่อ’ ในโรงเรียนแห่งนั้นมากถึง 35 คน และอาจมากถึง 100 คน รวมถึงซิสเตอร์แคธี – ที่พยายามปกป้องนักเรียนของเธอ
สิ่งนี้ทำให้สารคดีเกี่ยวกับฆาตกรรมและการสืบสวนเรื่องนี้แตกต่างออกไป เป็นเพราะนี่คือการพูดถึง ‘เหยื่อ’ ที่เป็นผู้หญิง ในขณะที่ผู้กระทำคือผู้มีอำนาจเหนือในทุกมิติ ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และอำนาจทางศาสนา ส่วนใหญ่แล้วเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเธอเองนั่นแหละ ที่พาพวกเธอเข้าสู่ชะตากรรมนี้ ด้วยการร้องขอให้ ‘คุณพ่อ’ (คือบาทหลวง) เป็นผู้ ‘รักษา’ เด็กสาวที่กำลังโลดเต้นไปกับฮอร์โมนวัยรุ่นพลุ่งพล่าน
ดังนั้น อำนาจที่กดขี่ อำพราง และแสร้งทำเป็นมิตรกับพวกเธอ จึงคืออำนาจของศาสนจักรที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นชาย ความสูงส่งของพระเจ้า และร่วมมือกับความหน้าบางขององค์กรศาสนา จนเกินกว่าจะยอมเผยโพล่งความผิดใดๆ ออกมา ซ้ำยังร่วมกันสร้างกลไกปกปิดความผิดให้ด้วย
ไม่ – สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ให้ ‘คำตอบ’ ที่น่าพึงพอใจใดๆ
มาสเคลตายในปี 2001 พร้อมกับหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่ามีหลายฝ่ายร่วมกันปกปิดความผิดให้ฆาตกร ผู้ชมจึงถูกทิ้งไว้กับความรู้สึกปั่นป่วน แต่นั่นคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ The Keepers อยากให้ผู้ชมได้นั่งอยู่ตรงนั้น ตระหนกไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตระหนกไปกับสิ่งที่ไม่อาจสะสาง รับรู้และสำนึกในความเล็กจ้อยของตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่าลุกขึ้นสู้ด้วยวิถีของตัวเองได้ รับรู้ถึงสิ่งที่เป็น ‘สัญญาณ’ บ่งบอกว่า นี่อาจเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง นี่อาจเป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่ถูกเปิดเผย โดยอาจมีเรื่องอื่นๆ อีกมากซุกซ่อนอยู่ข้างใต้
นี่คืออาชญากรรมทางเพศ ฆาตกรรมต่อชีวิต และการกดเหยียดอันเนียนนุ่ม ในนามของคุณธรรมความดีและศาสนา – ที่มีต่อ ‘เหยื่อ’ ที่เป็นผู้หญิง
เรื่องราวแบบนี้อาจเกิดอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน โดยมีเราเป็นพยานรู้เห็น
และเรา – อาจเป็นพยานที่เลือกจะไม่ทำอะไรกับมันเลย,
ก็ได้