หลังจากสองสัปดาห์ก่อน ผมเสนอเรื่องโครงการฝึกอบรมวิชาชีพที่ทำให้ชาวต่างชาติได้กลายเป็นแรงงานทาสด้อยทักษะไปแล้ว จริงๆ ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต่อเนื่องจากงานครั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องการดึงเอาแรงงานราคาถูกเข้าประเทศญี่ปุ่นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งรอบนี้ก็เป็นการเข้าไปญี่ปุ่นในฐานะ ‘นักเรียนภาษา’
แน่นอนว่า ญี่ปุ่นก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของชาวต่างชาติที่จะเข้าไปเรียนภาษา เพราะสำหรับคนไทยเรา การรู้ภาษาญี่ปุ่นก็ช่วยอัพค่าตัวในการทำงานได้แน่นอน นอกจากนี้ หลายคนยังชื่นชอบวัฒนธรรมป๊อบญี่ปุ่น จนอยากจะมีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมังงะ อนิเมะ ไอดอล หนังเอวี (?!) ทำให้มีคนแห่สมัครไปเรียนที่ญี่ปุ่นกันมากมาย รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักเรียนต่างชาติในประเทศตัวเองให้ได้รวม 300,000 คน เพราะถือเป็นรายได้เข้าประเทศ และยังเป็นโอกาสในการเพิ่มคนทำงานในประเทศอีกด้วยหากพวกเขาอยู่ต่อ แต่ความพยายามเพิ่มจำนวนนักเรียนต่างชาตินี่ล่ะครับที่กลายมาเป็นดาบสองคม แทนที่จะได้แรงงานมีคุณภาพ กลับกลายเป็นว่ามันได้เพิ่มจำนวนผู้ลักลอบเข้าประเทศญี่ปุ่นไปแทน และอีกกรณีหนึ่งคือ นักเรียนที่ต้องการมาเก็บเกี่ยวความรู้ในประเทศญี่ปุ่น กลับต้องพบกับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ
พูดถึงกลุ่มแรกก่อน ก็ต้องบอกเลยว่าคนที่เข้ามาประเทศญี่ปุ่นเพื่อหวังเป็นช่องทางทำงานหาเงินนี่มีไม่น้อยจริงๆ และต้องแบ่งเป็นสองกลุ่มอีก คือ กลุ่มที่เข้ามาตั้งใจทำงานโดยไม่หวังกลับไปประเทศตัวเองอีกแล้ว กลุ่มนี้คือพวกหนีวีซ่านั่นเอง เพราะสำหรับหลายประเทศที่ยังไม่ได้ฟรีวีซ่าแบบบ้านเรา การเข้าประเทศญี่ปุ่นที่ความเสี่ยงน้อยที่สุดคือการเข้าประเทศด้วยวีซ่านักเรียนนั่นเอง ซึ่งพวกเขาก็ลงทุนในการจ่ายค่าสมัครเรียน ค่าทำเอกสาร และค่าเล่าเรียนครึ่งปีแรก เพื่อแลกกับวีซ่านักเรียน เข้าไปเรียนได้ซักพัก อาจจะหายตัวไปดื้อๆ เลย
ความพยายามเพิ่มจำนวนนักเรียนต่างชาตินี่ล่ะครับที่กลายมาเป็นดาบสองคม แทนที่จะได้แรงงานมีคุณภาพ กลับกลายเป็นว่ามันได้เพิ่มจำนวนผู้ลักลอบเข้าประเทศญี่ปุ่นไปแทน
อันนี้ผมเคยเจอกับตัวเองครับ เพราะตอนที่ผมเข้าไปเรียนที่ญี่ปุ่น มีนักเรียนที่เข้ามาเรียนพร้อมกัน จากประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง เขาพูดภาษาญี่ปุ่นใช้ได้เลยครับ สัปดาห์แรกๆ อยู่หอเดียวกัน ก็ยังคุยกันดีๆ นั่งดูบอลกันดีๆ อยู่มาได้สองสัปดาห์ เขาก็เดินมาขอกุญแจห้องจากรูมเมต แล้วตอนเย็นก็พบว่าของเขาหายจากห้องไปหมด ทิ้งไว้แค่โปสเตอร์ฟุคาดะ เคียวโกะบนเตียง กับตู้เสื้อผ้าที่บานปิดพัง…และผมก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก็เลี่ยงๆ ไม่ได้พูดถึง (ผมเรียนในแผนกวิชาภาษาญี่ปุ่นของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่โรงเรียนภาษา แต่ก็ไม่แคล้ว)
ซึ่งเท่าที่เคยคุยกับอาจารย์ในโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น ก็ทราบว่ามีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาก็ต้องตามตัว ให้ตำรวจช่วย พอไปเจอก็ต้องลากไปสนามบินเพื่อส่งกลับประเทศ ซึ่งเขาบอกเลยว่าต้องยืนดูจนขึ้นเครื่องแล้วประตูเครื่องปิดจริงๆ ค่อยอุ่นใจได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแววหนีอีก ซึ่งเวลามีเคสแบบนี้ ก็จะทำให้โรงเรียนของพวกเขาถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพ่งเล็งเวลายื่นวีซ่าให้นักเรียนรายอื่น
แบบแรกยังโอเค เพราะโรงเรียนไม่ได้เป็นฝ่ายรู้เห็นอะไร แต่มีอีกกรณีที่โรงเรียนเหมือนเอื้อประโยชน์ให้กับคนเข้ามาทำงานแท้ๆ คือ ถ้าเข้าไปเรียนโดยถือวีซ่านักเรียนจะสามารถทำงานพิเศษหาเงินได้ครับ โดยถ้าเรียนกับสถาบันที่จดทะเบียนเป็นวิทยาลัย ก็จะทำงานได้สัปดาห์ละ 28 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นสถาบันที่จดทะเบียนเป็นโรงเรียนภาษา (มักจะบริหารงานโดยบริษัทจำกัด) ก็จะสามารถทำงานได้แค่ 4 ชั่วโมงต่อวัน แต่ด้วยความที่ค่าแรงทำงานพิเศษในญี่ปุ่นจัดว่าดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้หลายต่อหลายคนทำงานเกินเวลาที่ระบุไว้ โดยเฉพาะงานกะดึกที่ได้รายได้ดีกว่า ส่วนโรงเรียนก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร รับเงินค่าเรียนมาแล้วจะเข้าไม่เข้าก็เรื่องของคุณ ไม่ได้สนใจจะตามให้นักเรียนเข้ามาเรียน ยังดีที่วีซ่านักเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นเขาอนุญาตให้แค่สองปี ไม่งั้นอาจจะได้เห็นคนจ่ายค่าเรียนเพื่อทำงานเก็บเงินอยู่ต่อในญี่ปุ่นเรื่อยๆ
สองแบบที่ว่า อย่างน้อยที่สุดก็ยังมาด้วยความสมัครใจ แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งคือไปเรียนภาษา โดยได้รับการบอกกล่าวว่ามีทุนการศึกษาให้ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าต้องไปทำงานในโรงงานปลากระป๋อง ดมกลิ่นซากปลาไป เพื่อชดใช้เงินค่าเรียนและค่าที่พัก จนแต่ละเดือนแทบไม่เหลือเงินจากการทำงานเลย ซึ่งกรณีนี้ก็เคยเป็นข่าวดังในแวดวงคนเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่งจนมีบางคนยอมทิ้งเงินประกันกลับไทยเลย (ครับ มีทุน แต่ต้องจ่ายเงินประกัน เอ๊า)
อีกกลุ่มหนึ่งคือไปเรียนภาษา โดยได้รับการบอกกล่าวว่ามีทุนการศึกษาให้ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าต้องไปทำงานในโรงงานปลากระป๋อง
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มจำนวนนักเรียนต่างชาตินั่นล่ะครับ ทำให้การเปิดโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นมันง่ายมากขึ้น บางเจ้าแค่ไปเช่าห้องแถวหรือตึกเก่า ซอยห้องนิด ทำหลักสูตรหน่อย (จริงๆ ก็มีตำรามาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ไม่ต้องลำบากทำหลักสูตรมาก) ยื่นขอใบอนุญาต ก็เปิดได้แล้ว ซึ่งหลายเจ้าก็มีเป้าหมายหลักที่การทำกำไร ไม่ได้สนใจเรื่องการสอนที่มีคุณภาพ ทำให้นักเรียนหลายต่อหลายรายต้องฝันสลาย โดยเฉพาะคนที่เข้ามาเรียนเพื่อหวังจะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไปเช่นปริญญาโท แต่กลายเป็นว่าโรงเรียนภาษาไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้พยายามช่วยนักเรียนให้ได้เรียนต่อในด้านที่สนใจ แต่กลับแนะนำแบบส่งๆ ให้ไปเรียนในโรงเรียนวิชาชีพที่แทบไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอะไรแทน จากที่จะได้ความรู้ในสาขาที่ต้องการ ก็กลายเป็นว่าต้องเรียนอะไรไม่รู้ที่ไม่ได้ตรงกับเป้าหมายตัวเอง เพี่อจะได้อยู่ญี่ปุ่นต่อไป
ที่เขียนมายาวๆ นี่ ก็อยากจะบอกคนที่อยากจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นว่า พยายามเลือกโรงเรียนที่อยากจะไปเรียนให้ดีๆ นั่นล่ะครับ เพราะจะได้ไม่ได้ไปเสียเปล่า ถ้ามีโอกาสก็พยายามเช็กว่า ที่โรงเรียนมีนักเรียนสัญชาติไหนไว้เลยครับ เพราะตอนนี้ถ้าเห็นโรงเรียนไหนมีนักเรียนจากเวียดนามและเนปาลเยอะ ก็ให้ระวังไว้ก่อนก็ดีครับ เพราะมีข้อมูลว่าสองชาติที่ว่าเป็นชาติที่แห่เข้าไปเรียนในญี่ปุ่นเพื่อหาโอกาสทำงานเยอะมาก แต่ก่อนจีนกับเกาหลีจะเข้าไปเรียนเยอะ แต่หลังๆ เศรษฐกิจจีนดี ส่วนเกาหลีพอเงินวอนอ่อนค่าลง จำนวนนักเรียนก็ลดฮวบ จนโรงเรียนหลายแห่งที่พึ่งนักเรียนจากสองประเทศนี้ก็ต้องไปพยายามดึงนักเรียนจากตลาดใหม่อย่างสองประเทศที่ว่ามานั่นล่ะครับ อีกอย่างคือเป้าหมายของรัฐบาลญี่ปุ่นก็ดันไปเน้นที่จำนวน ไม่ได้เน้นที่คุณภาพด้วยสิครับ เลยไม่แปลกใจที่หลายกรณี นักเรียนก็กลายเป็นแรงงานราคาถูกไปแทนเสียงั้น
หมายเหตุ เรียนตามตรงว่า ส่วนใหญ่ โรงเรียนที่เอเจนซี่หลายเจ้าในบ้านเราดีลอยู่ ก็มีมาตรฐานค่อนข้างดีเกือบทุกที่อยู่แล้วครับ แต่ของแบบนี้ รู้ไว้ก่อนก็ดีนะ
อ้างอิงข้อมูลจาก