1. ปีศาจคืออะไร?
เป็นบททดสอบของพระเจ้าในศาสนาหนึ่งๆ หรือเป็นเพียงประดิษฐกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจในสังคม ผ่านการตีความและนำเสนอภาพปีศาจนับไม่ถ้วนรูปแบบ จุดร่วมหนึ่งที่เห็นเด่นชัดคือ ปีศาจเป็นตัวแทนซึ่งแสดงถึงความชั่วร้าย
2. เมื่อต้นปีที่ผ่านมา The Wailing ภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ได้ไปกวาดคำชมและเสียงปรบมืออย่างถล่มถลายจากเหล่านักวิจารณ์ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ นับเป็นอีกครั้งที่นาฮงจิน ผู้กำกับซึ่งตลอดชีวิตในสายภาพยนตร์ของเขาทำหนังยาวมาเพียงสามเรื่อง (The Chaser, The Yellow Sea และ The Wailing) ได้รับการยกย่องว่าหนังแต่ละเรื่องของเขาท้าทายกรอบขนบทางสังคมขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปิดเปลือยความจริงอันดำมืดซึ่งยากจะเบือนหน้าปฏิเสธ จากการวิพากษ์วิจารณ์ความอิเหลื่อยเฉื่อยแฉะของวงการตำรวจเกาหลีใต้ในหนังเรื่องแรก สู่การสำรวจสภาพชีวิตของคนชายขอบในหนังเรื่องถัดมา จนเมื่อมาถึงผลงานเรื่องล่าสุด นาฮงจินก็ได้พาเราดำดิ่งไปสู่ประเด็นเรื่องศีลธรรมและนิยามแห่งความชั่วร้าย
The Wailing เล่าเรื่องของหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่งที่จู่ๆ ชาวบ้านก็เกิดคลั่งขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลจนเป็นเหตุซึ่งนำมาสู่คดีฆาตกรรมอันน่าสยดสยอง จ็องกู นายตำรวจซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้เองก็ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นนัก และจากในทีแรกซึ่งเขาเชื่อว่าต้นตอของพฤติกรรมวิปลาสสะเทือนขวัญมาจากเห็ดพิษซึ่งมีผลโดยตรงต่อประสาท หากต่อมาจ็องกูก็เริ่มได้ยินข่าวลือประหลาดว่าเป็นเพราะการมาถึงของชาวญี่ปุ่นลึกลับคนหนึ่งต่างหากที่เป็นต้นสายนำความวิปริตมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้
จุดร่วมหนึ่งซึ่งปรากฏชัดในผลงานของนาฮงจินคือสภาพอันสิ้นไร้ไม้ตอกของอำนาจรัฐ กล่าวคือ หาก The Chaser ชี้ให้เราเห็นถึงความไร้น้ำยาของเจ้าหน้าที่รัฐ The Yellow Sea พาเราเดินทางไปในโลกเบื้องหลังซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยอำนาจอื่น The Wailing ก็คือการตอกย้ำให้เห็นถึงความไร้สมรรถภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยฉายผ่านจ็องกู ตัวเอกของเรื่องซึ่งมีรูปร่างอ้วนฉุ ทั้งยังไม่ประสบความสำเร็จนัก ทั้งในการงานหน้าที่ และชีวิตส่วนตัว เป็นทั้งพ่อที่ล้มเหลว และสามีที่ไร้นำยา เราจะได้เห็นภาพของตำรวจผู้หวาดกลัว ตื่นตระหนกในทุกๆ เรื่อง ทั้งยังไม่รู้ว่าควรต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์คับขัน ดังว่าหากเป็นในหนังเรื่องอื่นๆ จ็องกูก็คงไม่ต่างจากตัวประกอบซึ่งไม่ถูกจับจ้องสนใจ เพียงแต่ในโลกของนาฮงจินนั้น ตัวเอกผู้เก่งกาจไม่ได้มีอยู่จริง พูดให้ถูกคือ เขาไม่สนใจจะนำเสนอภาพของตัวเอกชวนฝันที่พึ่งพาได้ หากแต่เป็นตัวละครที่อุ้ยอ้าย ไร้ท่า แต่ก็ชัดเจนในฐานะมนุษย์อันเปราะบางซึ่งถือเป็นแรงขับสำคัญของเรื่อง
ด้วยเหตุนี้ อีกประเด็นหนึ่งซึ่งถูกขับเน้นอย่างเข้มข้นในหนังเรื่องนี้คือ ความไร้ศักยภาพของเพศชาย ที่แม้จะมีสถานะเป็นหัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนครอบครัว แต่ก็องจูก็ดีแต่จะฉุดพาครอบครัวให้ดำดิ่งสู่หุบเหว แต่ก็ดังว่าเขาจะรับรู้ความจริงข้อนี้จึงได้พยายามแสดงอำนาจของเพศสภาพให้สมาชิกในครอบครัวเห็น ทั้งด้วยการตะคอกด่าว่า การย้ำซ้ำถึงสถานะตำรวจของเขาราวกับไม่มั่นใจในตัวเอง (ซึ่งยิ่งซ้ำเติมความไร้ประสิทธิภาพของตัวเขาและวงการตำรวจ) ในโลกของนาฮงจินอำนาจของเพศชายไม่เคยได้รับการเชิดชู ชัยชนะ หรือการชื่นชมยินดีแต่อย่างใด
3. เมื่อไม่อาจคลี่คลายคดีฆาตกรรมได้ ทั้งต่อมาครอบครัวของก็องจูก็เริ่มถูกคุกคามด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติ อีกทั้งลูกของเขาก็เกิดติดเชื้อประหลาดและเริ่มแสดงท่าทีก้าวร้าว ในที่สุดภรรยาผู้ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ก็ได้ว่าจ้างหมอผีคนหนึ่งมาช่วยปัดเป่าความชั่วร้ายให้พ้นไปจากบ้านของพวกเขา
กลายเป็นว่าเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปสักระยะหนึ่ง นาฮงจินก็ได้หักหัวเรือจากการวิพากษ์อำนาจรัฐ และพาเรามุ่งไปสู่ประเด็นเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์และศรัทธาอันมืดบอด หมอผีซึ่งเข้ามาช่วยครอบครัวของก็องจูนั้นเชี่ยวชาญในวิชามนตร์ดำโบราณ และเขาได้บอกกับก็องจูว่าเขากำลังถูกรุกรานจากผีร้ายซึ่งก็คือชายชาวญี่ปุ่นปริศนา และนำไปสู่การปะทะกันระหว่างอาคมเกาหลีกับอาคมญี่ปุ่น
หากเราลองสวมแว่นการเมืองขณะจับจ้องไปที่ฉากนี้คือการวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในอดีตระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่น ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายนี้ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นยกไพร่พลมารุกรานและหวังยึดเกาหลีมาอยู่ใต้การปกครอง หรือในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นก็ส่งกำลังมายึดครองเกาหลีและฮุบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งช่วงระยะเวลากว่าสามสิบปีที่ตกอยู่ภายใต้ญี่ปุ่นได้สร้างบาดแผลและความคั่งแค้นสาหัสให้กับประชาชนชาวเกาหลี ทั้งจากความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่นที่ข่มเหงชาวบ้าน หรือกระทั่งสังหารหมู่ผู้คนจำนวนมากทั้งด้วยคำสั่งทางการเมือง และความพึงพอใจส่วนตัว
ความเจ็บปวดอันไม่อาจเยียวยานี้ยังคงตกทอดถึงปัจจุบัน ทั้งผลพวงของอดีตยังปรากฏให้เห็นในหนังเรื่องนี้ในท่าทีที่น่าสนใจ นั่นคือ ชายญี่ปุ่นคือต้นเหตุซึ่งนำความฉิบหายมาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ หากแต่จุดหนึ่งที่ชวนติดใจคือ ชายชาวญี่ปุ่นปริศนาคนนี้ไม่ได้เป็นผู้คุกคามแค่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเขาเองก็ถูกคุกคามจากชาวเกาหลีด้วยเช่นกัน ทั้งถูกเหยียดหยามทางวาจา บุกทำลายที่พักอาศัย และถึงขนาดฆ่าสัตว์เลี้ยงของเขา
น่าคิดว่าหรือกระบวนการซึ่งสร้างปีศาจแห่งอดีตขึ้นนั้น ในความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือไม่ใช่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนดีหรือคนร้าย ไม่ใช่การแบ่งโลกอย่างซื่อบริสุทธิ์ที่มีแค่สองฝั่ง แต่เป็นการตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าซึ่งปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมว่า หรือแท้จริงแล้วเราต่างก็มีส่วนต้องรับผิดชอบในการสร้างปีศาจร้ายด้วยกันทั้งนั้น ปีศาจร้ายไม่ได้ถือกำเนิดอย่างไร้ที่มาที่ไป แต่เป็นผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมาต่างหาก
4. ในสังคมปัจจุบันซึ่งเราดำรงอยู่ กระบวนการสร้างปีศาจนั้นมีตัวอย่างให้เห็นในทุกเมื่อเชื่อวัน เรากล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่ง ใส่ร้ายเหยียดหยาม จนเลยเถิดไปเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวกด้วยยึดถือคติแบบทวิลักษณ์นั่นคือ มีบาปก็ต้องมีบุญ มีดีก็ต้องมีชั่ว ลดมิติอันหลากหลายลงให้เหลือแค่เพียงขั้วตรงข้ามซึ่งมีแค่สองด้วยยึดเอาแค่ว่าสะดวก ง่าย และเอาตัวเองเป็นมาตรฐานที่คอยขีดกั้นเส้นแบ่ง หากเราเป็นคนดีแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครที่คิดต่างจากเรา ประพฤติไม่เหมือนเรา หรือไม่ยอมรับในขนบประเพณีของเราย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อความดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย เราอยู่ในสังคมซึ่งเคร่งเครียดอยู่กับการสถาปนาเทวรูปของความชั่วร้ายมากเกินไป และด้วยการนี้ที่บ่อยครั้งเราจึงยุ่งอยู่แต่กับการจับจ้องไปที่ปีศาจร้ายตนนี้ จนมองไม่เห็นปีศาจร้ายตนอื่นๆ ที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้เราทุกขณะ