1.
“เฮ้เพื่อน มันมีขุมทรัพย์อยู่ในหอสมุด เป็นหนังสือหายาก ขายได้ 12 ล้านดอลลาร์เลยนะเว้ย ที่สำคัญไม่มีใครเฝ้าด้วย”
วันที่ 17 ธันวาคม ปี ค.ศ.2004 เบตตี้ จีน กูช (Betty Jean Gooch) บรรณารักษ์หญิง อายุ 50 กว่าปี แห่งหอสมุด มหาวิทยาลัยทรานซิลวาเนีย เมืองเล็กซินตัน รัฐเคนตักกี เดินทางมาทำงาน และรอเวลา 11 โมง เพื่อเปิดประตูหอสมุด ต้อนรับ วอลเตอร์ เบ็คแมน ซึ่งโทรศัพท์และส่งอีเมลนัดหมาย ขอดูหนังสือหายาก ซึ่งมหาวิทยาลัยเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นสุดพิเศษ
วอลเตอร์ เบ็คแมนรายนี้ บรรณารักษ์หญิงไม่เคยพบหน้ามาก่อน เมื่อเจอหน้า แม้ชายคนนี้จะมีเคราหงอก แต่เธอก็พบว่าเขาดูเด็กกว่าที่คิด แถมท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างมาก ไม่ค่อยอยากพูด ช่วงนั้นมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการสอบ คนมาห้องสมุดจึงน้อยกว่าปกติ
เบตตี้พาชายคนนี้ไปที่โซนเก็บหนังสือหายาก ระหว่างนั้นเขาโทร.เรียกชายคนหนึ่งมาด้วย โดยบอกว่าเป็นลูกน้อง เบตตี้ไปเปิดประตูรับ ชายอีกคนดูเด็ก ขณะที่กำลังพาเดินไปดูหนังสือหายาก เบตตี้ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน ก่อนจะล้มลงไป จากนั้นชายทั้งสองก็รัดเท้ากับมือเธอ กองไว้กับพื้น พร้อมเอาผ้ามัดปากไว้
“หยุดดิ้นเถอะ ไม่งั้นคุณจะเจ็บไปมากกว่านี้”
เบตตี้ทำงานที่หอสมุดแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 เธอดูแลหนังสือหายากทุกประเภท หอสมุดแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีหนังสือเล่มประวัติศาสตร์มากมาย มูลค่าประเมินไม่ได้
แต่ถ้าจะตีเป็นเงินจริงๆ
มันก็มีมูลค่ามหาศาลมาก
เพื่อนบรรณารักษ์ลงมาพบกูช พวกเขารีบแก้มัด และพาเธอไปโรงพยาบาล ก่อนแจ้งตำรวจ คดีนี้จะถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า Transy Book Heist หรือคดีโจรปล้นหนังสือแห่งทรานซี (ชื่อเล่นของมหาวิทยาลัยแห่งนี้)
ตำรวจท้องที่เดินทางมาจุดเกิดเหตุ พวกเขาพบหนังสือหายากหล่นอยู่รอบหอสมุด มันเป็นหนังสือของนักเขียนอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่หลายคน ทรัพย์สินมหาศาล นี่มันใหญ่เกินกว่าขอบเขตของท้องที่ ตำรวจรัฐลงมาตรวจสอบ และต่อมาทางเอฟบีไอก็มาร่วมไขคดี
2 เดือนผ่านไป พวกเขาก็รวบตัวผู้ก่อเหตุได้ มีด้วยกัน 4 คน เป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง 22 ปี เป็นลูกชนชั้นกลางกึ่งรวย ดูมีฐานะ ไม่มีประวัติเสื่อมเสียทางอาชญากรรมใดๆ ทั้งสิ้น
“ตอนเราจับพวกเขาได้ สังคมสงสัยกันมาก พวกเขายังงงว่า ลูกคุณหนูมาขโมยหนังสือหายากไปทำไม ทีแรก เราคิดว่าพวกเขาแค่วางแผนแกล้งสนุกๆ เท่านั้นเอง”
2.
ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ประกอบด้วย วาร์เรน ลิบกา (Warren Lipka) สเปนเซอร์ ไรน์ฮาร์ด (Spencer Reinhard) ชาส อัลเลน ที่ 3 (Chas Allen III) และเอริก บอร์ซุก (Eric Borsuk) พวกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ผิวขาว หน้าตาดี ร่ำรวย มีอนาคตยาวไกล หลายคนเป็นนักเรียนทุน หลายคนเป็นนักกีฬา แต่ทุกคนมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข
ทุกอย่างมันเริ่มต้นเมื่อ 1 ปีก่อน เดิมทีนั้นตัววาร์เรนกับสเปนเซอร์นั้น เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเล่นฟุตบอล (ในความหมายของอเมริกัน คือ ซอคเกอร์) ด้วยกันมา โดยตัววาร์เรนได้ทุนนักกีฬาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคนตักกี้ ขณะที่สเปนเซอร์เข้าเรียนทางด้านศิลปะที่มหาวิทยาลัยทรานซิลวาเนีย
ต่อมาชีวิตนักกีฬาของพวกเขา ผันแปร โลกมหาวิทยาลัยไม่สนุกดังที่คิด สเปนเซอร์ค้นพบว่าการเรียนศิลปะช่างน่าเบื่ออย่างยิ่ง แถมทีมฟุตบอลมหา’ลัย ก็ไม่ได้สนุกดังเคย เช่นเดียวกับตัววาร์เรนที่ลาออกจากการเล่นฟุตบอล ทำให้ทุนที่เรียนถูกระงับ เขาต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเอง
ไม่เพียงเท่านั้นชีวิตครอบครัวยังย่ำแย่ พ่อวาร์เรนติดพนัน จนครอบครัวถูกฟ้องล้มละลาย มันมีผลต่อตัววาร์เรน เขาติดกัญชา นั่งสูบมันพร้อมกับดูรายการตลกตลอดทั้งวัน
ผ่านไปหลายเดือน วาร์เรนเริ่มหาเงินไปซื้อยาเสพ โดยร่วมมือกับเอริก บอร์ซุก อดีตเพื่อนนักบอลโรงเรียน ทำใบขับขี่ปลอมขายให้คนในมหาวิทยาลัย จนมีรายได้งดงาม
ช่วงเวลานั้น อดีตเพื่อนซี้อย่างสเปนเซอร์ ได้รู้มาว่าหอสมุดมหาวิทยาลัยทรานซิลวาเนีย มีหนังสือหายาก โดยเฉพาะหนังสือคู่มือนกอเมริกา ซึ่งเคยขายได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ เขาเข้าไปทัวร์สำรวจ และเมื่อวาร์เรนติดต่อมา สองเพื่อนซี้ จึงได้คุยกันเรื่องทรัพย์สินมหาศาลที่เก็บไว้ในหอสมุด ไร้ซึ่งการเฝ้า ดูแลรักษาความปลอดภัยเข้มงวดใดๆ ทั้งสิ้น
การคุยผ่านม่านควันโรยห่มของกัญชา ทำให้ทั้งสองไอเดียบรรเจิด ลิบกาเริ่มแผนงานทันที โดยเลียนแบบภาพยนตร์การปล้นสะท้านโลกอย่าง Ocean’s 11 และเรื่อง Snatch วาร์เรนคุยกับสเปนเซอร์และเอริก พวกเขาต้องการกำลังคนเพิ่มอีกในการขนหนังสือหายากหลายเล่ม นั่นทำให้เอริกไปชวนชาส ซึ่งรู้จักหลังไปทำงานธุรกิจสนามหญ้าด้วยกันเมื่อหลายเดือนก่อน
ทั้ง 3 คนมีฐานะดี เป็นคนผิวขาว ครอบครัวดูสุขสบาย แต่สำหรับชาสนั้น มันอีกระดับ เขาเป็นลูกนักธุรกิจที่ร่ำรวยของจริง หลังการชักชวน ชาสก็เข้าร่วมด้วย และมีหน้าที่จัดหารถแวนใช้หลบหนี
พวกเขาเริ่มแผนโดยการสร้างตัวตนวอลเตอร์ เบ็คแมนขึ้น โดยเอาชื่อมาจาก เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) นักฟุตบอลชื่อดังระดับโลก ซึ่งทั้ง 3 คนไม่นับชาส ต่างเล่นฟุตบอลกับโรงเรียนเก่าอยู่แล้ว และในยุคนั้น คนเตะบอลที่ไม่รู้จักเบ็คแฮม ก็เหมือนชาวประมงที่ไม่รู้จักปลาฉลาม
วอลเตอร์ เบ็คแมนถูกสร้างมา โดยใช้อีเมลของยาฮูซึ่งสเปนเซอร์เป็นคนสมัครและจะเป็นคนติดต่อพูดคุย เขาได้ติดต่อกับบริษัทประมูลหนังสือที่นิวยอร์ก ทีแรกพวกเขาก็จะนำหนังสือที่ขโมยมาได้ ไปขายที่ฮอลแลนด์ ก่อนพบว่าหนังสือหายากราคาแพงนี้ หากไปขายสุ่มสี่สุ่มห้า มีโอกาสที่คนจะไม่ซื้อ เพราะคิดว่ามันได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดเหนือชั้น ขายให้กับบริษัทประมูลที่ดีสุดในนิวยอร์ก พวกเขาไม่มีวันสงสัยว่าจะมีคนเดินเข้ามาแล้วเอาหนังสือที่ปล้นมาไปขายหรอก
ทั้ง 4 คนต่างตั้งชื่อเล่นไว้เรียกขณะปฏิบัติงาน โดยเลียนแบบจากภาพยนตร์ของเควนติน ทาแรนทิโนเรื่องดังอย่าง Reservoir Dogs (ชื่อไทย คือ ขบวนปล้นไม่ถามชื่อ) และวางแผนกันมานานนับปี โดยลิบกาเป็นคนวางแผนหลักอย่างละเอียดที่สุด เพื่อให้แผนประสบความสำเร็จ จะได้รวยเอาเงินมาแบ่งกันใช้
หลังจากสำรวจทางหนีทีไล่ในหอสมุดเป็นอย่างดี ก็ได้ฤกษ์ลงมือปล้น ที่ซึ่งทั้ง 4 คนจะพบว่า มันวายป่วงอย่างมาก
3.
สเปนเซอร์ใช้อีเมลและโทร.นัดพบกับเบตตี้ บรรณารักษ์หญิง โดยบอกว่าตัวเองคือวอลเตอร์ เบ็คแมน นัดหมายแรกคือวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.2004 แต่ปรากฏว่าวันนั้นรถแวนหาที่จอดไม่ได้ แถมสเปนเซอร์ก็ใช้เวลากับข้อสอบนานกว่าที่กำหนด วาร์เรนจึงโทร.ไปขอเลื่อนนัด เป็นอีกวัน ตอน 11 โมงเช้า
ตามแผนนั้น วาร์เรนจะปลอมตัวเป็นวอลเตอร์ เบ็คแมนแทน โดยใส่เคราปลอม แต่งตัวให้ดูแก่ๆ ส่วนเอริกจะรอวาร์เรนเรียกตัว ด้านชาสนั้นจะรอในรถพาหลบหนี
ส่วนสเปนเซอร์นั้น เขาติดสอบ วันเกิดเหตุจึงไม่ได้ไปช่วย ทางวาร์เรนปลอมตัวแล้วเข้าไปพบบรรณารักษ์ ระหว่างนั้นเอริกก็เตร็ดเตร่รอโทรศัพท์ของวาร์เรน เมื่อเพื่อนแจ้งให้เข้ามาในหอสมุดได้ เขาก็รีบเดินไปทันที แต่คนที่เปิดประตูออกมากับเป็บเบตตี้ บรรณารักษ์ ทำเอาเอริกหน้าตาตื่น คิดว่าแผนการพินาศแล้ว แต่ทั้งสองยังคุมสติได้ก่อนใช้ปืนไฟฟ้าชอร์ตเบตตี้ จับมัด แล้วขนหนังสือใส่กระเป๋าเป็นจำนวนมาก เตรียมขนของออกไป
แต่พวกเขาเป็นโจรมือใหม่ ไม่ได้ชำนาญเหมือนแก๊งโอเชี่ยนในโลกภาพยนตร์ พวกเขาหาบันไดหนีไฟไม่เจอ จนต้องกดลิฟต์ไปออกชั้นปกติ และเจอบรรณารักษ์ห้องสมุดเห็นตัว พร้อมกับวิ่งไล่
กว่าจะวิ่งขึ้นรถแวนที่ชาสจอดรออยู่
ก็ทำหนังสือตกไปหลายเล่ม
ไม่ถึงค่ำ การปล้นนี้ก็เป็นข่าวใหญ่ ทั้ง 4 คนเดินทางไปนิวยอร์ก ใช้ชีวิตดื่มกินเต็มที่ ก่อนจะติดต่อกับบริษัทประมูลหนังสือ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ออกมารับ และสัญญาว่าจะนำเรื่องติดต่อซื้อขายแจ้งผู้บริหารให้ ระหว่างนั้นทางเจ้าหน้าที่หญิงเผยว่า กลุ่มคนที่เอาหนังสือหายากราคาแพงมาขายนั้น ดูเด็กมากเกินกว่าจะอยู่ในวงการธุรกิจประมูลหนังสือได้
มิหนำซ้ำ พวกเขามีหนังสือพวกนี้ได้อย่างไร นั่นคือข้อสงสัยที่ทำให้บริษัทประมูลชื่อดัง ไม่เคยติดต่อกลับมาซื้อหนังสือจากยอดขุนโจร 4 คนนี้อีกเลย
ในช่วงที่บรรณารักษ์คนอื่นแก้มัดเบตตี้นั้น บรรณารักษ์หญิงกลัวสุดขีด เธอกลัวว่าจะหายใจไม่ออก เพราะถูกเอาผ้ามัดปากไว้ เธอกลัวจะเป็นโรคหัวใจวาย เพราะครอบครัวเคยมีประวัติมาก่อน ทางมหาวิทยาลัยพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการ ก่อนจะให้ลาพักรักษา แต่เบตตี้ใจเด็ดกว่าที่ใครหลายคนคิด เธอตัดสินใจกลับมาทำงาน หลังพักไม่กี่วัน
4.
ตำรวจเริ่มสืบสวนคดีง่ายๆ พวกเขาไล่ดูเบอร์โทรศัพท์ของวอลเตอร์ เบ็คแมน พวกเขาส่งหมายศาลไปยังบริษัทยาฮู เพื่อขอข้อมูลอีเมล์วอลเตอร์ เบคแมน นั่นทำให้เขาได้ที่อยู่ของอีเมล มันอยู่ในหอพักใกล้มหาวิทยาลัยนี่เอง
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาพบว่าอีเมลเบ็คแมนถูกส่งไปคุยกับบริษัทประมูลหนังสือ ตำรวจจึงเดินทางไปนิวยอร์ก พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ซึ่งพบโจรทั้งสี่ เธอให้รูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจน พวกเขาไล่วงจรปิดจนพบหน้าผู้ก่อเหตุทั้งหมด ในนิวยอร์กและรอบมหาวิทยาลัย ตำรวจระบุตัวสเปนเซอร์ได้ก่อนใครเพื่อน ไม่นานก็โยงทั้งสี่คนเข้าด้วยกันได้ ขณะรวบรวมหลักฐาน พวกเขาก็ซุ่มดู สะกดรอย จนทั้งสี่คนมีอาการประสาทหลอนและกลัวไปหมด เพราะเริ่มเห็นรถแปลกๆ มาจอดหน้าหอพัก
เมื่อหลักฐานถูกรวบรวมอย่างสำเร็จ ศาลอนุมัติหมายจับ ในเดือนกุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย พร้อมอาวุธครบมือก็บุกหอพักแล้วจับกุมทั้งหมดไว้ได้ โดยระหว่างปาระเบิดควัน และใช้เสียงข่มขู่ให้ผู้ต้องหายอมศิโรราบนั้น ชาสนึกว่าตัวเองกำลังจะถูกปล้น จึงควักปืนออกมา หวังสู้ แต่ไม่นานก็ทราบว่าคนที่บุกมานั้น คือตำรวจ เขาจึงทิ้งปืนแล้วยกมือยอมแพ้
1 วันก่อนถูกจับ ทั้งสี่คนเพิ่งจะไปดูหนังเรื่อง Ocean’12 มาด้วย แต่ชีวิตจริงไม่เหมือนหนังโจรเซียนเหยียบเมฆ พวกเขาเป็นได้แค่หัวขโมยกระจอก ที่ไม่ได้เงินจากการปล้น
ตำรวจพบหนังสือที่ถูกขโมยไป อยู่ในสภาพดีเยี่ยม จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน ก่อนส่งคืนหอสมุด ส่วนทั้ง 4 คน ถูกคุมตัวเข้าห้องขังดำเนินคดีทันที
“เราคิดเสมอว่า ตัวเองอาจจะรวยจากการขายหนังสือ หรืออีกทางก็คงถูกจับแบบนี้แหละ ตอนตัดสินใจ มันก็มีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้นเอง”
5.
ทั้ง 4 คนถูกตัดสินจำคุกอย่างต่ำ 7 ปี โดยไม่มีลดหย่อนโทษ ความดังของคดีปล้นนี้ ทำให้ฮอลลีวูดเอาไปสร้างเป็นหนัง โดยทั้ง 4 คนได้พ้นโทษจากเรือนจำและมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
ด้วยความที่เป็นครอบครัวฐานะค่อนข้างดี ทำให้ทั้งหมด กลับไปเรียนหนังสือต่อ มีงานทำได้อย่างสบาย ๆ โดยสเปนเซอร์ทำงานศิลปะ และออกแบบโปสเตอร์ให้กับหนังที่อ้างอิงชีวิตตัวเองด้วย วาร์เรนเรียนภาพยนตร์ ในปี ค.ศ.2018 โดยเขาเขียนประวัติตัวเองนอกจากเป็นคนทำงานหนัง เขียนบทแล้ว ยังเป็นนักปฏิรูปเรือนจำด้วย
ด้านเอริกร่วมกับชาสเขียนหนังสือถึงวีรกรรมของพวกเขา และถูกนำไปสร้างเป็นหนังในเวลาต่อมา ทั้งนี้หลังเกิดเหตุทางมหาวิทยาลัยทรานซิลวาเนียได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยแก่หนังสือหายาก แต่ก็ยังเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้
ด้านเบตตี้ บรรณารักษ์หญิงที่ถูกจับ เธอพบว่าตัวเองมีอาการป่วยทางจิตจากความบอบช้ำในเหตุการณ์นี้อย่างมาก จนต้องหยุดทำงานที่รักไป ก่อนยื่นฟ้องทั้งสี่ เรียกร้องค่าเสียหาย เธอบอกว่าหอสมุดแห่งนี้เหมือนบ้านหลังที่สอง เพราะได้สนุกกับงานที่ทำ ได้พบเจอคนหนุ่มสาวที่สนใจหนังสือ มันจึงทำให้เธอเจ็บปวดมากกับการถูกทำร้ายในบ้านหลังนี้
หญิงชราใช้เวลาหลายปีกว่าจะบอกเล่าเรื่องราวกับสื่อมวลชน เธอพยายามจะเข้าใจผู้ก่อเหตุ พวกเขาเลือกเดินทางผิด แม้จะมีชีวิตครอบครัวที่ดีก็ตาม แต่เพราะพื้นฐานนี้เอง ที่ทำให้พวกเขาอยากสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แม้มันจะจบลงที่ติดคุก และทำร้ายหญิงชราคนหนึ่งให้อยู่ในความหวาดกลัวนับตั้งแต่วันนั้นก็ตาม
“มันยากที่จะเห็นใจและให้อภัยพวกเขานะ แต่ฉันก็ยังพยายามจะทำมันให้ได้”
ข้อมูลอ้างอิง