สวัสดีปีใหม่ ค.ศ.2020 กับท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ ปีนี้จริงๆ แล้วผมอยากพยายามที่จะเริ่มต้นปีด้วยการพูดถึงเรื่องอะไรที่มันเบาๆ สักหน่อย หรือทำให้อารมณ์ดีบ้าง เพราะดูทรงแล้วปีใหม่นี้จะเป็น ‘อนาคตที่ไม่มีอนาคต’ นัก อย่างไรก็ดี เปิดปีมาเราก็พบกับสารพัดเรื่องหนักๆ เลย ตั้งแต่ความประสาทแดกกับถุงพลาสติกถึงขนาดไปเซ็นเซอร์ในโทรทัศน์ โรคระบาดในหลายประเทศ ไฟป่าใหญ่ในออสเตรเลีย แต่ที่เห็นจะดุดันที่สุดคงไม่พ้นการประกาศเตรียมบุกอิหร่านของสหรัฐอเมริการับทศวรรษใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะพูดถึงกันในครั้งนี้ครับ
หลายๆ ท่านคงจะทราบข่าวการสังหาร พลตรี กาเซ็ม โซเลมานี ของอิหร่านโดยสหรัฐที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนไปแล้ว สหรัฐอ้างว่ากาเซ็มนั้นทั้งอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายและมีส่วนในการสังหารคนอเมริกัน แน่นอนเหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความโกรธแค้นแก่คนอิหร่านจำนวนมากที่ต่อมาก็ประกาศว่าจะแก้แค้นสหรัฐอเมริกาให้จงได้ โดยมีการคาดการณ์ต่างๆ นานาถึงวิธีการในการ ‘ตอบโต้’ สหรัฐตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมอย่างการก่อการร้าย ไปจนถึงการแฮ็กข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ หรือพวกไซเบอร์วอร์แฟร์[1] เพราะสมัยนี้ไม่ได้มีแต่เพียงเขตแดนและพื้นที่ทางกายภาพเท่านั้นแล้วที่สำคัญ พื้นที่ของโลกไซเบอร์ซึ่งอำนาจของรัฐนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกับพื้นที่เสมือนลักษณะนี้นั้นดูจะกลายเป็นจุดเปราะบางของรัฐที่แข็งแกร่งได้
อย่างไรก็ดี จากการประกาศตอบโต้ดังกล่าวนี้เอง นำมาซึ่งการ ‘ทวีตตอบโต้ของทรัมป์’ ในวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมาว่า สหรัฐอเมริกาก็จะบุกจู่โจมพื้นที่สำคัญ 52 จุดในอิหร่านเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนชาวอเมริกัน 52 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันโดยอิหร่านเมื่อหลายปีก่อน ในทวีตชุดเดียวกันยังมีความน่าสนใจถึงการ ‘แขวะ’ พรรคเดโมแครตที่กำลังผลักดันการ impeachment หรือการขอถอดถอนทรัมป์ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีว่าเป็นเพียงการสิ้นเปลืองภาษีของคนอเมริกันทิ้งเฉยๆ แต่เขาต่างหากที่กำลังทำเพื่อ “สหรัฐอเมริกาของแท้” (Real USA)[2] [คือ ‘ของแท้’ นี่ขยาย ‘สหรัฐอเมริกา’ นะครับ ไม่ใช่ ขยายตัวการกระทำของทรัมป์…ประโยคบังคับกำกวม]
จากการตั้งท่าจะก่อสงครามในช่วงใกล้เลือกตั้ง พร้อมๆ ไปกับการแขวะ รวมถึงการพยายามยกคำใหม่ที่ชวนให้ฮึกเหิมและดูจะมีผลต่อการหาเสียงอย่าง Real USA นี้เองทำให้หลายฝ่ายมองว่า ‘การตั้งท่าก่อสงครามนี้ สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง’ ที่ทรัมป์จำเป็นจะต้องหาทางให้ตัวเองได้อยู่ต่อไป
ซึ่งสำหรับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาแล้ว
การใช้สงครามในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไรนักเลย
งานศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสงครามและการเลือกตั้งนั้นเป็นหัวข้อใหญ่ที่ศึกษากันมานานแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นเป็นต้นมายาวมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเหตุการณ์การหา ‘ศัตรู/คู่ต่อสู้ใหม่’ หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้วลักษณะนี้ของสหรัฐอเมริกานั้นดูจะเกิดขึ้นในแทบจะทุกๆ รอบทศวรรษใหม่เลยก็ว่าได้ 1990s เป็นช่วงสงครามเย็นสิ้นสุดและต้องหาศัตรูใหม่ ซึ่งก็ไปจบอยู่ที่สงครามยาเสพติด ในช่วงทศวรรษ 2000s ก็เข้าสู่ช่วงสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยเฉพาะในช่วงปี ค.ศ.2001 และ ค.ศ.2003 ในสมัยของบุช และพอถึง 2010s ที่แม้จะไม่ได้มีสงครามทางการแบบชัดๆ นัก แต่การประกาศสงครามกับกลุ่ม ISIS และสงครามเศรษฐกิจกับจีนก็ดูจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนและเข้มข้นขึ้นมาโดยตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จนมาถึงการเปิดศักราชของทศวรรษ 2020s สหรัฐอเมริกานำโดยทรัมป์ของเราก็ดูจะเปิดทศวรรษใหม่ด้วยศัตรูตัวฉกาจใหม่เป็นอิหร่านแทบจะโดยทันทีเลย แน่นอนครับว่าอิหร่านกับสหรัฐฯ นั้นไม่ใช่ ‘คู่ต่อสู้ใหม่’ แต่เป็นไม่เบื่อไม้เมากันมานานแล้ว แต่การจะเลือกเอา ‘ใครขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้หลักในแต่ละช่วง’ นั้น อันนี้ดูแทบจะแล้วแต่จิตแต่ใจ ‘ตำรวจโลก’ (ที่สถาปนาตัวเองขึ้นมา) เค้าเลย
อย่างที่บอกครับว่าการศึกษาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และคำอธิบายในการก่อสงครามมีมากมายหลากหลาย อย่างการก่อสงครามเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพื่อขยายเขตอำนาจของตัวเอง การสร้างศัตรูเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานะทางอำนาจและความจำเป็นของตัวตนของตนอยู่ ฯลฯ ทุกคำอธิบายล้วนมีประเด็นทั้งสิ้น และไม่อาจจะตัดสินว่าเหตุผลไหนที่ ‘ถูกต้อง’ มากกว่าเหตุผลอื่นได้โดยง่ายนัก และผมก็ไม่คิดว่าควรทำด้วย เพราะมันสามารถมีล้านเหตุผลในการก่อสงครามสักสงครามก็เป็นได้ เช่นกัน สงครามกับการเลือกตั้งนี้ ถูกมองในฐานะเหตุผลหลักประการหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ ‘ทุกสิ่ง ทุกแง่มุม ทุกเหตุผล’ ของการก่อสงครามแน่นอน กระนั้นมันก็มีปัจจัยที่เอื้อต่อการเลือกตั้งไม่น้อยทีเดียว
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้การก่อสงครามมีผลต่อการเลือกตั้ง? จริงๆ แล้วมีให้เขียนถึงได้มากมายนะครับ แต่ผมคิดว่าโดยหลักแล้ว วางอยู่บนฐาน 4 อย่างนี้ คือ
- การสร้างศัตรูร่วม โดยเฉพาะในสภาวะที่ตนเองกลายเป็น ‘ศัตรูร่วมของคนในชาติเสียเอง’ อันนี้เป็นกลเม็ดทั่วไปที่ใช้กันเลยครับ ในสมัยบุชเองก็มีลักษณะเดียวกันในขณะที่ความนิยมของบุช (คนลูก) กำลังตกต่ำ บังเอิญเกิดเหตุ 9/11 ขึ้น นำมาซึ่งการสร้างศัตรูร่วมของคนในชาติอย่างท่วมท้น ในเวลานั้นไม่เกี่ยวแล้วว่าก่อนหน้าใครจะเกลียดหรือชอบบุช ‘พักมันเอาไว้ก่อน’ มาร่วมกันอัดอัฟกานิสถานและ Al Qaeda ก่อน แต่หลังจากการบุกอัฟกานิสถานแล้ว บุชก็ยังคงใช้ยุทธวิธีเดียวกันนี้ต่อ โดยการเปิดสงครามกับอิรักอีกในปี ค.ศ.2003 ในชื่อสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
สถานการณ์ในวันนี้ของทรัมป์ดูจะมีลักษณะที่ละม้ายคล้ายกับครั้งของบุชมากทีเดียว เขากลายเป็นศัตรูร่วมของคนทั้งโลกไปแล้วกระมังไม่ใช่แค่กับคนที่มีปากมีเสียงในสหรัฐอเมริกา (อย่างไรก็ดีในหมู่ผู้สนับสนุนทรัมป์ ผมก็คิดว่าฐานเสียงเค้ายังดีอยู่ไม่น้อยด้วยนะครับ) รูปการณ์นี้เอง มันกึ่งบังคับให้ทรัมป์จำเป็นจะต้องสร้าง ‘ศัตรู/คู่ต่อสู้ใหม่’ ของคนทั้งชาติขึ้นมาแทนตัวเอง และหุ่นไล่กาใหม่นี้ก็หวยตกมาที่อิหร่าน อย่างไรก็ดีผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างสมัยบุชไหมก็ตอบยากอยู่ครับ เพราะตอนบุชนั้นมีเหตุการณ์ 9/11 นำมาก่อน แล้วบุชก็อาศัยโมเมนตัมของความคุกรุ่นใส่ยาวไป ในกรณีของทรัมป์ยังหาเหตุผลในการณ์จุดประกายอารมณ์ร่วมของคนในชาติเต็มๆ ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่า ‘อิหร่านจะตอบโต้หรือโจมตีกลับ’ (ทางใดทางหนึ่ง) ในกรณีนี้เองการเมืองของความกลัวจะเริ่มขึ้นทันที และชาวอเมริกันก็จะอยู่ในโหมดของการมีศัตรูใหม่แทนที่ตัวทรัมป์ขึ้นมา ว่าง่ายๆ ก็คือ ‘ฝั่งทรัมพ์เองก็คาดหวังให้อิหร่านโจมตีตอบโต้ตัวเองเช่นกัน’ เพื่อจะได้มีที่ทางที่แข็งแรงในสนามการเลือกตั้งต่อไป
- ในสภาวะวิกฤติทางความมั่นคงนั้น ‘คนไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง’ เพราะการเปลี่ยนแปลงมาคู่กับการปรับตัว การเตรียมตัว การใช้เวลาให้ ‘เข้าที่เข้าทาง’ เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่สังคมที่อยู่ในสภาวะวิกฤติอยากได้ ในเงื่อนไขแบบนี้เอง การก่อสงครามจึงเป็นการสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ยอมจำนนที่จะ ‘ไม่เปลี่ยนตัวผู้นำ’ ไปก่อน เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย และจัดการปัญหาตรงหน้า ไม่เพียงเท่านี้ ในสภวะที่ต้องเผชิญกับภัยความมั่นคงทางการทหารนั้น สังคมมักหวังจะมองหาผู้นำที่มีภาพลักษณ์แบบ ‘แข็งกร้าว ดุดัน’ หรือที่เรียกกันว่าเป็นลักษณะของ political strongman ซึ่งในวินาทีนี้ก็ยังหาคนที่จะได้ประโยชน์จากจุดนี้มากไปกว่าทรัมป์ได้ลำบากอยู่ (เว้นแต่ปูตินจะย้ายประเทศมาแข็งกับทรัมป์อ่ะนะ หึหึ) เพราะคงจะคาดหวังให้ฮิลารีที่เดินยังไม่ค่อยจะไหว หรือปู่เบิร์นนี่ แซนเดอร์มาสู้กับศึกสงครามนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่สังคมอเมริกันมองเห็นนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะเขียนว่านี่คือทิศทางที่สังคมนิยมเลือกหรือมอง แต่ไม่ได้แปลว่าผมสนับสนุนท่าทีเหล่านี้นะครับ ตรงกันข้ามเลย ผมพยายามเสนอมาโดยตลอดว่านี่คือท่าทีและตัวเลือกที่ผิด เพราะตัวเลือกแบบนี้แหละที่จะทำให้ความรุนแรงเกิดไม่รู้จบ ว่ากันอีกแบบก็คือ ในเวลาที่สหรัฐอเมริกากลายเป็นหมาบ้าไล่กัดคนตามใจชอบนี้ เราอาจจะต้องคาดหวังกับอิหร่านให้ ‘ไม่ตอบโต้อย่างไร้วุฒิภาวะ’ มากกว่า ซึ่งก็อาจจะยากอีก เพราะท่าทีของอิหร่านเองต่อเรื่องนี้ก็แข็งกร้าวมากทีเดียว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในสมการนี้ก็หนีไม่พ้นโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเอง
- การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ใช้กันมานานแล้วของประเทศมหาอำนาจ อย่างน้อยที่สุดก็นับแต่ยุคล่าอาณานิยม ที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ในกลุ่มประเทศมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม (และผลตรงกันข้ามกับประเทศใต้อาณานิคม) เพราะการก่อสงครามมันหมายถึงการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ รวมไปถึงในกรณีที่ชนะ ยังหมายถึงการได้เงื่อนไขในการครอบครองพื้นที่ ทรัพยากร รวมไปถึงสัมปทานมากมายก่ายกองด้วย ในแง่นี้เองสงครามจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจและขยายฐานการผลิตด้วย โดยเฉพาะในกรณีระหว่างประเทศมหาอำนาจกับประเทศที่ขนาดเล็กกว่ามากๆ ในมุมนี้จะมองว่าเป็นการปล้นสะดมยุคใหม่ก็ไม่ถึงกับผิดนักครับ
- การเอาใจผู้สนับสนุนพรรคตนเอง คือ เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบพรรคการเมืองของอเมริกานั้น จะมีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองมาจากบรรษัท ห้างร้านใหญ่ๆ มากมาย และพรรครีพับรีกัลซึ่งทรัมป์เป็นแคตดิเดตนั้นก็ขึ้นชื่อลือชามาแต่นานแล้วจากการมีผู้สนับสนุนหลักจำนวนมากเป็นบริษัทอาวุธสงครามหรือบริษัททางความมั่นคงต่างๆ (ไม่ได้แปลว่าพรรคอื่นไม่มีนะครับ แค่รีพับรีกัลขึ้นชื่อเรื่องนี้ในแง่ปริมาณมากที่สุด) ในแง่นี้เองการก่อสงครามนั้น แม้อาจจะนำมาซึ่งความลำบากให้กับคนหลายกลุ่มในสหรัฐอเมริกาเอง แต่กับคนที่สนับสนุนทรัมป์หลักๆ แล้วน่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งจุดนี้ดูจะไม่ต่างอะไรนักกับรัฐบาลและนายทุนไทย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ต้องบอกตามตรงว่าแอบผิดคาดของผมเองอยู่บ้าง ไม่ใช่เพราะผมไปมองทรัมป์ในแง่ดีเกินไปอะไรเลยนะครับ แค่เพราะว่าแม้ผมจะเกลียดทรัมป์และนโยบายของเขามากก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ เขาเป็นคนหนึ่งที่พยายามทำตามนโยบายที่ตัวเองหาเสียงไว้มากๆ ด้วย (ดูอย่างเรื่องกำแพงนั่นสิ จะเอาให้ได้อยู่นั่น) และหลายเรื่องทำสำเร็จด้วย อย่างกรณี ตั้งเป้าจะลดจำนวนผู้อพยพ เขาก็ทำได้สำเร็จจริงๆ นะครับ เพราะปริมาณคนอพยพเข้าสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ทรัมป์มาบริหารนั้น ลดลงชนิดฮวบฮาบเลย เพราะเค้าสร้างบรรยากาศให้สหรัฐอเมริกาไม่เป็นตัวเลือกที่น่าเลือกสำหรับผู้อพยพได้สำเร็จจริงๆ ซึ่งอาจจะฟังดูน่ารังเกียจ (และมันก็น่ารังเกียจจริงๆ นั่นแหละ) แต่สำหรับคนที่สนับสนุนทรัมป์แล้วอาจจะมองความน่ารังเกียจนี้ในฐานะผลงานชิ้นโบว์แดงก็ได้
เพราะอย่างงี้เองผมเลย ‘ผิดคาด’ ไปสักหน่อยกับเหตุการณ์นี้ เพราะ (1) ผมมองว่าทรัมป์น่าจะมองว่าฐานเสียงของตัวเองยังคงแข็งแรงอยู่ ไม่ได้สุ่มเสี่ยงอะไรมากในการเลือกตั้งที่จะมาถึง (ใช่ครับ ผมมองต่างจากหลายคนที่คิดว่าทรัมป์จะแพ้แน่ๆ เพราะผมคิดมาตลอดว่าทรัมป์น่าจะได้สมัยที่สองด้วย และหวังมากๆ ให้ตัวเองคิดผิด) แต่เขากลับใช้ยุทธวิธีนี้ที่ตัวเค้าเองเคยทวีตไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2011 ว่าโอบาม่าน่าจะบุกอิหร่านเพื่อเมกชัวร์ว่าตนจะได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง นั่นก็แปลว่าแม้แต่ทรัมป์เองก็คงจะไม่ชัวร์กับการเลือกตั้งที่จะมาถึงนัก และ (2) แม้ผมจะเกลียดทรัมป์ แต่อย่างที่บอกว่าเค้าเป็นคนที่พยายามทำตามนโยบายที่ตัวเองออกปากไว้มาก และท่าทีของทรัมป์ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งตั้งแต่ต้นก็คือ ท่าทีแบบ isolation หรือแยก/แบ่งขาดสหรัฐอเมริกากับโลก คือ ยุ่งกับโลก/แคร์โลกน้อยลง และสนใจแต่อเมริกาเท่านั้น ในมุมนี้การเลือกบุกอิหร่านก่อนจึงเป็นท่าทีที่ผิดผีมากทีเดียว จากจุดยืนหลักที่ทรัมป์ประกาศไว้
สุดท้ายเราก็คงได้แต่คอยตามดูความขัดแย้งนี้ต่อไป ตอนนี้หลายฝ่ายเริ่มออกมาพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว แม้จะไม่มีใครพูดได้โดยแน่ชัด แต่ผมคิดว่าโอกาสเกิดเหตุระดับนั้นมันน้อยมากครับ จนแทบจะเรียกว่าไม่มีก็ได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นสงครามสเกลปี ค.ศ.2003 ที่สหรัฐบุกอิรัก เพราะการที่สหรัฐอเมริกากล้าบุกอิหร่านแบบนี้ มันเป็นเครื่องพิสูจน์โดยตัวเอง (หลังจากที่อิหร่านเคยเปิดบ้านให้พิสูจน์มาแล้ว) ว่าอิหร่านไม่มีนิวเคลียร์ เพราะถ้าอิหร่านมีนิวเคลียร์ในครอบครองสหรัฐอเมริกาจะไม่มีทางผลีผลามทำอะไรแบบนี้ เพราะเขารู้ดีว่า ‘ต้นทุนของการถูกนิวเคลียร์ยิงใส่สักครั้ง ต่อให้เขาชนะสงครามอีกกี่ทีมันก็ไม่คุ้ม’ แต่เพราะแบบนี้เอง มันจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นสงครามที่มหาอำนาจใช้ความรุนแรงฝ่ายเดียวไล่กระทืบประเทศที่อ่อนแอกว่าเพื่อประโยชน์ตามใจตน และนี่คือสิ่งที่มหาอำนาจไม่ค่อยจะพูดถึงและไม่พยายามจะนึกถึงหรือยอมรับความเฮงซวยของตัวเองนัก
อย่างกรณีกาเซ็มของอิหร่านนั้น เขาอาจจะเป็นคนที่เลวร้ายจริง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาควรจะโดนฆ่าโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมสากล ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับสหรัฐอเมริกาแล้ว ดูจะมีแต่ชีวิตของคนสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ ‘ถูกนับว่าเป็นชีวิต’ เพราะคนอิหร่าน (อิรัก อัฟกานิสถาน ฯลฯ) ที่ตายด้วยน้ำมือสหรัฐฯ เอง และถูกซ่อนอยู่ใต้คำว่า collateral damage นั้นดูจะไม่มีค่าอะไรเลย เอาจริงๆ แล้วนี่มันคือการก่อการร้ายโดยรัฐของแท้เลย นี่แหละครับ Real USA ไหมละ!
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] โปรดดู https://www.wired.com/story/iran-soleimani-cyberattack-hackers
[2] โปรดดู https://www.tnnthailand.com/content/25553