อีลอน มัสก์ (Elon Musk) – เมื่อกล่าวชื่อนี้เชื่อว่าปัจจุบันคงเป็นที่รู้จักกันหมดทั้งโลกแล้วก็ว่าได้ ชายผู้ที่เป็นขึ้นชื่อว่าเป็นต้นแบบของ Tony Stark ของภาพยนต์ Iron Man บุคคลที่ปลุกเทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่ต้องการของตลาดและเอื้อมถึงได้ (Tesla) เขาคนนี้ที่มีความฝันว่าจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในอวกาศเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้ (SpaceX) และทำให้มนุษย์นั้นสามารถพัฒนาความรู้ได้เทียบเท่า AI (Neuralink) และตอนนี้อีกโปรเจกต์หนึ่งของเขาที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากคือ Starlink ที่จะเป็นการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงราคาย่อมเยาว์แก่ทุกคนบนโลกใบนี้
อย่างแรกที่อาจจะต้องอธิบายก่อนที่จะไปพูดถึง Starlink ก็คือวิธีการทำงานของอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ตอนนี้เรามีเทคโนโลยีที่เรียกว่าใยแก้วนำแสงใต้สมุทร (Submarine Fiber Optic Cable) ซึ่งทำให้เราสามารถสื่อสารหรือเห็นภาพวีดีโอคอลเพื่อนจากอีกฟากฝั่งของโลกได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราส่งสัญญาณผ่าน router ไปยังสายไฟเบอร์ใยแก้วที่บริษัทมาติดให้ แล้วก็ออก Gateway ประเทศไทย ไปใยแก้วใต้ทะเล เข้า Gateway อีกประเทศหนึ่ง ผ่านใยแก้วของผู้ให้บริการที่นั้น ลง router แล้วก็แสดงออกสู่หน้าจอของเพื่อนคนนั้น มันเป็นการเดินทางระยะไกล แถมยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงมีปัญหาเรื่องของความหน่วงเกิดขึ้นได้หรือที่เรียกว่า lag
Starlink ตั้งเป้าหมายว่าจะแก้ปัญหาอยู่สองอย่าง
คือให้อินเตอร์เน็ตเข้าถึงได้ทุกที่ในราคาที่ไม่แพง
และลดความหน่วงของการสื่อสารลงไปด้วย
หลายคนเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของ Starlink คือผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทุกคนบนโลก แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว กลุ่มคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่สายใยแก้วเข้าถึงนั้นไม่ได้มีความจำเป็นสักเท่าไหร่สำหรับการจะใช้เทคโนโลยีของ Starlink แต่เป็นกลุ่มคนที่อยู่นอกพื้นที่นั้นต่างหากที่น่าสนใจ โดยข้อมูลจาก CNBC บอกว่าคนบนโลกว่า 3 พันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าเขาแก้ได้ แน่นอนว่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลเลยทีเดียว
Starlink ไม่ได้เป็นเพียงแค่โปรเจกต์ที่พูดหรือคิดขึ้นมาลอยๆ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2018 SpaceX ได้ปล่อยดาวเทียมทดสอบ 2 ดวงชื่อ Tintin-A และ Tintin-B ซึ่งเป็นการทดสอบไอเดียและช่วยพัฒนาดีไซน์ของดาวเทียมดวงต่อไปให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา SpaceX ได้ส่งดาวเทียมกว่า 60 ตัวขึ้นไปเติมบนอวกาศที่ความสูงราวๆ 550 กิโลเมตรทำให้จำนวนดาวเทียมที่อยู่บนท้องฟ้าของ Starlink นั้นอยู่ที่ราวๆ 422 ดวง (โดย Starlink ตั้งเป้าว่าจะมีประมาณ 42,000 ดวงในที่สุด) โดยอีลอนเคยบอกว่า Starlink สามารถเริ่มให้บริการอินเตอร์เน็ตได้เมื่อมีดาวเทียมประมาณ 400 ดวง แต่เขาก็ยังวางแผนที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปเพิ่มเป็นราวๆ 1600 ตัวและเริ่มให้ทดลองใช้บริการภายในปีนี้ในบางพื้นที่
เมื่อทุกอย่างอยู่ในที่ของมัน หมุนรอบโลกไปเรื่อยๆ การคุยกันของดาวเทียมก็เป็นเรื่องง่าย เหมือนเป็นเครือข่ายที่คอยส่งต่อข้อมูลถึงกัน หันไปทางไหนก็เจอ การส่งข้อมูลถึงกันจึงสามารถทำได้ในระดับความเร็วของแสง (ที่เร็วกว่าไฟเบอร์ใยแก้วประมาณ 47%) สำหรับในช่วงแรกของการทำงานของ Starlink นั้นยังต้องใช้การช่วยเหลือของพาร์ทเนอร์บนพื้นอยู่ จากข่าวลือที่เกิดขึ้นคือบริษัท Vislink ที่ให้บริการด้านดาวเทียมและการสื่อสารผ่านวีดีโอในรัฐฟลอริดาจะทำหน้าที่นั้น ต้นตอข่าวก็มาจากที่โลโก้ของ Vislink ไปโผล่ในการถ่ายทอดสดในการปล่อยจรวดของ SpaceX ครั้งล่าสุดนั้นแหละ แต่ว่าในอนาคตเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ผู้ใช้งานของ Starlink ก็จะเชื่อมต่อกับ Terminals ที่มีขนาดประมาณกับพิซซ่าถาดหนึ่งโดยสามารถติดไว้บนหลังคารถยนต์ บนเรือ เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้กับผู้ใช้งาน
ลองจินตนาการถึงการนั่งอยู่บนชายหาดในเกาะห่างไกล
แล้วยังสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต นั่งดู Netflix ไป
คงเป็นเรื่องที่สะดวกไม่น้อย
ในพื้นที่ห่างไกลที่การสร้างเสากระจายสัญญาณเป็นเรื่องยาก หรือสัญญาณอาจจะขาดๆ หายๆ นี่จะเป็นพื้นที่ที่ Starlink สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมากกับชีวิตผู้คนในบริเวณนั้น ทั้งเรื่องกับรับรู้ข้อมูลข่าวสาร telemedication การศึกษา การขอความช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน หรือแม้แต่เรื่องความบันเทิงต่างๆ โดยบริษัทผู้ให้บริการในปัจจุบันก็คงเริ่มต้องปาดเหงื่อกันแล้วถ้ามันเกิดขึ้น เพราะถึงแม้ว่าพื้นที่ห่างไกลจะเป็นเป้าหมายหลัก ก็ไม่ได้หมายความว่าคนในเมืองจะเข้าถึงไม่ได้ การขยายจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเพราะมีโครงสร้างวางไว้หมดแล้ว อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่ในตอนนี้ก็อาจจะล้าหลังและถูกกระทบโดยตรง
โลกของ Starlink ถ้าเป็นจริงขึ้นมาจะทำให้คำพูดที่ว่า “แถวนี้ไม่มีสัญญาณ” กลายเป็นอดีตไปเลย และมีโอกาสที่จะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอีกครั้ง ความบันเทิงทั้งหลายจะเปลี่ยนไป การเล่นเกมส์ออนไลน์จะเปลี่ยนไป AI จะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เคยมีมาก่อน Cryptocurrency จะเข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างยิ่งขึ้น การแพทย์ทางไกลจะช่วยทำให้สุขภาพของคนในถิ่นทุรกันดารนั้นดีขึ้น ฯลฯ
สิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าอินเตอร์เน็ตจะไม่ต้องจำกัดด้วยสายไฟเบอร์หรือเสาสัญญาณอีกต่อไป และเราน่าจะเห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเพราะ Starlink จนอาจจะจำภาพอินเตอร์เน็ตที่หน่วงๆ และขาดๆ หายๆ ในวันนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อ้างอิงข้อมูลจาก