“พี่นัท ญี่ปุ่นเขามีการเอาคนดังมาโปรโมตหนังสือมั้ย?”
คือคำถามที่ทีปกรถามผมในโพสต์ที่คุยเกี่ยวกับเรื่องการโปรโมตหนังสือเมื่อหลายเดือนก่อน ทำให้ผมต้องรีบขุดข้อมูลในสมองขึ้นมา แล้วก็พบว่า ญี่ปุ่นก็มีการใช้วิธีนี้เช่นกัน ตัวอย่างก็เช่น รายการ Ame-Talk ที่ผมชอบดู ก็มีการจัดหัวข้อ ‘ดาราตลก ที่ชอบอ่านหนังสือ’ โดยให้ดาราตลกเหล่านั้นมานั่งคุยกันเรื่องหนังสือและแนะนำหนังสือที่ตัวเองคิดว่าดี กลายเป็นว่าเล่มที่ได้รับการแนะนำยอดขายก็พุ่งขึ้นทันที เพราะการนำเสนอของแต่ละคนมันชวนให้ตามไปอ่าน
นอกจากนี้ก็มีตัวอย่างเช่นปลายปีก่อนที่ Amazon Japan จับมือกับ Nogizaka46 วงไอดอลดัง ให้สมาชิกหลัก 10 คนของวง เลือกหนังสือที่ตัวเองชอบพร้อมเหตุผล พร้อมลิงก์กดสั่งหนังสือ มีหรือครับที่แฟนบอยจะพลาด ผมเองก็กดสั่งไปเหมือนกัน (ลูกแกะที่ดี) แต่นั่นมันก็คือการโปรโมตนอกร้าน แต่การเอาคนดังมาโปรโมตหนังสือก็ไม่ได้มีแต่นอกร้านแบบนี้หรอกครับ เวลาเราเดินเข้าร้านหนังสือก็เจอได้เหมือนกัน
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวงการหนังสือญี่ปุ่น คือมี ‘Obi’ โอบิ หรือจะเรียกว่า Belt หรือสายคาดหนังสือ ที่เป็นแถบคาดไว้ที่ปกหนังสือ เขียนแนะนำหนังสือเล่มนั้นๆ
คนที่เลือกหนังสือในร้านหนังสือจะได้เข้าใจว่าหนังสือเกี่ยวกับอะไร โดยไม่ต้องไปลำบากใส่ไว้ในตัวปก จะได้รักษาความงามของการดีไซน์ปกด้วย บางทีก็ดึงเอาวลีเด่นจากเรื่องมาใส่ บางทีก็ใส่ยอดขาย แต่อีกแนวทางที่เป็นที่นิยมก็คือ การเอาคนดังๆ มาแนะนำหนังสือเล่มนั้นๆ แนวทางคล้ายๆ โปรโมตโปสเตอร์หนังนั่นล่ะครับ และที่ตอบทีปกรไปตอนนั้นก็คือ เจอหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่โอบิมีคำนิยมโดย Watanabe Mayu หรือ Mayuyu ตัวท็อปของวงไอดอลดัง AKB48 มาแนะนำนั่นเอง ได้คนดังแบบนี้มาแนะนำก็ช่วยให้แฟนคลับมาสนใจหนังสือเล่มนั้นอีกด้วย เธออ่าน เธอว่าดี เราก็ว่าดี ก็ซื้อสิ จะเหลืออะไรล่ะครับ
แต่ดูเหมือนว่า การคาดโอบิคนดังจะไม่พออีกต่อไปแล้ว ปีนี้ ทางสำนักพิมพ์โคดันฉะ ต้องการฉลองครบรอบ 46 ปี ก็เกิดไอเดียบรรเจิด ไม่ต้องเอาไอดอลมาลงโอบิแล้ว… นี่ เอามาลงปกเลย ผลก็ออกมาเป็นโปรเจกต์ Nogizaka Bunko ที่ทางสำนักพิมพ์ทำปกห่อนิยายวางขายในขนาด Bunko หรือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คเพิ่มขึ้นอีกชั้น เป็นปกรูปของสมาชิกวง Nogizaka46 ทั้ง 46 คน (จำนวนสมาชิกในตอนนั้น) เป็นการเล่นกับตัวเลข 46 อย่างเต็มรูปแบบ
46 ปกที่ว่า ก็จะกระจายเป็นปกใหม่ของนิยายแต่ละเรื่องแยกกันไปเลย ทุกปกก็จะเป็นรูปของสมาชิกของวงถือนิยายเล่มนั้นๆ อยู่ในมือ เป็นปกใหม่ที่มาห่อเพิ่มปกเดิมอีกชั้น และพับในของปกก็จะมีรูปสมาชิกอีกรูปพร้อมเส้นนำให้ตัด เพื่อจะได้ตัดออกมาเป็นที่คั่นหนังสืออีก พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นกิมมิกสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่มีอยู่แล้วนั่นเองครับ (อารมณ์แบบพี่เบิร์ดครบล้านตลับ เปลี่ยนปก แถมเพิ่มอีกเพลง …ว้าย แก่จังเรา) แล้วในเว็บก็มีรายชื่อให้ดูว่า เมมเบอร์คนไหน ได้ลงปกเล่มไหน พร้อมภาพตัวอย่างปก รักใครชอบใครโอชิใครก็ไปได้ตามสะดวก
ตอนออกมาทีแรก ผมก็คิดว่า อืม ก็น่าสนใจดีนะ คงจะทำให้ยอดขายเพิ่ม และคนที่ไม่ได้เป็นนักอ่านก็สนใจจะซื้อหนังสือกันบ้าง ส่วนจะอ่านหรือไม่ก็คงแล้วแต่ แต่ไหนๆ ซื้อไปแล้ว ก็คงอยากจะอ่านบ้างล่ะครับ (อันนี้มันไม่เหมือนโครงการของ Amazon ที่ตัวไอดอลแนะนำหนังสือเลย ทำให้มีความผูกพันธ์มากกว่า) พอดีไปญี่ปุ่นช่วงนั้นก็กะว่าจะลองๆ หาดูซะหน่อย คงไม่ลำบาก
แต่ความเป็นจริงน่ะเหรอครับ พอไปถึงโตเกียวแล้วเดินร้านหนังสือใหญ่ๆ ที่เดินประจำ อย่างเช่น Tsutaya สาขาชิบุยะ ที่มีสแตนด์รูปหนึ่งในเมมเบอร์ตั้งอยู่ก็พบว่า เล่มที่มีปกเป็นเมมเบอร์ตัวท็อปๆ ของวง ขายหมดเกลี้ยง โดยระหว่างที่ผมยืนหาอยู่ ก็มีเด็กวัยรุ่นญี่ปุ่นทั้งชายหญิงเดินมาไล่หาเหมือนกัน กลายเป็นว่าท่าทางจะเป็นภารกิจที่ยากซะแล้ว เพราะเล่มที่ผมอยากซื้อ (จริงๆ คือหม่อมเมียอยากซื้อเพราะเป็นโอชิหม่อมเมีย) ดันเป็นเล่มของเมมเบอร์ตัวท็อป เดินร้านไหนในโตเกียวก็ไม่เจอ จนสุดท้ายไปเจอเอาที่ Kinokuniya สาขาชินจุกุ ที่เหมือนเป็นร้านเปิดตัวเพราะเขาไปถ่ายคลิปข่าวกันที่นี่ มีสแตนด์พร้อมลายเซ็นเมมเบอร์อีก ผมเลยรีบไปหยิบมาสองเล่ม เพราะมิตรสหายท่านหนึ่งฝากซื้อเล่มเดียวกัน กลายเป็นว่า พอจะจ่ายเงิน พนักงานบอก ซื้อซ้ำไม่ได้ครับ ขายได้เล่มเดียวเท่านั้น ผมเลยต้องอ้อนวอนขอว่า พรุ่งนี้จะกลับไทยแล้วจ้า พนักงานเลยยอมแยกบิลให้ (ก่อนจะมาพบทีหลังว่าสาขาไทยก็เอามาขาย…) ก็เล่นเอาสงสัยว่าทำไมต้องจำกัดจำนวนซื้อ พอเช็กตามทวิตเตอร์ถึงพบว่า มีคนเอาเล่มที่หายากๆ ไปปล่อยขายในเน็ตในราคาเท่าตัวครับ โหดจริงๆ ตลาดนี้
พอกลับมาไทยค่อยมาเห็นเว็บวงการหนังสือเขาสรุปผลงานยอดขายในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ว่าแต่ละเล่มยอดขายเป็นอย่างไร ก็แน่นอนว่าเล่มที่ได้เมมเบอร์ตัวท็อปมาขึ้นปกก็ทำยอดได้สูงมาก แต่ส่วนหนึ่ง เล่มที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วก็จัดว่าได้เปรียบเช่นกัน เขาเลยจัดอันดับด้วยการเทียบกับยอดขายเดือนก่อน ว่าเล่มไหนมียอดพุ่งขึ้นมาเป็นเปอร์เซนต์สูงสุด
ผลที่ออกมาอันดับหนึ่งคือ Hoshi ni Onegai wo ที่มี Nishino Nanase เมมเบอร์ที่เคยยืนเซนเตอร์หลายต่อหลายครั้ง และยังเป็นนางแบบประจำนิตยสารด้วย ทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนได้ถึง 137,250% เลยทีเดียว
ครับ 137,250% ต่อให้เดือนก่อนขายได้เล่มเดียว เดือนนี้ก็ขายได้ 137,250 เล่มครับ เอาจริงๆ นี่ยังไม่มีรายการว่ายอดขายรวมเป็นเท่าไหร่ แต่แค่คิดก็ทึ่งแล้วล่ะครับ ยอดพุ่งได้ขนาดนี้ สำนักพิมพ์ก็มีแต่ยิ้ม แถมเมื่อดูองค์รวมทั้งหมด ยอดขายหนังสือทั้ง 46 เล่มเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ก็พุ่งขึ้น 990% เลยทีเดียว ไม่ต้องจัดบุ๊กแฟร์ล่ะครับ มาจัดแฟร์แบบนี้ดีกว่า โอ่ย อิจฉา
บางทีอาจจะดูตลกๆ หน่อย ที่เอาไอดอลมาขึ้นปกหนังสือเพื่อเพิ่มยอดขาย แถมบางทีก็ไม่แน่ใจว่าเขาเลือกหนังสืออย่างไร เลยมีเรื่องตลกๆ หน่อยเช่น Matsumura Sayuri ที่ยิ้มหวานขึ้นปกหนังสือ Coin Locker Babies ของ Murakami Ryu ที่จัดว่าเป็นนิยายดาร์กๆ หลอนๆ หรือปกของ Sakaguchi Tamami ก็เป็นหนังสือที่ชื่อแปลไทยได้ว่า ‘ฉันกลายเป็นยายป้าที่ใสซื่อไปแล้ว’ เหมือนแกล้งน้องเขานะครับ ส่วนเมมเบอร์ที่อายุน้อยสุดในวงอย่าง Iwamoto Renka ก็ได้ขึ้นปกหนังสือชื่อ Children อืม ก็เข้าใจเล่นกิมมิกกันดี
ในฐานะที่เป็นคนที่อยู่ในวงการหนังสือเหมือนกัน การได้เห็นยอดขายหนังสือพุ่งแบบนี้ก็ได้แต่อิจฉากึ่งทึ่งล่ะครับว่าเขาเข้าใจหาไอเดียมาจริงๆ แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกระตุ้นให้คนซื้อหนังสือได้ และจากนี้ก็คงได้นักอ่านหน้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยเป็นผลพลอยได้อีกที ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ
ถ้าผมเป็นนักเขียนเจ้าของนิยายหนึ่งใน 46 คน คงอาจจะยิ้มร่าเพราะได้ค่าลิขสิทธิ์พิมพ์เพิ่มแบบไม่ต้องทำอะไร กลายเป็น passive income ที่ดี แต่คงแอบอิจฉาคนที่ได้เมมเบอร์ตัวท็อปไปขึ้นปกล่ะครับ อยู่ดีๆ ก็มีเงินตู้มเข้าบัญชีแบบนี้ ว่าแต่ เอาจริงๆ แล้ว ตัวนักเขียนเขาจะรู้สึกแปลกๆ รึเปล่านะครับ ที่ยอดขายเพิ่มได้เพราะกลายเป็นของพรีเมี่ยมสำหรับคนที่ชอบไอดอลไปแทน
อ้างอิงข้อมูลจาก
kodanshabunko.com/nogizaka-bunko/index.html
matome.naver.jp/odai/2150962618929674901?page=2