บางอย่างพ่อแม่บอกยังไม่ทำเลย ทำไมไอดอลทำให้ดูถึงได้ผลทันที?
ชวนล้างจมูก ชวนดื่มนม ยึดเอาคำพูดไอดอลมาเป็นสิ่งช่วยดำเนินชีวิต หรือกำลังใจในการผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและอีกหลากหลายเรื่องทำให้เราแต่ละคนเองก็สงสัยว่าไม่ว่าจะในวัยไหน ไอดอลที่เราติดตามในช่วงวัยนั้นๆ ถึงได้มีผลกระทบและอิทธิพลต่อชีวิตเรามากเท่าที่เป็น บางครั้งมากยิ่งกว่าคนรู้จักกันเช่นเพื่อนหรือพ่อแม่โดยที่เราไม่ได้รู้จักกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ
หากให้ลองนึกถึงศิลปินคนโปรดทั้งในไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออก สตรีมเมอร์ที่เราชอบดู ยูทูบเบอร์ที่เราติดตาม ในขณะที่เราสามารถเห็นได้จากจำนวนผู้ติดตามของเขาว่ามีมากมายขนาดไหน ความรู้สึกที่พวกเขามอบให้เรานั้นแตกต่างจากการติดตามดารา แต่เป็นเหมือนการติดตามเพื่อนสักคนมากกว่า
ความเป็นดาราในที่นี้คือความรู้สึกว่าคนคนหนึ่งไม่อาจเป็นที่จับต้องได้ ไลฟ์สไตล์ของพวกเขาแตกต่างออกไปจากเราอย่างมาก ไม่ว่าจะส่วนไหนของชีวิตก็ดูสมบูรณ์แบบไปเสียหมด จนหลายๆ ครั้งเราอาจมองเขาเป็นมากกว่ามนุษย์แบบที่เรารู้จักกันเสียด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม เมื่อเรามองไปยังเหล่าคนมีชื่อเสียงรุ่นใหม่หลายๆ คน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่และสายไหน เรากลับรู้สึกว่าเขากับเราใกล้กันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งวิธีการพูดจา การวางตัวบนโซเชียลมีเดีย เรื่องราวที่เขาพูด และอีกมากมาย อะไรกันทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้?
เราเรียกความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นนี้ว่า Parasocial Relationships หรือปฏิสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม นั่นคือความสัมพันธ์ที่เกิดจากความรู้สึกผูกพันข้างเดียวโดยอีกข้างไม่รู้ว่าเรามีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ โดยความสัมพันธ์รูปแบบนี้พบได้ตั้งแต่ในสเกลของอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย ไปจนไอดอลจากประเทศต่างๆ ที่ห่างไกลจากเรามากๆ แต่ก็ยังทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเป็นเพื่อนและมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังรูปภาพ วิดีโอ และตัวอักษรที่พวกเขาเขียนและเผยแพร่ให้เราเห็น
ซึ่งในขณะที่อาจเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ บ่อยครั้งโดยเฉพาะในยุคทองของอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียความสัมพันธ์รูปแบบนี้โดนปั้นขึ้นมาสำหรับเรา สมมติว่าเราตามศิลปินหนึ่งคน เมื่อก่อนเราอาจจะฟังแค่เพลงของเขา มากสุดคือไปดูคอนเสิร์ต แต่ในปัจจุบันนอกจากเพลงของพวกเขา เราติดตามว่าวันนี้เขากินอะไร วันนี้ไปเที่ยวไหน เราอาจะเห็นการบ่นเกี่ยวกับความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน ภาพที่เขาเมาหลับอยู่บน และความใกล้ชิดอีกมากมายที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ได้ห่างจากมนุษย์ที่เรารู้จักขนาดนั้นหรอก
บางครั้งก็อาจจะมาจากแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้ด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแอปเช่น Bubble ที่เป็นแอปฯ แชตที่ศิลปินสามารถส่งข้อความและรูปลงในห้องแชตส่งไปยังแฟนคลับนับล้าน ผู้ที่สามารถส่งข้อความกลับไปหาศิลปินได้ โดยศิลปินคนนั้นก็สามารถเห็นข้อความของแฟนคลับได้ด้วย เมื่อเราบอกว่ามันไม่ไกลเกินเอื้อม การมีอยู่ของแอปฯ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้คุยกับศิลปินนี่แหละคือไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแท้จริง
การมีมุมมองต่อดาราและศิลปินว่าเป็นมนุษย์มากกว่าเทพเจ้าที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่แย่ แต่การจะบอกว่าการมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคนมีชื่อเสียงสักคนไม่เปิดช่องทางให้เกิดการชักจูงเราในฐานะมนุษย์ผู้ต้องการหากลุ่มก้อนของตัวเองเป็นสัญชาตญาณนั้นคงเป็นเรื่องโกหก
โดยพื้นฐานแล้ว เราในฐานะสัตว์สังคมจะมีการสร้างกลุ่มก้อนของคนที่คล้ายๆ กับเรา และนั่นคือสิ่งที่ไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์ต้องสร้าง กลุ่มก้อนของแฟนคลับที่เชื่อและติดตามพวกเขา มีกฎที่อาจจะหรืออาจจะไม่ถูกเขียน ธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะกลุ่ม และการทำพฤติกรรมที่คล้ายๆ กันกับหัวหน้ากลุ่มก้อนเพื่อให้เราและเขาใกล้กันมากขึ้น
ในขณะที่การกระทำรูปแบบนั้นๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีพิษภัยอะไร ความต้องการเป็นอันหนึ่งอันเดียวอาจตีกลับไปเป็นการสร้างความแปลกแยกให้กับคนที่ไม่ได้เป็นไปตามระเบียบวิธีที่คนอื่นเขาทำกันได้ด้วย เราจะโดนมองยังไงถ้าไม่รู้จักแฟนชานต์? ไปคอนเสิร์ตไม่มีบงได้รึเปล่า? ไปไม่ครบทุกคอนเสิร์ตที่เมนไปจะโดนมองว่าเป็นแฟนไม่แท้รึเปล่า? และในสมการของความกลัวความแปลกแยกนั้นใครสักคนได้ผลประโยชน์ แต่ไม่ใช่คนที่โดนทำให้แปลกแยกแน่ๆ
ลองเอาตัวเองไปใส่รองเท้าของเด็กคนหนึ่งที่กำลังตามหาตัวตนของตัวเองหรือกลุ่มก้อนที่ตัวเองจะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้ การที่โดนอิทธิพลเช่นนี้สามารถพาให้เราเข้าร่วมกับกลุ่มก้อนที่ติดตามใครสักคนได้ง่ายๆ แล้วปฏิบัติตามไอดอลของพวกเขาได้อย่างง่ายยิ่งกว่าคนที่มีอายุมากขึ้นมาและสร้างตัวตนของพวกเขามาแล้วได้มากๆ
ในงานวิจัย What Is Influencer Marketing and How Does It Target Children? A Review and Direction for Future Research โดยมหาวิทยาลัยเกนต์ ประเทศเบลเยี่ยม และมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา พบว่ากลุ่มตัวอย่างเด็กที่พวกเขาทดลองด้วยมองว่าอินฟลูเอนเซอร์นั้นเป็นเหมือนเพื่อนใกล้ตัวที่ได้รับการยอมรับและจะได้รับความเชื่อถือจากพวกเขาเนื่องจากภาพความ ‘เรียล’ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมา นั่นบวกกับความยังไม่แข็งแรงในทักษาะการแยกแยะว่าโฆษณาไหนเชื่อถือได้ไม่ได้ทำให้พวกเขามักเป็นเป้าหมายหลักของผู้มีอิทธิพลเหล่านี้
และธรรมชาติของเราการติดตามใครสักคนเป็นไอดอลมักแปลว่าเราต้องชอบเขามากๆ อยู่แล้ว ซึ่งในขณะที่เราต้องการจะบอกว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลมากกว่าสัตว์อื่นทั่วโลก บ่อยครั้งเราก็มองการกระทำและตัวตนของคนที่เรารักชอบผ่านตัวกรองอะไรบางอย่างเสมอ และตัวกรองนั้นๆ มักเกิดขึ้นจากการตัดสินอะไรบางอย่างจากพฤติกรรมและลักษณะที่เรารู้จักพวกเขาก่อนหน้า และนั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า halo effect
สมมติว่าเราโดนตกโดยไอดอลสักคนจากตัวตนที่เขาแสดงออก ตัวตนที่เรามองเขาว่าคนคนนี้ ‘เป็นลูก’ ของเรา นั่นมักเป็นฟิลเตอร์ halo effect ที่เราจะมองทุกอย่างผ่าน “ไม่เคยชอบลิปสติกยี่ห้อนี้เลย แต่ลูกฉันเป็นพรีเซนเตอร์อะ ต้องมีแล้วมั้ย?” “ไม่ชอบระบบการทำงานของค่ายเพลงเลย แต่ลูกอวยค่ายก็ขอปิดตาข้างหนึ่งไปแล้วกัน” “ลูกของฉันเป็นคนดีเสมอ” เรียกง่ายๆ ว่าอะไรก็ตามที่เรารู้สึกลบหรือกลางๆ ถ้ามีฟิลเตอร์ขึ้นมาเราก็อวยให้ดีได้
ซึ่งในทางที่ดีมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กๆ หลายคนยอมล้างจมูกจากที่พวกเขาไม่เคยยอมทำเลย แต่บางครั้งมันก็อาจข้ามเส้นไปได้เช่นเดียวกัน หากมองไปยังเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครัวเรือน ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาเกี่ยวข้องกับทัศนคติที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ฯลฯ ที่เกิดจากคนที่มีแฟนคลับของตัวเอง บ่อยครั้งฟิลเตอร์และ halo effect สามารถพาให้คนกลุ่มหนึ่งๆ ปกป้องไอดอลของเขาโดยไม่คำนึงถึงความเชื่อ หลักการ และหลักฐานเลยก็เป็นได้
ในโลกปัจจุบันการแยกโซเชียลมีเดียออกจากคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากขึ้นทุกวัน และทุกการเลื่อนหน้าจอของเราเต็มไปด้วยอิทธิพลของคนมากมายในโลกที่ใกล้และไกลตัวเรา โลกเต็มไปด้วยอิทธิพลที่จะส่งผลบวกและลบกับเราโดยที่เราไม่อาจรู้ได้ว่าอันไหนเป็นอันไหน ทั้งในทางจิตใจ กาย หรือแม้แต่แนวคิด และปริมาณคอนเทนต์ที่ไหลเข้ามาให้เราเห็นต่อวันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกรองมันทั้งหมด และยิ่งเป็นเด็กใครจะรู้ว่าต่อวันเขาเจออะไรบ้างที่เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ?
และในเมื่อบ่อยครั้งมันเป็นความสุข หรือความเคยชิน สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้สำหรับเราหรือลูกๆ ของเราคือการสร้างความรับรู้เกี่ยวกับไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการที่พวกเขาใช้อิทธิพล ลองถอยออกมาจากฟิลเตอร์สักก้าวแล้วจับตาดูว่าอิทธิพลไหนดีหรือไม่ดี
และสร้างระยะห่างที่พอเหมาะพอควรระหว่างเราและเขาเพื่อชีวิตในโลกออนไลน์ที่ปลอดภัยขึ้น ทั้งของไอดอลและของผู้ติดตาม
อ้างอิงข้อมูลจาก