“ผมอึ้งที่จะพูดว่า AI นี้เก่งมากกว่าหมอหลายคนที่ผมเคยพบมา”
ChatGPT มีประเด็นให้เราทึ่งอีกแล้ว เมื่อ ChatGPT เวอร์ชั่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถทำข้อสอบเพื่อขอใบอนุญาตทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาผ่านฉลุย และยังวินิจฉัยอาการคนไข้ได้ในไม่กี่วินาที
ไอแซค โคเฮน (Isaac Kohane) นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ฮาร์วาร์ด และแพทย์ ได้ร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนเพื่อทดสอบไดรฟ์ GPT-4 โดยมีเป้าหมายเพื่อดูว่าโมเดลปัญญาประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดจาก OpenAI ทำงานอย่างไรในสภาพแวดล้อมทางการแพทย์
“GPT-4 สามารถวินิจฉัยสภาวะหรือโรคที่หายากได้เช่นเดียวกับที่ผมทำได้ อย่างไรก็ตาม GPT-4 ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ แต่ผมก็ยังอึ้งที่จะพูดว่า AI นี้มีความสามารถมากกว่าหมอหลายคนที่ผมเคยพบมา” โคเฮนกล่าว
อย่างไรก็ดี ทำให้ GPT-4 ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนั่นกลับกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างอีกแล้ว เพราะความสามารถทางการแพทย์ที่ค่อนข้างน่าทึ่ง เนื่องจากสามารถตอบคำถามในข้อสอบสำหรับขอใบอนุญาตทางการแพทย์ของสหรัฐฯ ถูกต้องมากกว่า 90% ซึ่งถือว่าเป็นเวอร์ชั่นที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ChatGPT รุ่นก่อนๆ
ยิ่งกว่านั้น GPT-4 ยังเป็นนักแปลที่ยอดเยี่ยม เพราะสามารถแปลข้อมูลของผู้ป่วยที่พูดภาษาโปรตุเกส ทั้งยังกลั่นกรองศัพท์ทางเทคนิคยากๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาสามารถอ่านเข้าใจได้
ไม่เพียงเท่านี้ โคเฮนยังระบุว่า ChatGPT เวอร์ชั่นนี้ยังสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่แพทย์ อย่างให้เคล็ดลับในการพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยภาษาที่ชัดเจนและเห็นอกเห็นใจ และยังสามารถอ่านรายงานหรือการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ที่มีความยาว แต่สามารถสรุปออกมาได้ในพริบตาเดียว
แต่ความสามารถทั้งหมดของมันยังจำกัดอยู่แค่รูปแบบ ‘การป้อนข้อมูล’ ให้โดยมนุษย์ ซึ่งมันยังไม่สามารถทำความเข้าใจหรือมีเจตนาด้วยตัวมันเองได้ทั้งหมด “ในขณะนี้ผมยังไม่รับประกันหรือรับรองได้ว่าคำแนะนำของ GPT-4 จะปลอดภัยจริงหรือได้ผลตามที่คาดหวังไว้” โคเฮนระบุ
ดังนั้น สมมุติว่าเราป้อนข้อมูลที่ผิดลงไปในระบบเกี่ยวกับคนไข้ ก็อาจส่งผลให้ GPT-4 จ่ายยาหรือวินิจฉัยโรคของคนไข้ผิดไปด้วย แต่ GPT-4 ยังถือว่ามีศักยภาพสูงอยู่ดี เพราะมันสามารถช่วยย่นเวลาและให้ข้อมูลอันมีค่าแก่แพทย์ในบางเรื่องได้ ทำให้แพทย์และพยาบาลมีเวลาอยู่ร่วมกับผู้ป่วยมากขึ้นแทนที่จะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อหาข้อมูลหรือกรอกข้อมูล เป็นต้น
“แต่เราต้องบังคับตัวเองให้จินตนาการถึงโลกที่มีเครื่องจักรที่ฉลาดขึ้นให้ได้ เพราะในที่สุดแล้วบางทีพวกมันอาจจะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ในเกือบทุกมิติ ดังนั้น เราต้องคิดอย่างหนักด้วยว่าเราจะอยู่กับโลกแบบนั้นอย่างไร ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ”
อ้างอิงจาก