อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือพระราชอารมณ์ขัน โดย วิลาศ มณีวัต โดยหนังสือเล่มนี้ ค้นคว้าและเรียบเรียงจากความทรงจำที่คุณวิลาศเป็นผู้รวบรวมขึ้น ซึ่งบางกระแสก็บอกว่า ฟังต่อๆ กันมาอีกที อาจมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง
1
ครั้งหนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ก็รับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า
“ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”
ต่อมาได้มีการปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางแพทย์ ก็รับสั่งว่า
“คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา”
ต่อมาอีกไม่นานได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า “คราวนี้เป็นหมอลำ”
2
ในอดีต มีอยู่ระยะหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสูบพระโอสถซิการ์
วันหนึ่ง เมื่อทรงหยิบซิการ์ออกมา ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะจุดให้ จึงกราบบังคมทูลว่า
“ขอถวายพระเพลิง”
ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า
“ยัง…ยังก่อน”
3
เรื่องพระราชอารมณ์ขันนี้ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่วิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้วมีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่น ว่า
“วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล”
ม.ล.ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้า เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อน เพื่อกราบบังคมทูล
แต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน เผื่อเหนียว… อธิการบดีของวิทยาลัยได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ม.ล.ปิ่น มาลากุล จึงกราบบังคลทูลเสียงดังว่า
“วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม”
ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่น ว่า
“ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรีจึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป”
4
มีอยู่คราวหนึ่ง มีพระราชกระแสรับสั่งกับราษฎรในชนบทกลุ่มหนึ่ง และมีผู้ชายอายุขนาดกลางคนผู้หนึ่งกราบบังคมทูลชี้แจงชัดถ้อยชัดคำ ใช้ศัพท์แสงอย่างสูงพอดู สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงรับสั่งถามเป็นทำนองว่า เคยเข้ารั้วเข้าวังที่ไหนอยู่หรือ จึงพูดจาใช้ราชาศัพท์คล่องแคล่ว?
ชายคนนั้นกราบบังคมทูลตอบว่า
“ขอเดชะ…พระบารมีปกเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมเคยเป็นตัวเอกลิเกมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ความลับแตกดังโพละออกมาเลย…ทำเอาขบวนตามเสด็จหัวเราะกันครืนไป
5.
บางครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวด้วยเช่นกัน
ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…หญิงผู้นั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน”
รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
อ้างอิงข้อมูลจาก
วิลาศ มณีวัต. (พิมพ์ครั้งแรกปี 2539). พระราชอารมณ์ขัน. กรุงเทพฯ : กรีน ปัญญาญาณ.