เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็บ่นว่าเงินทองนั้นหายาก แต่ที่ยากกว่าคือทำไงให้เงินทองที่มีอยู่สามารถงอกเงยค่าขึ้นมาได้ ดีกว่าปล่อยไว้อยู่ในธนาคารที่ดอกเบี้ยแสนต่ำไม่ต่างอะไรกับเอาเงินใส่ไหฝังดิน ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ผู้โชคดีมีเงินเลยต้องขวนขวายหาวิธีนำเงินที่มีไปลงทุนให้เกิดประโยชน์
บ้างก็ลงทุนด้วยการซื้อพันธบัตร บ้างก็ซื้อทอง บ้างก็ซื้อกองทุนและปล่อยให้มืออาชีพบริหาร แต่ก็มีอีกหลายๆ คนที่เลือกลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเล่นหุ้นหน้าเก่า ความยากของการเล่นหุ้นก็ตกไปอยู่ที่เรื่องทำยังไงให้เงินที่ลงทุนนั้นงอกเงยขึ้นมา ไม่กุดไม่แกร็นหรือตายเสียก่อน แต่สำหรับนักเล่นหน้าใหม่ ก่อนจะไปวุ่นวายเรื่องเล่นหุ้นยังไง อาจจะปวดหัวตั้งแต่ต้นว่า “เดี๋ยวนะ แล้วฉันต้องทำอะไรก่อนบ้างถึงจะเล่นหุ้นได้?”
ดังนั้น เพื่อไม่ให้งงและให้คุณรู้วิธีเปิดพอร์ตได้อย่างที่ตั้งใจ ทาง The MATTER ก็เลยสรุปมาเป็น “4 สเต็ปการเปิดบัญชีหุ้น” ให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ ตามนี้
เลือกโบรกเกอร์ที่ถูกโฉลก
คืองี้ การเล่นหุ้นที่เราพูดๆ กันเนี่ย มันจะมีตลาดกลางไว้ซื้อขายสิทธิ์การเป็นเจ้าของบริษัทที่แบ่งเป็นหุ้นๆ หรือที่เราเรียกว่า “ตลาดหุ้น” ซึ่งในไทยก็คือ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ในตลาดนี้ก็จะมีคนที่เป็นนายหน้า หรือโบรกเกอร์หลายๆ เจ้าเป็นคนกลางบริการในการซื้อขายหุ้น ดังนั้นใครก็ตามที่จะเล่นหุ้น ก็ต้องเลือกโบรกเกอร์ของตัวเองกันก่อน
ส่วนการเลือกโบรกเกอร์ว่าจะใช้เจ้าไหนเป็นดุลพินิจของแต่ละคน บางคนเลือกที่สะดวก เช่น เลือกเจ้าที่เป็นธนาคารที่ตัวเองทำบัญชีไว้และสะดวกไปทำธุรกรรมบ่อยๆ บางคนเลือกเพราะเพื่อนๆ ใช้กันหรือมีคนแนะนำ บางคนเลือกเพราะชอบบทวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์เจ้านั้นๆ หรือบางคนเลือกเพราะค่าคอมมิชชั่นเทรดถูก เช่น เลือก SBITO โบรกเกอร์ออนไลน์ ที่คิดค่าคอมถูกสุดในตลาด อยู่ที่ 0.075% (บัญชี Cash Balance) หรือเทรดหมื่นบาท จ่ายค่าคอมฯ 7.50 บาท
เลือกประเภทบัญชีให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเงิน
ถัดมา ก็มาดูว่าเราจะเลือกบัญชีหุ้นแบบไหนดี ซึ่งก็มีอยู่ 3 แบบ คือ 1. บัญชี Cash Balance 2. บัญชี Cash Account 3. บัญชี Credit Balance ถามว่าต่างกันยังไง?
อันแรกก่อน Cash Balance หรือชื่อเล่นว่า “บัญชีเติมเงิน” ง่ายๆ คือมีเงินแค่ไหนก็ซื้อได้แค่นั้น อารมณ์เดียวกับการเติมเงินในมือถือ คือเหลือเท่าไรก็ใช้ได้เท่านั้น ซึ่งบัญชีแบบนี้จะเหมาะกับคนที่งบน้อย หรืออยากค่อยๆ ลองเล่นไปก่อน ก็แนะนำให้เปิดบัญชีแบบนี้
ถัดมาคือ Cash Account บัญชีแบบนี้ทางโบรกเกอร์จะอนุมัติวงเงินให้เรายืมไปเทรดได้ก่อน(แป๊ปนึง) โดยที่เราต้องวางเงินประกัน 20% ยกตัวอย่าง วางเงิน 100,000 บาท เราสามารถเทรดได้ 500,000 บาท จากนั้นก็ต้องรีบหาเงินอีก 400,000 บาท ไปคืนเค้าภายใน 3 วันทำการ(ซื้อขายหุ้น) นะ ให้สรุปคือเราก็ต้องมีเงินพอจะซื้อหุ้นอยู่ดีนั่นแหละ เพียงแต่วันนั้นอาจยังมีไม่พอ ก็ยืดให้หน่อยมาอีก 3 วัน
และสุดท้ายก็คือ Credit Balance หรืออีกชื่อ “บัญชี Margin” อันนี้จะต่างจากอันที่สอง คือ นักลงทุนต้องการมีเงินซื้อหุ้นมากกว่าเงินที่ตัวเองมี ก็เลยใช้วิธีกู้เงินโบรกเกอร์ไปซื้อ แต่การจะกู้ได้นั้นก็ต้องวางเงินสดหรือหลักทรัพย์ไว้เป็นหลักประกันและจ่ายดอกเบี้ยให้โบรกเกอร์ นอกจากนี้ ไม่ใช่จะซื้อหุ้นได้ทุกตัวนะ เพราะบัญชีแบบนี้จะมีการจำกัดการซื้อหุ้นได้เป็นบางบริษัท และหุ้นบางบริษัท ก็จะคิดส่วนต่างเงินประกันหรือ Margin ต่างกัน เช่น 50% 60% 70% เป็นต้น
ทีนี้ทางโบรเกอร์เค้าก็จะคำนวณเรื่อยๆ ว่ามูลค่าหลักประกันที่วางไว้มันน้อยเกินจนเสียวไส้รึเปล่า ถ้าน้อยไป โบรกเกอร์ก็จะเรียกเราให้ไปหาเพื่อนำเงินหรือหลักทรัพย์มาเติมมูลค่าหลักประกันเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่าเพื่อคงสถานภาพทางบัญชี แต่ถ้าหามาเติมไม่ได้ โบรกเกอร์ก็จะบังคับให้ขายหุ้นมาเติมแทน
สำหรับคนที่เป็นมือใหม่หัดเทรดและยังไม่ต้องการความซับซ้อนไปมากกว่านี้ ก็จงเลือก Cash Balance หรือแบบมีแค่ไหนใช้ได้แค่นั้น ไปก่อนเถอะ เพราะมันง่ายสุดละ
ยื่นเอกสาร หรือไม่ก็ไปเซเว่น!!
ขั้นตอนนี้ไม่ซับซ้อนอะไร นอกจากเสียเวลาเล็กน้อย คือเอาตัวเองและนำเอกสารเกี่ยวกับชีวิต เช่น สำเนาบัตรประชาชน สมุดบัญชีหรือสำเนาบัญชีธนาคาร ไปที่บริษัทโบรเกอร์เพื่อทำธุระขอเปิดบัญชีหุ้น
แต่สำหรับ SBITO คนที่ต้องการเป็นลูกค้าไม่ต้องไปดั้นด้นถึงโบรกเกอร์นู่นหรอกนะ ไปแค่เซเว่นฯ ปากซอยหรือรอรับเอกสารทางไปรษณีย์ก็พอ ขั้นตอนง่ายๆ คือ เปิดคอมพ์เข้าไปที่เว็บไซต์ SBITO กรอกเอกสารออนไลน์ แล้วรอทาง SBITO ส่งเอกสารเปิดบัญชีมาให้ที่บ้าน หรือจะเลือกปริ้นท์เอกสารเองก็ได้ พร้อมกับแนบเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาหน้าสมุดบัญชี และ สำเนารับรองเงิน แล้วก็เอาเอกสารทั้งหมดนี้ไปส่งที่เซเว่นฯ หรือจดหมายธุรกิจตอบรับที่แนบไปให้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เหลือก็รอ SBITO อนุมัติประมาณ 3-5 วัน แค่นี้ก็มีพอร์ตเป็นของตัวเองแล้ว
มีพอร์ตแล้ว ก็ต้องมีเงินเล่นด้วยจิ!!
พอมีพอร์ต ตามหลักการก็นับว่าสามารถซื้อขายในตลาดหุ้นได้แล้ว เพียงแต่ความเป็นจริง มันก็ต้องมีเงินด้วยซิว่ะ!! ฉะนั้น ก็ต้องโอนเงินใส่พอร์ตของตัวเองก่อน วิธีการใส่เงินก็เช่น ทางโบรกเกอร์จะให้เลขที่บัญชีมา ทางเราก็มีหน้าที่โอนเงินไปที่บัญชีนั้น เพื่อให้มี ยอดเงินที่สามารถเทรดหุ้นได้ ซึ่งบางเจ้าก็ต้องใช้เวลาหน่อยเพื่อรอให้ยอดเงินเข้าพอร์ต หรือถ้าที่ SBITO ก็จะมีบริการตัดเงินบัญชีธนาคารอัตโนมัติหรือ ATS และมีบริการ Payment gateway ที่สามารถตัดเงินจากธนาคารปุ๊บ เงินเข้าพอร์ตปั๊ป เรียกว่า Real-time ทันใจสุดๆ
ส่วนวิธีดูว่าเงินเข้าพอร์ตแล้วหรือยัง ก็ดูได้ผ่านแอปพลิเคชั่นชื่อ “Streaming Pro” ของตลาดหลักทรัพย์ที่คนเล่นหุ้นใช้เทรดหุ้นกันผ่านมือถือ โดยในนั้น สำหรับลูกค้าที่ใช้โบรกเกอร์ SBITO ก็จะมีบริการวิเคราะห์หุ้นของ Fin-tech Startup ชื่อดังของไทย อย่าง JITTA(จิตตะ) แถมให้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 4 สเต็ปเบสิกในการเปิดพอร์ตเล่นหุ้น ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่ได้ยากหรอก เหมือนไปทำธุรกรรมที่ธนาคารยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ยากกว่าของจริง ก็คือสเต็ปต่อจากนี้คือตอนเล่นหุ้น ที่ต้องศึกษาและลองวิชากันเอง ดังเช่นวลีคลาสสิก “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน” เด้อ!!
สำหรับใครที่สนใจอยากเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ออนไลน์ลูกครึ่งญี่ปุ่น SBITO ที่คิดค่าคอมมิชชั่นถูกสุดในประเทศ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://www.sbito.co.th