พี่คะ หนูแอบสงสัยเหลือเกินค่ะ ว่าประเทศไทยเราอาจจะมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นปกคลุมอยู่ก็เป็นได้
คือแบบนี้นะคะ เมื่อคืนหนูก็สู้ อุตส่าห์มาส์กหน้า โบกครีมบำรุงจนใสเด้ง เต่งตึงเหมือนสมัยเป็นดาวมหา’ลัย ที่ผู้ชายวิศวะฯ ต้องมองจนเหลียวหลัง แต่เมื่อพักกลางวันที่ผ่านมา หนูแค่ซ้อนพี่วินไปซื้อชานมไข่มุกที่ปากซอยแค่ 10 นาที พอส่องกระจกอีกทีเท่านั้นแหละ นึกว่าตัวเองมองเห็นอนาคต!
แดดเมืองไทยมันมีผลกับหน้าหนูขนาดนี้เลยเหรอคะ แสนยานุภาพของแดดที่มีต่อผิวของเรามันไม่ใช่เรื่องแชร์ขำๆ ซะแล้ว ที่เขาว่าโดนแดดแค่ 10 นาทีหน้าแก่ไป 10 ปีเลย มันคือเรื่องจริง ตอนนี้หน้าหนูข้ามไทม์แมชชีนไปอีกสิบปี ทั้งหมองคล้ำ และยิ่งไปกว่านั้นดูแก่กว่าวัยด้วย ! เรียกว่าทำเอาหนูช้ำใจกับค่าคอลลาเจนที่อัดเข้าไปจริงๆ ค่ะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ แล้วพอจะมีวิธีอะไรที่ปกป้องใบหน้าหนูจากเหตุการณ์นี้ได้บ้าง หวังว่าพี่จะมีคำตอบดีๆ ให้หนูนะคะ ก่อนที่บอสคนใหม่ (ซึ่งแผนกข้างๆ แซ่บให้ฟังว่าหัวใจยังว่าง) จะมาเริ่มทำงานสัปดาห์หน้า
แอบร้าย แอบแรงกว่าเพื่อนร่วมงานตัวดี ก็ UV นี่แหละจ้ะ
เพลียกับเพื่อนร่วมงานแค่ไหน อย่างน้อยนอกเวลางานเราก็ยังหลบได้ แต่สำหรับผู้ร้ายตัวจริงอย่างเจ้ารังสีอัลตร้าไวโอเลต หรือที่เรารู้จักกันในชื่อสั้นๆ ว่ารังสี UV นั้นดูจะเป็นมหันตภัยตัวร้ายที่เรายากจะหลบ มันอาจไม่ได้รุมสกรัมผิวหน้าของเราในคราวเดียวเหมือนเพื่อนร่วมแผนกที่แอบแทงข้างหลัง แต่การสัมผัสมันต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้น กลับส่งผลเสียร้ายแรงต่อผิวหน้าของสาวๆ ผู้บอบบางอย่างเราเลยล่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราหลายคนต่างเผลอไผลลืมไปว่ารังสี UV ไม่ได้มีอยู่แค่เพียงในแสงแดดเท่านั้น หากแต่รายล้อมเราทุกทาง ทั้งจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือหลอดไฟบางจำพวก ซึ่งเรียกได้ว่าตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้านจวบจนเข้านอน มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราๆ ก็ใช้ชีวิตอยู่กับ UV ไปครึ่งค่อนวันแล้ว
เงินเดือนแต่ละเดือนหมดเร็วฉันใด หน้าที่โดน UV ก็ไปไวฉันนั้น
ความจริงแล้วรังสี UV นั้นมีประโยชน์อยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสม แต่ทว่าความจริงในชีวิตประจำวันทำให้เราต้องรับรังสี UV เข้าไปเกินความจำเป็น ผลกระทบที่ตามมาคือผิวหนังคล้ำเสียถาวร แต่ที่ร้ายกาจที่สุดคือ การทำให้สูญเสียคอลลาเจนในชั้นใต้ผิว ซึ่งทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ และผิวพรรณของเราดูแก่ก่อนวัยไปทุกวัน
เพราะชีวิตยังต้องไปต่อแบบสวยๆ แถมยังต้องเผชิญหน้ารังสี UV อยู่เสมอ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้แก่ผิวของเราได้
ไม่ใช่การฉีดโบ ร้อยไหม อัพโน่นเติมนี่ให้กับผิวหน้า แต่เป็นวิธีง่ายๆ ที่หลายคนมักมองข้ามไป นั่นก็คือการเลือกปกป้องผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดที่ช่วยเก็บรักษาความสาวบนผิวหน้าของเรา ไม่ให้แก่ไปก่อนวัย ปกป้องลึกล้ำถึงชั้นคอลลาเจน ซึ่งเราได้คัดสรรตัวยืนหนึ่งมาแล้วนั่นก็คือ
Biore UV Essence กันแดดเซฟคอลลาเจนหลอดนี้นี่เอง ทาทุกวัน ก็เดินได้อย่างเฉิดฉาย ไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดดแล้วนะเออ
หนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คน ผิวหน้าสวยสาวพิสูจน์กันแดด
สอนกันมาแต่เด็กว่าอย่าหลงเชื่อคำคนง่ายๆ เราจึงได้ไปงัดเอาผลพิสูจน์ที่ทดลองจริง โดนแดดจริงมาให้ดูก่อนตัดสินใจ
เราได้ทำการทดลอง โดยใช้แบบจำลองเสมือนร่างกายของเราที่มีผิวหนังชั้นนอกและชั้นหนังแท้ที่มีคอลลาเจน
นี่คือน้องคริสตันเจล (Babycrystal) ที่เราจะนำมาทดสอบประสิทธิภาพของการปกป้อง UVA นำมาเป็นตัวแทนของเม็ดคอลลาเจนได้ดี เพราะมีความยืดหยุ่นอวบอิ่มดึ๋งดั๋ง คล้ายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังของเรา
เราใส่น้องเจลไว้ในแก้วแล้วปิดด้วยฟิล์มใสและทากันแดดไว้ที่ด้านบน ก่อนจะแปะแผ่น Smart sun ที่ทากันแดดแล้ว ไว้ที่ก้นแก้ว เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการปกป้องได้ลึกจริง
เราเตรียมน้องเจลไว้สามแก้ว แก้วแรกมั่นหน้าไม่ได้ทาอะไรเลย แก้วที่สองทาด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดที่คัดสรรมาแล้วว่าคือหนึ่งในตัวท็อป แก้วที่สามทาด้วยผลิตภัณฑ์ยืนหนึ่งในใจเรา Biore UV Essence จากนั้นจึงพาน้องเจลทั้งสามแก้วไปอาบแดดชู้วี้ดูเป็นเวลา 8 ชั่วโมงเต็มและผลที่ได้ก็คือ ขนาดเม็ดเจลในแก้วที่ทาด้วยผลิตภัณฑ์ Biore UV Essence นั้นยังคงปริมาณเท่าเดิม ขณะที่อีกสองแก้วที่เหลือปริมาณน้องเจลลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ เผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่น สัญลักษณ์ของความแก่ที่ซ่อนอยู่!
กลับมาสังเกตการณ์ความเด้ง ความแข็งแรงของเม็ดเจล แก้วที่ทา Biore UV Essence นั้นยังคงเด้งดึ๋งแข็งแรงดี ต่างกับอีกสองแก้วที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าใจหาย คือเม็ดเจลเด้งได้ไม่ดี บีบแล้วแทบจะปริแตกกันเป็นเสี่ยงๆ
มาดูที่แผ่น Smart sun กันบ้าง พบว่าแผ่นที่รองก้นแก้ว Biore UV Essence นั้นไม่เปลี่ยนสี นั่นหมายความว่าครีมกันแดดของ Biore สามารถปกป้องได้ล้ำลึกจริงๆ แสงไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านฟิล์มใส และน้องเม็ดเจลมาทำร้าย Smart Sun ได้ ขณะที่อีกสองแก้วที่เหลือจะเห็นได้ว่าแผ่นเปลี่ยนสีมีสีชมพูเข้มขึ้นเพราะ UV สามารถผ่านมายังชั้นใต้สุดได้นั่นเอง
เป็นที่มาของข้อสรุปที่ว่า Biore UV Essence SPF50+ PA++++ ยืนหนึ่งในผู้ท้าชิงศึกเจ้าครีมกันแดดที่ทำผลงานได้น่าทึ่งสมกับตำแหน่งยืนหนึ่งที่เราอยากมอบให้ ไม่เสียแรงข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากญี่ปุ่นในฐานะนวัตกรรมกันแดดตัวท็อป เนื้อบางเบาแต่จัดเต็มเรื่องการปกป้องขั้นสุด ลึกถึงชั้นคอลลาเจน สามารถปกป้องรังสี ได้ครบทุกช่วงคลื่นทั้ง UVA 1, UVA 2 และ รังสี UVB ด้วยความเสถียรสูง และด้วย DHHB (Diethylamino Hydroxybenzoyl Hexyl Benzoate) ที่มักจะพบในกันแดดเคาท์เตอร์แบรนด์ที่ราคาสูงปรี๊ด แต่มีในกันแดด Biore ที่ราคาแสนจะสบายกระเป๋า! จะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA 1 ได้ดีมาก ซึ่งเป็นตัวการในการทำร้ายคอลลาเจนในชั้นผิวนั่นเอง
และยังช่วยส่งเสริมสารกันแดดตัวอื่นๆ ที่ปกป้องรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวคล้ำเสีย ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ท็อปอัพเรื่องกันน้ำกันเหงื่อ สร้างความมั่นทั้งใจทั้งหน้าได้เลยว่า ผิวของเราจะได้รับการปกป้องยิ่งกว่าไข่ในหิน
ส่วนเรื่องบิวตี้ก็ไม่มีให้ต้องพะวง เพราะมาพร้อมเนื้อเอสเซนส์บางเบาพิเศษ ไม่เหนอะหนะ ทาทับเมคอัพยังเริ่ด แบบที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ ผสานคุณค่าของการบํารุงด้วย Hyaluronic Acid, Royal Jelly Extract (สารสกัดนมผึ้ง) และ Mixed Citrus Essence ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งกร้าน ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ
ที่สำคัญยังผ่านการทดสอบการระคาย เคืองผิว (Allergy Tested) มาแล้วอีกด้วย
กว่าจะรักษาผิวหน้าให้สวยอ่อนวัย ย่อมมีอุปสรรคเสมอ เสี่ยงผิวหน้าโดนทำร้ายจนมีโอกาสแก่ล้ำไป 10 ปี เพราะเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าว่าให้ช้ำ ก็อย่าได้ปล่อยให้แสงแดดและรังสี UV มารังแกคุณซ้ำไปในชีวิตประจำวันอีก สร้างเกราะป้องกันด้วยการทากันแดด Biore UV Essence ไว้เลย แดดไหนๆ ก็พร้อมสู้ ไม่กลัวแก่ ไม่แคร์แดดกันไปได้อีกยาวนะสาวๆ