เมื่อถามว่า อยากให้คนเป็น ‘ผู้ว่าฯ กทม.’ แก้ปัญหาอะไร คำตอบทั่วๆ ไปมักเป็นเรื่องรถติด น้ำท่วม ขยะ ทางเท้า ฝุ่นพิษ พื้นที่สีเขียว ฯลฯ
จึงน่าสงสัยว่า เหตุใดหนึ่งในผู้ประกาศตัวว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งนี้ ถึงชูเรื่อง ‘สู้กับคอร์รัปชั่น’ มาเป็นจุดขาย-เป็นนโยบายหลัก ด้วยสโลแกน “พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพ”
‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) คือใครคนนั้น
แม้จะเพิ่งมาเล่นการเมือง ได้เป็น ส.ส.เพียงสมัยเดียว แต่จากลีลาการอภิปรายที่เป็นเอกลักษณ์ และการใช้โซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวประเด็นต่างๆ ทั้งปฏิบัติการไอโอ การศึกษา โควิด ฯลฯ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของจำนวนมาก และถูกพูดถึงบนหน้าสื่ออยู่บ่อยครั้ง
นับแต่ถูกเปิดตัวว่าเป็นแคนดิเดตของ ก.ก. ในวันที่ 23 ม.ค.2565 นโยบายหลักที่วิโรจน์ชูขึ้นมาหาเสียง คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างถอนรากถอนโคน แต่ก็ไม่ทิ้งปัญหาพื้นฐานอื่นๆ ทั้งขนส่งสาธารณะ การศึกษา และการจัดการทางเท้า ที่จะทำไปควบคู่กัน
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา The MATTER ลองไปตามการหาเสียงของวิโรจน์ ได้รับฟังวิธีคิดของตัวแทนจาก ก.ก.รายนี้ จึงอยากชวนมาอ่านกันว่า เขาจะปรับปรุง กทม.ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอย่างจริงๆ อย่างไรได้บ้าง

สโลแกนที่วิโรจน์ใช้ตอนเปิดตัว เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2565 คือ “พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพ”
จะแก้คอร์รัปชั่นในเมืองกรุงอย่างไร
เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2565 วิโรจน์ได้เปิดนโยบายแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นใน กทม. ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นอย่างปัญหาการโดนเก็บส่วยอย่างไม่เป็นธรรม ไปจนถึงปัญหาโครงสร้างภายใน โดยเน้นกลไกการตรวจสอบของประชาชนมาเป็นเครื่องมือช่วย
ซึ่งนโยบายเด่นๆ ได้แก่
1. แก้ส่วย-สินบน ‘สร้างแพล็ตฟอร์มร้องเรียนตรง’
ในงานแสดงวิสัยทัศน์ พรรคก้าวไกลได้เชิญตัวแทนจากเขตต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บส่วยมาแชร์ประสบการณ์ อาทิ ผู้ประกอบการเจอค่าตัดต้นไม้ต้นละ 4 หมื่นบาท, เจ้าของร้านอาหารโดนปรับค่าลิขสิทธิ์เพลงโดยไม่มีหลักฐาน, วินมอเตอร์ไซต์โดนเก็บค่าเสื้อ, แม่ค้าโดนเก็บค่าเช่าที่โดยที่ไม่ได้ขาย ฯลฯ
วิโรจน์เองมองว่า ความน่ากังวลของส่วยไม่ใช่แค่มันกำลังคุกคามประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่มันฝังรากลึกในสังคมจนกลายเป็นเรื่องทั่วไปที่ถูกพูดถึงโดยไม่เคอะเขิน ซึ่งจะแก้ปัญหานี้ได้นั้น ต้องมีกลไกการตรวจสอบที่เป็นศูนย์กลางของประชาชน มีการทำช่องทางหรือแพล็ตฟอร์มให้ประชาชนสามารถร้องเรียนผู้กระทำผิดโดยส่งข้อมูลถึงผู้ว่าฯ กทม. หรือคณะกรรมาธิการของสภาที่ทำหน้าที่นี้โดยตรง
และไม่ใช่แค่ต้องมีช่องทางการร้องทุกข์เท่านั้น กลไกการตรวจสอบในสเต็ปต่อไปก็ต้องทำอย่างมีแบบแผนและซื่อตรง ไม่โอนเอียงไปที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
2. รัฐซื้อของแพง แต่คุณภาพต่ำ – ‘ต้องเปิดเผยข้อมูล’
วิโรจน์บอกว่า หลายต่อหลายครั้งที่ กทม.หรือหน่วยงานต่างๆ ต้องเสียงบประมาณในการลงทุนโครงการใดโครงการหนึ่งในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกับโครงการสาธารณะที่ต้องการความคงทนและสามารถใช้งานได้ยืดยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดเหตุการณ์ลงทุนสูงแต่ได้ของคุณภาพต่ำ
ดังนั้น เขาเสนอว่าจะต้องมีกลไกที่เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างโปร่งใส และให้ภาคเอกชนหรือภาคประชาชนสามารถเข้ามาติดตามความคืบหน้าและเข้ามาส่วนร่วมร่วมในการตรวจสอบ
3. ‘ลดงบกลางในมือผู้ว่าฯ กทม.’ ให้กระจายลงพื้นที่ผ่าน ส.ก.
ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จาก ก.ก. ชี้ว่าในปี พ.ศ.2558 ผู้ว่าฯ กทม. มี ‘งบกลาง’ ที่สามารถใช้ได้ตาม ‘ดุลยพินิจ’ อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท แต่ในปี พ.ศ.2565 งบกลางพุ่งสูงถึง 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 เท่าในเวลา 8 ปี แล้วประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไรว่างบกลางส่วนนี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะการถือเงินจำนวนมากอาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดการคอร์รัปชั่น
เพื่อแก้ปัญหานี้ วิโรจน์จึงเสนอลดงบกลางผู้ว่าฯ กทม.ลง และจัดสรรเป็นงบที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ประชาชนจากทั้ง 50 เขตสามารถเสนอโครงการเข้ามาได้ โดยมีสมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.) เป็นตัวกลางในการร่วมพิจารณา ศึกษาและจัดอันดับความสำคัญ ซึ่งงบที่จัดสรรจะพิจารณาจากจำนวนประชากร ขนาดพื้นที่ และความต้องการที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเงินที่ได้จะถูกนำไปใช้ให้ตรงโจทย์ที่สุด
แนวทางนี้เป็นการเปลี่ยนงบกลางที่อยู่ในอุ้งมือของผู้ว่าฯ กทม. กระจายไปสู่งบของประชาชนคน กทม. ที่ทุกคนมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้เกิดการตรวจสอบระหว่างเขตขึ้นเอง ว่าพื้นที่ไหนเบิกงบไปใช้กับอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ นำมาสู่การถ่วงดุลความโปร่งใสระหว่างพื้นที่
“กทม. คือผู้คน ไม่ใช่แค่ทัศนียภาพ ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง การลงทุนหรือการใช้จ่ายใดๆ ของ กทม. ต้องเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การอยู่อาศัยที่ดีขึ้น ปากท้องที่ดีขึ้น สวัสดิการที่ดีขึ้น” วิโรจน์สรุป

หน้าเว็บไซต์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของวิโรจน์ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ พร้อมแฮชแท็ก #ถ้าผู้ว่าชื่อวิโรจน์ เพื่อบอกถึงนโยบายต่างๆ ที่จะทำ
ความโปร่งใส (และเทคโนโลยี) คือคำตอบ
“เจอ จ่าย จบ” คือคอนเซ็ปต์การทำงานของส่วย วิโรจน์มองว่า การให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐมีสิทธิ์แก้ปัญหา หรืออนุญาตใดๆ ก็ตาม ‘มากเกินไป’ เป็นการเปิดช่องว่างให้เกิดการคอร์รัปชั่นในทุกระดับ ตั้งแต่โครงสร้างภายในไปจนถึงโครงการภายนอก
ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหานี้ ทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ของพรรค ก.ก. จึงพัฒนาเว็บไซต์ซึ่งเป็นสื่อกลางให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ รวมถึงร้องเรียนประเด็นเดือดร้อน และให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นการใช้งบกับประมาณกับเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้กรุงเทพฯ เป็นรัฐบาลเปิด (open government) มากขึ้น
ตัวเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นมานี้จะเน้นระบบที่ไม่ซับซ้อน แต่เปิดเผยและโปร่งใส มีการแสดง dashboard ภาพรวมการทำงานของเขตต่างๆ ว่ามีความล่าช้า และปัญหามากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะสร้างมาตรฐานการทำงานที่ดีขึ้นได้
“กรุงเทพฯ ต้องฟื้นความเป็นรัฐบริการให้ได้ ความช้า การสร้างเงื่อนไข การตีกลับไปมาไม่ใช่รัฐบริการที่ดี มันขัดขวางการเจริญเติบโตปากท้องของเศรษฐกิจ” วิโรจน์กล่าว

ระบบติดตามโครงการต่างๆ ของ กทม. ของวิโรจน์และทีมพรรคก้าวไกล ซี่งอยู่ระหว่างพัฒนา และกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้
ผู้ว่าฯ คือลูกน้อง – คน กทม.เป็นเจ้านาย
แต่นอกจากนโยบายหลักชนกับปัญหาส่วยแล้ว วิโรจน์ยังตอบคำถามถึงนโยบายอื่นๆ ในการแก้ปัญหาของ กทม. เช่นระบบขนส่งสาธารณะ อย่างรถเมล์
โดยเขากล่าวถึงปัญหารถเมล์ใน กทม.ว่า เกิดจากมติ ครม. ในปี 2526 ที่ให้ ขสมก.เป็นผู้เดินรถ เอกชนใดอยากจะมาเดินรถร่วมจะต้องขอใบอนุญาตจาก ขสมก. แม้ต่อมา ในปี 2559 จะมีมติ ครม.ให้ยกเลิกส่วนนี้ไป ให้ไปขอใบอนุญาตตรงจากกรมการขนส่งทางบก ทำให้เห็นรถร่วมบริการมีมากขึ้น แต่เท่านี้ยังไม่พอ กทม.ต้องลงไปตรวจสอบว่ามีเส้นทางไหนที่ประชาชนต้องการใช้บริการแต่ไม่มีรถบ้าง เรียกว่าเส้นทางฟันหลอ อาจเพราะไม่มีเอกชนสนใจเนื่องจากเดินรถแล้วไม่ได้กำไร กทม.ก็ต้องทำหน้าที่เป็นไปจัดการเดินรถเอง ซึ่งจะช่วยเติมผู้ให้บริการไปยังระบบขนส่งสาธารณะแบบอื่นๆ อย่างรถไฟฟ้า ได้อีกด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว
วิโรจน์ยังกล่าวถึงนโยบายการศึกษาว่า กทม.เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท สามารถแบ่งงบส่วนนี้มาอุดหนุนการศึกษาในส่วนที่จำเป็น นอกจากนี้ ควรสร้างมาตรฐานการเรียนรู้ที่เป็นศูนย์กลางให้กับเด็ก ควรมีหลักสูตรเรียนออนไลน์ให้กับเด็กทุกคน ไม่ใช่แค่เด็กๆ ใน กทม. หรือสามารถดาวน์โหลดเอกสารไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมการเรียนก็สำคัญ นอกจากสุขอนามัย น้ำดื่มสะอาด เครื่องเล่นต่างๆ แข็งแรง ยังต้องให้ความสำคัญด้านจิตใจ โรงเรียนในสังกัด กทม.จะต้องปราศจากการกลั่นแกล้ง (bully-free school)
“โรงเรียนต้องเป็นมิตร เป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 เพื่อพัฒนาความรู้ไปพร้อมๆ กับพัฒนาอารมณ์และจิตใจ”
ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.รายนี้ ยังกล่าวถึงปัญหาอมตะอย่างเรื่อง ‘ผังเมือง’ ว่า ไม่ได้หมายถึงแค่การทาสีตีเส้น แต่คือการวางกติกาให้คนตัวเล็กตัวใหญ่ได้อยู่ร่วมกันในเมืองอย่างเป็นธรรม และได้ประโยชน์ทุกฝ่าย เช่น หากจะไล่ที่แม่ค้าที่ขายของริมทางเท้า กทม.ก็ควรจะจัดพื้นที่ค้าขายใหม่ให้แทน แล้วคิดต่อยอดไปถึงการทำระบบขนส่งสาธารณเพื่อดึงคนไปยังตลาดแห่งใหม่ ผู้ว่าฯ กทม.หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดกติกาที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ทอดทิ้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“ที่ผ่านมาเรามักเจอคำว่าจัดระเบียบ จนเรางงว่าใครเป็นเจ้าของ กทม. ตกลงเราเป็นแค่ผู้เช่าอยู่แล้วโดนจัดระเบียบ ถูกไหม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คน กทม. เป็นเจ้าของ กทม. ผู้ว่าฯ เป็นลูกน้องที่ต้องทำหน้าที่บริการและต้องรักษากติกาที่เจ้านายตกลงไว้ร่วมกัน” วิโรจน์กล่าว
นี่คือสรุปคร่าวๆ นโยบายของวิโรจน์ ผู้เสนอตัวให้คน กทม.เลือกไปเป็นผู้ว่าฯ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง