กลับมาอีกครั้งกับ Met Gala ประจำปี 2025 นับเป็นอีกปีที่เหล่าศิลปิน ดารา และคนดังทั่วโลก ขนเสื้อผ้ามาหลากลุคหลากสีสันมาประชันบนพรมแดง โดยปีนี้มาในธีม ‘Superfine: Tailoring Black Style’ กับการหยิบแฟชั่นสไตล์คนดำมานำเสนอในรูปแบบร่วมสมัย
ปัจจุบัน หลายคนก็อาจมองว่าเสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องแต่งกายสำหรับห่มคลุมปกปิดร่างกายของเรา หากแต่ในอดีตมันคืออีกหนึ่งเครื่องมือชิ้นสำคัญ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการกีดกันคนบางกลุ่มให้แตกต่างและแบ่งแยกจากคนอื่นๆ ในสังคม
แฟชั่นจึงเป็นอีกภาพสะท้อนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของผู้คน ‘Superfine: Tailoring Black Style’ ซึ่งว่าด้วยความสำคัญของสไตล์การแต่งตัวของคนดำในในโลกแอตแลนติก ผ่านการตีความแฟชั่นสไตล์ ‘Black Dandyism’ ทั้งหมดนี้จึงอาจไม่ใช่แค่ธีมการแต่งกายให้ผู้มาร่วมงานได้แต่งตาม แต่มันเป็นภาพสะท้อนประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกายสไตล์คนดำ ซึ่งมีอีกหลายเรื่องราวถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ผืนผ้าอันแสนประณีตเหล่านี้
Black Dandyism กับการลุกขึ้นต่อการกดขี่ของคนผิวดำ
อย่างที่ทราบกันถึงช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันขมขื่นของชาวแอฟริกา ที่ในช่วงราวๆ ศตวรรษที่ 17 ชาวแอฟริกันจำนวนหนึ่งถูกขนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสู่แผ่นดินอเมริกา เพื่อนำมาเป็นแรงงานทาสพวกเขาถูกแลกเปลี่ยนซื้อขายไม่ต่างอะไรกับข้าวของเครื่องใช้ แถมยังถูกกดขี่และบังคับให้ทำงานในไร่อย่างหามรุ่งหามค่ำ
ผ่านมา 2 ศตวรรษ การค้าทาสกลายเป็นอีกธุรกิจที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จำนวนทาสในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น จนสามารถเทียบเท่าได้กับประชากรคนขาวที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้ ซึ่งในปี 1860 ทางการสหรัฐฯ ได้บันทึกเอาไว้ว่า มีคนดำที่เป็นทาสเกือบ 4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด
ทว่าในยุคของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ยุคสมัยแห่งการค้าทาสก็ได้ถดถอยและสิ้นสุดลงจากการประกาศเลิกทาส แม้จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือการแบ่งแยกประเทศเป็นสองส่วน ท้ายสุดแล้ว เหล่าทาสผิวดำจำนวนมากก็ได้รับอิสรภาพ กลายเป็นพลเมืองอีกกลุ่มในสังคมอเมริกา
หากว่ากันด้วยเรื่องของเสื้อผ้าอาภรณ์ ในยุคที่คนดำยังคงถูกกดขี่ การจะได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ได้รับการตัดเย็บอย่างประณีตคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะได้ใส่เพียงเสื้อผ้าที่ทำมาจาก ผ้านิโกร (Negro Cloth) ซึ่งเป็นผ้าทอเนื้อหยาบๆ เสื้อผ้าดีที่สุดที่พวกเขาจะสามารถใส่ได้คือ เสื้อผ้าจากเศษผ้าเหลือๆ จากคนขาวผู้ว่าจ้างให้พวกเขาตัดเย็บเสื้อผ้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเลิกทาสสำเร็จ การได้ใส่เสื้อผ้าและแต่งกายเฉกเช่นคนขาวผู้เคยกดขี่พวกเขา อีกทั้งยังเป็นเหมือนการปลดแอกทางวัฒนธรรม ตลอดจนลุกขึ้นท้าทายอำนาจเดิมของสังคม แฟชั่นสไตล์ ‘Black Dandyism’ จึงถือกำเนิดขึ้นมา
แรกเริ่มเดิมทีคำว่า Dandy ถูกใช้เรียกแฟชั่นของชนชั้นสูง ซึ่งมักจะใส่เสื้อผ้าที่ได้รับการตัดเย็บอย่างประณีต เข้ารูปและเข้ากับสรีสระผู้ส่วมใส่ ในช่วงศตวรรษที่ 18 เหล่าชนชั้นสูงเกิดกระแสการนำทาสผิวดำมาแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้ารูปแบบเดียวกับตนเอง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อความสวยงามหรือการเปลี่ยนแปลงสถานะความเป็นทาส แต่เพื่อสะท้อนถึงฐานะความร่ำรวยของบรรดาเจ้าของทาส
ดังนั้นแล้ว เมื่อเหล่าทาสได้รับอิสรภาพ การได้หยิบเสื้อผ้าอันแสนประณีตของคนขาวมาใส่ จึงไม่ต่างอะไรกับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อทำให้บรรดาคนขาวได้เห็นว่าสถานะความเป็นคนของพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ต่างกัน Black Dandyism จึงถูกนำมาใช้เรียกสไตล์การแต่งตัวและเสื้อผ้าของคนดำ ที่ได้รับการตัดเย็บอย่างดีเทียบเท่ากับเสื้อผ้าคนขาว ไม่ว่าจะเป็น สูทเข้ารูป หมวกทรงสูง หรือรองเท้าหนังขัดเงา เป็นต้น
เมื่อเวลาผ่านไป Black Dandyism ก็ไม่ได้เป็นเพียงสไตล์การแต่งตัวอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนดำ
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการลุกขึ้นต่อสู้
และการทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนดำในอเมริกา
ก่อนที่ช่วง ปี 1900 คนผิวดำชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งได้มาอพยพย้ายมาตั้งถิ่นฐานกันที่ย่านฮาร์เล็มในรัฐนิวยอร์ก หลังจากนั้นก็ได้มีคนผิวดำอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางตอนใต้ อพยพมาอยู่ที่ย่านนี้ กลายเป็นชุมชนคนผิวดำแห่งแรกๆ ของสหรัฐฯ ราวๆ ทศวรรษที่ 1920-1930 เมื่อคนดำมาอยู่รวมกันมากขึ้น ก็ได้นำไปสู่การเริ่มฟื้นฟูวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ตลอดจนศิลปะของคนดำให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง จนยุคนี้ถูกเรียกว่า Harlem Renaissance จนเมืองฮาร์เล็มกลายเป็นจุดศูนย์กลางของวัฒนธรรมคนดำ ทั้งศิลปิน นักเขียน นักดนตรี และปัญญาชนจากทั่วอเมริกา
ในช่วงเวลาดังกล่าว เหล่าคนดำเริ่มมีการแต่งตัวอย่างมีสไตล์ สวมสูท ผูกไท ใช้ผ้าเนื้อหรูอย่างไหมหรือขนสัตว์ พร้อมหมวกฟีโดร่า และผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า โดยพวกเขาเลือกใช้สไตล์การแต่งตัวในลักษณะนี้ เพื่อแสดงออกถึงอัตลักษณ์และความเป็นคนดำ ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากสายตาของคนขาวอีกต่อไป
การมาถึงของยุค Harlem Renaissance จึงเป็นอีกแรงกระเพื่อมหนึ่งในสังคม ซึ่งกระตุ้นให้ผู้คนได้เห็นถึงพลังของการนิยามตัวตนใหม่ของเหล่าคนดำ ด้วยการใช้ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม ตลอดจนการแต่งกาย เป็นสื่อกลางในการประกาศถึงอัตลักษณ์ ความภาคภูมิใจ รวมถึงสิทธิในความเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ดังนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงของเครื่องแต่งกาย จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว แต่มันยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กับการก้าวไปสู่ยุคสมัยใหม่ของมนุษย์

cr.Dia Dipasupil/Getty Images
จาก Black Dandyism สู่ Met Gala 2025
พอมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนน่าจะเห็นภาพกันแล้วล่ะว่า จากธีม Superfine: Tailoring Black Style ของ Met Gala 2025 มันได้พาเราย้อนกลับไปเห็นถึงเรื่องราวการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของคนดำ ซึ่งถูกถักทอบนผืนผ้าที่เรียกว่าประวัติศาสตร์มาเป็นเวลากว่าร้อยปี
การนำ Black Dandyism กลับมาโลดแล่นบนพรมน้ำเงินและโลกแฟชั่นอีกครั้ง จึงไม่เพียงแค่ได้นำเสนอถึงเรื่องราวและประวัติศาสตร์อันแสนยาวนานของคนดำ แต่มันยังเป็นการคอยย้ำเตือนถึงช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดจากการถูกกดขี่ ตลอดจนการถูกแบ่งแยกและกีดกันในสังคมในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้การหยิบเอาแฟชั่นสไตล์คนดำมาเป็นธีมการแต่งกายหลักในงาน Met Gala ในปีนี้ ยังเป็นการยืนยันให้เห็นว่า เสื้อผ้าไม่ใช่เพียงเครื่องแต่งกาย แต่มันยังเป็นการยืนยันถึงการมีอยู่ของวัฒนธรรมและความเป็นคนดำ ซึ่งหมายถึงพลังอำนาจ ความเป็นอิสระ ตลอดจนความงดงาม ภายใต้สังคมและโลกที่ยังคงพยายามจำกัดการแสดงออกและแบ่งแยกคนดำอยู่
แน่นอนว่าเหล่าคนดังที่ก้าวเดินบนพรมแดงในปีนี้ ก็ล้วนตีความ Black Dandyism ออกมาในหลากหลายมิติ บางคนเลือกหยิบเอาโครงชุดสูทคลาสสิกมาตีความใหม่ให้ล้ำยุคยิ่งขึ้น อาทิ ริฮานน่า (Rihanna) นักร้องสาว มาในลุคสูทโทนสีขาวดำแบบโมโนโครมของ มาร์ค จาค็อบส์ โดยมีบอดี้สูทแบบเกาะอกด้านใน ระโปรงผ้าขนสัตว์ทรงเข้ารูปลายทาง และเนคไทผ้าซาตินลายจุด หรือเซนดาย่า (Zendaya) กับชุดสูทเข้ารูปสีขาวครีมและหมวกทรงปีกกว้าง แสดงถึงความคลาสสิก แต่ก็ยังร่วมสมัย ในสไตล์ของหลุยส์ วิตตอง
และอีกคนที่ไม่พูดถึงไปไม่ได้ กับ ไดอาน่า รอสส์ (Diana Ross) ศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้เป็นตำนานแห่งยุค 70 มาในชุดราตรีสีขาวสุดอลังการ ประดับประดาด้วยคริสตัลและลูกปัด พร้อมชายกระโปรงยาวกว่า 18 ฟุต ที่ปักชื่อลูกๆ และหลานๆ ของเธอเอาไว้ โดยอีวาน รอสส์ (Evan Ross) ผู้เป็นลูกชาย และ อูโก โมซี่ (Ugo Mozie) ดีไซเนอร์ชาวไนจีเรีย ได้ออกแบบและตัดเย็บอย่างประณีตตามคอนเซปต์หลักของงานปีนี้ แถมยังสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของไดอาน่า ตลอดจนวงศ์ตระกูลของเธออย่างภาคภูมิใจด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว เสื้อผ้าจึงไม่ใช่แค่ผืนผ้าสำหรับห่มคลุมร่างกาย แต่มันยังเป็นภาพสะท้อนทางวัฒนธรรม อันเป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราว ประวัติศาสตร์ การต่อสู้ รวมถึงความภาคภูมิใจ ของผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม ซึ่งอาจถูกมองข้ามไป
สุดท้ายแล้ว ในปัจจุบันคำว่าเสื้อผ้าของทุกคนคืออะไรกัน? แล้วมันยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับแบ่งแยกมนุษย์ด้วยกันเองอยู่หรือเปล่า?
อ้างอิงจาก