“สวัสดีค่ะ ฟรัง-นรีกุล เกตุประภากร นะคะ อายุ 27 ปี ยังไม่โตค่ะ”
น้ำเสียงน่ารักอารมณ์ดี พร้อมสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกล่าวทักทายผู้ชมรายการ 20 ยังจอย
หลังใช้ชีวิตในวงการบันเทิงมาร่วม 10 ปี ฟรัง นรีกุล ยังคงนิยามว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ที่ ‘หาทำ’ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
อย่างที่ทุกคนพอจะทราบ หมวกอีกใบของนักแสดงที่แจ้งเกิดจากบท ‘ออย’ ในซีรีส์ ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซัน 2 คือการเป็นแพทย์ ช่วงสอบเข้า เธอต้องเอาหนังสือเรียนไปอ่านในกองถ่าย ช่วงที่เรียนหมอ เธอขอทำยูทูบไปด้วย ขณะที่ปัจจุบันในวัย 27 เธอเริ่มต้นทำธุรกิจพร้อมกันถึง 3 ตัว ทั้งร้านตัดสูทอย่าง Ellis ร้านสมูทตี้ที่เพิ่งคว้ารางวัล ‘สุดยอดร้าน Celebrity’ จากงาน #GrabThumbsUp Awards 2025 อย่าง Mooood Fresh Bar และล่าสุด ONE SkinLabs สกินแคร์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความหลงใหลของยอดมนุษย์หาทำคนนี้
ฟรัง นรีกุลอาจดูเป็นคนสดใส เต็มไปด้วยพลังงานอันสว่างไสวของความเป็นเด็กอย่างที่เธอบอกตอนเริ่มรายการ เธอมองโลกในแง่บวก และพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้างอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ดี เธอยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหลากอารมณ์ความรู้สึก มีวันที่เหนื่อย ท้อ หมดไฟ ไม่โอเคเช่นเดียวกับเราทุกคน ความสำเร็จของฟรังที่เราเห็นไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์ชั่วข้ามคืน ทว่าเกิดจากการสั่งสม เรียนรู้ และเฝ้าคอยอย่างอดทนจนวันที่รอมาถึง
บทความนี้จะพาทุกคนย้อนดูเส้นทางชีวิตของฟรัง นรีกุล สำรวจแง่มุมที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มอันสดใส พร้อมหาคำตอบว่า ทำไมเธอจึงยังทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม…
ขอเชิญทุกคนร่วมรับฟัง ‘ใจของฟรัง’ ไปพร้อมกัน
01
ขอเริ่มแบบสบายๆ วัย 27 ของฟรังเป็นยังไงบ้าง
โดยรวมแฮปปี้ดีนะ ก็มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ ค่อยๆ เรียนรู้ไปในแต่ละเหตุการณ์ มีเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็รู้สึกว่า นี่แหละชีวิต ถ้าแฮปปี้อย่างเดียวอาจจะน่าเบื่อก็ได้ (ยิ้ม)
ฟรังในวันนี้แตกต่างจากฟรังในวันที่ก้าวเท้าเข้าสู่วัย 20 ยังไง
สิ่งที่เหมือนเดิม คือลึกๆ ยังมีความเป็นเด็ก ยังสดใส มองโลกในแง่ดี มองว่าตัวเองผิดพลาดได้ เอาใหม่ได้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองแก่เกินจะเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ยังสนุก ตื่นเต้น ทุกวันนี้ยังฟังเพลงดิสนีย์ (หัวเราะ) อินเนอร์เรายังเด็กเหมือนตอน 20 เลย ซึ่งเราก็ชอบความเหมือนเดิมนี้นะ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็มีเหมือนกัน พอได้เห็นโลกกว้างขึ้น เราเริ่มเข้าใจอะไรหลายอย่าง เข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น เข้าใจว่า บางอย่างอาจไม่ได้เป็นไปในแบบที่เราหวัง ถ้าเป็นตอนเด็ก เราอาจจะเสียใจมาก สอบตกทีเหมือนโลกทั้งใบแตกสลาย อกหักทีอาจจะร้องห่มร้องไห้ แต่ในวัยนี้ เราเข้าใจมากขึ้นว่า มันเป็นธรรมดาของชีวิต
แต่ก็ยังมองโลกในแง่ดีอยู่
โลกอาจจะไม่ได้สวยเท่าตอนเราเด็กๆ นะ เราก็เห็นข่าว เจอคนหลากหลาย หรือบางเรื่องเราก็เริ่มโดนเองกับตัว แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่คิดว่า มันคือเหตุผลที่เราต้องมองโลกในแง่ร้าย เรายังอยากเป็นความสว่างจุดหนึ่งให้กับโลกใบนี้ ถึงโลกภายนอกจะเครียด มืดมน มีแต่คนใจร้าย เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนเขานี่นา เราไม่จำเป็นต้องส่งต่อสิ่งไม่ดีที่เราโดน
ในวันที่โลกใจร้ายมากๆ ฟรังทำยังไงถึงเก็บรักษาความสดใสและการเป็นแสงสว่างเอาไว้ได้
จริงๆ ฟรังก็ไม่ได้สดใสตลอดเวลานะ มีช่วงเครียด ช่วงท้อเหมือนกัน แต่ฟรังพยายามหาจุดโฟกัส ทุกเรื่องมี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะสนใจด้านไหน สมมติอกหัก มุมหนึ่งก็อาจจะมองได้ว่า ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ฉันดีไม่พอเหรอ แต่อีกมุมก็อาจจะมองได้ว่า นี่คือโอกาสในการลองใช้ชีวิตแบบใหม่ๆ
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือการบอกตัวเองว่า เรามีคุณค่า และเรายังพัฒนาได้อีก
02
นอกจากชีวิตในวงการ อีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลต่อวัย 20 ของฟรังคือการเรียนหมอ เล่าความรู้สึกช่วงนั้นให้ฟังหน่อย
เรียนหมอหนักมาก (หัวเราะ) ท้อ หลายครั้งเรารู้สึกว่า ทำไมพยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้สักที ทำไมเก่งไม่เท่าเพื่อน ทำไมคะแนนยังไม่ดี นี่อ่านหนังสือเต็มที่แล้วนะ แต่สู้เขาไม่ได้ แต่อย่างที่บอก มันก็คือโอกาสในการพัฒนาตัวเอง
อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฟรังอยากเรียนหมอ
ตอนนั้นเราก็เป็นเด็ก ม.ปลาย ทั่วไป เรียนสายวิทย์ ยังไม่รู้จักตัวเองขนาดนั้น เพิ่งเริ่มค้นหาตัวเองจริงจังช่วง ม.5 ว่าเราอยากเป็นอะไร เราชอบชีวะ แถมอยู่ในสังคมที่เพื่อนๆ อยากเป็นหมอกันเยอะ และที่สำคัญ เราเป็นคนขี้สงสาร เวลาเห็นผู้สูงอายุ เราจะอยากดูแล และช่วงนั้นมีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยน เกิดระเบิดที่ราชประสงค์ วันนั้นเราอยู่พารากอน ตอนเห็นข่าวรู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เห็นคนเจ็บอยู่ริมถนน รถพยาบาลไม่เพียงพอ เรารู้สึกเศร้า อยากช่วย สงสารที่เขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ เหตุการณ์นั้นทำให้รู้สึกว่า เออ งั้นฉันเข้าหมอดีกว่า
ถามจริง เรียนหมอพร้อมกับเป็นนักแสดง ไหวได้ไง
เรากังวลแค่อย่างเดียว คือกังวลว่าจะสอบติดไหม เราอยากเป็นหมอก่อนได้เล่น ฮอร์โมน ความตั้งใจเดิมของเราไม่เคยเปลี่ยน แต่การต้องทำงานไปด้วยก็ยาก กล้าพูดว่าช่วงนั้นหนักที่สุดในชีวิต ไม่เคยขยันเท่านั้นมาก่อน และจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยขยันได้เท่านั้นอีกเลย (หัวเราะ) ช่วงนั้นถ้ามีเวลาว่างในกองถ่าย เราจะอ่านหนังสือ ทำโจทย์ เครียด กดดัน การสอบคือโลกทั้งใบ เราไม่มีแผนสำรอง ต้องสอบหมอให้ติดเท่านั้น
มีวันที่รู้สึกว่า ‘ฉันเหนื่อย ฉันไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว’ บ้างไหม
มีอยู่แล้ว ท้อเยอะมาก ร้องไห้เยอะมาก อ่านหนังสือไปร้องไห้ไปก็มี ตอนนั้นเรามีสมุดโน้ตเอาไว้เขียนกดดันตัวเอง ตำหนิตัวเองว่า ทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่ขยัน มองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่า ตอนนั้นเราเครียดเกินไป ไม่เห็นต้องกดดันขนาดนั้นเลย การสอบไม่ใช่โลกทั้งใบซะหน่อย
03
ความรู้สึกตอนรู้ว่าสอบติดเป็นยังไง
ดีใจ ดีใจมาก (ยิ้ม) วันที่รอมาถึงแล้ว มันเหมือนสิ่งที่เราพยายามมาทั้งหมด ความสงสัยที่ว่า ฉันจะทำได้จริงไหม เออ มันได้จริงๆ นี่ล่ะมั้งรางวัลของความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่เรารู้สึกว่า เราทำอะไรสักอย่างได้นะ เราทำได้จริงๆ นะ
หน้าตาความรู้สึกของการอยู่ได้ด้วยตัวเองเป็นยังไง
รู้สึกอิสระ (ยิ้ม) รู้ว่าไม่ว่าตัวเราจะอยู่ที่ไหน เราจะรอด เราไม่กลัว ชีวิตเราไม่ยึดติดกับอะไร เราเชื่อมั่นในตัวเองว่า เราอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลก หลังจากวัย 20 เป็นต้นมา เราได้เรียนรู้การเอาตัวรอด คิดว่าตัวเองพร้อมแล้วมั้งกับการใช้ชีวิต อยากทำอะไรก็ลอง
และรู้สึกไม่ต้องเป็นภาระของใครด้วยเนอะ
ใช่ๆ (พยักหน้า) แบบนั้นเลย โล่งใจและภูมิใจกับตัวเองมากๆ
ความสนุกในวัย 27 ของฟรัง-นรีกุลคืออะไร
เอาจริงทุกวัยสนุกได้นะ แต่ ณ วัยนี้สนุกกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เจอผู้คน ลองทำนั่นนี่ ช่วงนี้กำลังอินกับการทำธุรกิจ เพิ่งเริ่มมาได้ประมาณหนึ่งปี สนุกมาก เป็นสิ่งใหม่ในชีวิต เราอยากมีอะไรเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก อยากมีกิจการเล็กๆ
เล็กๆ ที่ว่า ต้องเริ่มพร้อมกัน 3 ธุรกิจเลยเหรอ
ที่จริงก็ไม่ควรนะ (หัวเราะ) ฟรังเริ่มต้นจากร้านสูท Ellis ก่อน ตอนนั้นอยากเริ่มทำอะไรสักอย่าง ซึ่งสูทก็เป็นสิ่งที่ได้ใช้บ่อย และเราพอจะรู้จักกับช่างอยู่บ้าง ส่วนสมูทตี้คือเพื่อนชวน เราชอบกินอยู่แล้ว ก็เลยลองดู แต่ ONE SkinLabs คือสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงมาตลอด เราไม่อยากทำธุรกิจที่เกี่ยวกับวิชาชีพ มันอาจจะเสี่ยงกับหน้าที่การงาน แต่ลึกๆ เราก็อยากทำ ทำให้พอพี่ๆ ที่มีวิสัยทัศน์ใกล้เคียงกันมาชวน เราเลยตัดสินใจลอง เพราะไม่รู้ว่า โอกาสแบบนี้จะเข้ามาอีกเมื่อไหร่ หลายคนบอก ‘ทำหลายอย่างพร้อมกันอาจจะไม่ดี’ แต่เราก็ ‘เอาวะ ลองดู!’ เดี๋ยวมาดูกันนะคะว่าจะเป็นยังไง รอดไม่รอด (ยิ้ม)
สิ่งที่ฟรังได้เรียนรู้ผ่านการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง
เยอะมาก เราเริ่มใหม่ทุกอย่าง ทำธุรกิจยากกว่าเป็นหมออีกนะ ตอนเป็นหมอ เราแค่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ต้องรับผิดชอบคนไข้ในขอบเขต ดูว่าต้องอยู่เวรวันไหน แต่ธุรกิจคือการดูภาพรวม หลังบ้าน หน้าบ้าน มาร์เก็ตติ้ง การจัดการคน ต้องรับผิดชอบคนทั้งองค์กร ซึ่งยากมาก ก็ค่อยๆ เรียนรู้ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ เพราะเราอยากทำสินค้าที่ดี อยากให้ลูกค้าชอบ อยากให้ทั้งเราและผู้ใช้บริการภูมิใจ
ในสายตาของใครหลายคน ฟรังเป็นคนที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ความคาดหวังนี้ส่งผลกับฟรังไหม
ฟรังดีใจนะที่คนเห็นภาพดีๆ ของเรา ทั้งดีใจและขอบคุณ แต่ฟรังจะพูดตลอดว่า ฟรังยังไม่เก่ง ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยังต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง ฟรังรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ ฟรังก็ไม่รู้หรอกว่า วันหนึ่งเราจะทำอะไรผิดพลาดไหม เราจะประสบความสำเร็จแบบที่หลายคนคาดหวังหรือเปล่า แต่เราไม่ได้เอาสิ่งนั้นมาเป็นความกดดัน เพราะความสำเร็จของแต่ละคนแตกต่างกัน ทุกวันนี้เราแค่ใช้ชีวิตในแบบที่เราเชื่อว่าดี ไม่คิดร้ายกับคนอื่น ใช้ชีวิตอย่างที่เราแฮปปี้ ไม่ได้ติดภาพว่า คนจะมองเรายังไง หรือคาดหวังให้เราเป็นแบบไหน แต่ก็อยากจะเป็นตัวอย่างที่ดีนะ เรารู้ว่ามีคนติดตามเราอยู่ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นบ้าง
การเป็นแรงบันดาลใจหรือความสดใสให้คนอื่นสำคัญกับฟรังยังไง
มันรู้สึกอิ่มเอมมั้ง (ยิ้ม) เหมือนเวลาที่เราได้เป็นวิทยากร แชร์ประสบการณ์กับน้องๆ หรือได้ช่วยเหลือคนอื่น วันหนึ่งเมื่อเขาทำสิ่งนั้นได้ เขายิ้ม หรือเขาขอบคุณเรา เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ มีคุณค่า ฟรังชอบความรู้สึกนี้มากๆ
อะไรคือความทุกข์ของฟรัง-นรีกุลในวัย 27
น้อยมากเลยนะ เหมือนเราพอจะสัมผัสได้ว่า ความทุกข์ไม่ได้ยั่งยืน เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เจอปัญหาก็ค่อยๆ แก้ เลยไม่ทุกข์ อืม (นิ่งคิด) ถ้าพอจะมีสิ่งที่หนักใจคงเป็นการค้นหาตัวตน เราไม่เด็กแล้ว แต่ก็ยังไม่โต ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลากหลายสำหรับอาชีพต่างๆ ความยากคือหลายครั้ง เราเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ในโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคนที่ประสบความสำเร็จ มีรถหรู ร่ำรวย แล้วพอมองกลับมา เราก็อาจจะท้อใจได้ว่า ทำไมเราทำไม่ได้แบบนั้น ทำไมเรายังไม่เก่ง ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่จริงๆ ภาพความสำเร็จที่เราเห็นบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่ใช่ทั้งหมดของเขา และอันที่จริง เราเองก็มีเวลาของเรา ดอกไม้แต่ละดอกบานไม่พร้อมกัน ถ้าเวลาของเราจะยังไม่ใช่พรุ่งนี้ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ละคนมีจังหวะเวลาของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
สิ่งที่ฟรังตอบคล้ายกับแคมเปญ ‘อย่าเพิ่งท้อ วันที่รอจะมาถึง’ ของมาม่า ฟรังได้ยินประโยคนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
รู้สึกว่าใช่เลย อย่าเพิ่งท้อ ฟรังเชื่อเสมอนะว่า ถ้าเราพยายามอย่างสม่ำเสมอ ปรับตัว เรียนรู้ สิ่งที่รอจะมาถึง ต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา ไม่มีใครหรอกที่จะโชคร้ายไปตลอดชีวิต ฟรังอาจจะไม่ค่อยได้เล่าเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้ว ตอนเด็ก ฟรังเคยแคสต์งานโฆษณาไม่ผ่านเหมือนกัน เข้ารอบนะ แต่ไม่เคยได้งานเลย ก็ท้อ แต่กลายเป็นว่าวันหนึ่ง วันที่เราไม่คาดคิดเลยด้วยซ้ำ โอกาสอย่าง ฮอร์โมน ก็มาถึง
แปลว่าการแคสต์เหล่านั้นไม่สูญเปล่า
ไม่เลย การแคสต์แต่ละครั้งให้อะไรกับฟรังเยอะมาก ช่วยให้ฟรังกล้าแสดงออก ไม่ตื่นกล้อง ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น มีทักษะมากขึ้น มันคือการสะสมอะไรบางอย่างเพื่อรอวันหนึ่งที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต หรืออย่างการเรียน ฟรังท้อเยอะมาก แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ สะสม จนในที่สุดก็จบออกมาได้
ฟรังรับมือกับความเหนื่อยและท้อยังไง
นอน (หัวเราะ) การนอนช่วยทุกอย่าง Back to Basic กลับมาดูแลตัวเอง ในวันที่โลกแย่ ถ้าเราสุขภาพดี อย่างน้อยจะยังมีตัวเราที่ไปต่อได้
บางคนอาจจะบอกว่า เขาดูแลสุขภาพและพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่วันที่เขารอก็ยังมาไม่ถึง ถ้าพอจะให้กำลังใจได้ ฟรังอยากบอกพวกเขาว่าอะไร
ก็จะบอกว่า เราเป็นเพื่อนกันค่ะ (ยิ้ม) ทุกวันนี้ฟรังก็ยังทําอะไรใหม่ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะสําเร็จไหม ทุกคนไม่ได้สู้อยู่คนเดียว ยังมีฟรังและคนอื่นๆ อีกมากมายเป็นเพื่อนร่วมทาง หรือถ้ามีน้องๆ ที่เครียดกับการสอบ เราอยากบอกว่า เราเข้าใจมากๆ เพราะเราผ่านจุดนั้นมาก่อน จุดที่ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะทำได้ไหม ผลลัพธ์จะเป็นยังไง เราไม่มีทางรู้ เราทำได้แค่รอไปเรื่อยๆ ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด เต็มที่ที่สุด ทำให้ตัวเองไม่รู้สึกเสียดายเวลามองย้อนกลับมา
และจริงๆ ต่อให้สอบไม่ติดคณะที่หวังก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
จริง อย่าใจร้ายกับตัวเองเกินไป เราคือคนที่รู้ดีที่สุดว่า เราพยายามมาขนาดไหน ฟรังเองคือคนที่เคยเชื่อว่า การสอบคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่พอโตขึ้น มองย้อนกลับไป การสอบกลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้นเอง การสอบสำคัญนะ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ถ้าใครกำลังสู้กับมันอยู่ ก็อยากให้เต็มที่ ใช้ชีวิตไม่ให้ตัวเองต้องมาเสียดายทีหลัง ทุกอย่างจะเป็นบทเรียนและประสบการณ์
05
ฟรังเห็นภาพตัวเองในวัย 30 ยังไง
ฟรังไม่กลัวนะ เพราะพี่ๆ หลายคนที่ 30 แล้วก็ยังสวยอยู่ (หัวเราะ) ก็อาจจะมีบทบาทอื่นๆ เพิ่มเข้ามา มีความก้าวหน้าในอาชีพการงานมากขึ้น แต่คิดว่าตัวตนน่าจะเหมือนเดิม
มีเรื่องที่กังวลบ้างไหม
กลัวเรื่องเดียว คือพ่อแม่เราแก่ขึ้น เรายังไม่เคยเจอความสูญเสียหนักๆ ในชีวิต เราเข้าใจนะว่า มันเป็นธรรมดาของโลก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเจอจริงๆ เราจะรู้สึกยังไง ระหว่างนี้ก็เลยอยากทำให้เขาเห็น อยากให้เขามีความสุข ให้เขาภูมิใจ อยากใช้เวลากับเขาเยอะๆ
ถ้าบอกอะไรกับตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ ฟรังอยากบอกอะไร
อืม… ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 37-38 เนอะ ก็อยากจะเป็นกําลังใจให้ อยากให้เห็นคลิปนี้แล้วก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัว ยังกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำอะไรใหม่ๆ ไม่อยากให้อายุเป็นกรอบที่มาจำกัดความตั้งใจต่างๆ ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะได้คลั่งรักกับเขาบ้างหรือยัง (หัวเราะ) จะได้เลี้ยงลูกหรือยังนะ แต่ถ้ายังไม่มีก็ไม่เป็นไร เราอยู่คนเดียวได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี เป็นกำลังใจให้นะ (ยิ้ม)
Writer: Siravitch Boonprasitthikarn
Graphic Designer: Rojjanaon Yailaibang