โบราณเขาว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม อะไรที่รอได้ควรรอ แต่ถ้าเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวแล้ว ของแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน
เรื่องการใช้ชีวิตคู่ดูเหมือนเป็นของต้องห้ามแสนละเอียดอ่อนของสังคมไทยมาแต่ไหนแต่ไร ค่านิยมที่มีมาแต่อดีตยืนยันว่า ‘การแต่งงาน’ คือธรรมเนียมที่หนุ่มสาวต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะถ้าเผลอไปทำอะไรไม่ดีเข้าก่อนงานแต่งงานจะจัดขึ้นแล้วล่ะก็ ไม่เพียงแค่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะกลายเป็นสาวผู้สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนเข้าเรือนหอ หน้าตาของพ่อแม่นี่แหละพลอยจะพังพินาศไปด้วย แต่อย่างว่าค่านิยม ‘การแต่งก่อนอยู่’ ที่มีรากมาแต่อดีตก็มีเหตุผลและคุณค่าในการสร้างข้อผูกมัดที่รับประกันว่าหนุ่มสาวจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า คือเลือกแล้วก็ห้ามแคล้วกัน
เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สภาพสังคมอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม ‘การอยู่ก่อนแต่ง’ กลายเป็นค่านิยมที่หนุ่มสาวเลือกปฏิบัติกันอย่างถ้วนหน้า เพราะการรอให้ห่ามอย่างที่โบราณว่าอาจไม่ทันใจในยุคนี้ แถมยังสอดคล้องกับตัวเลขค่าเฉลี่ยอายุที่คนยุคใหม่แต่งงานกันช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่เพียงแต่ในสังคมไทยเท่านั้น ในสังคมอเมริกันก็เช่นเดียวกัน ที่ธรรมเนียมการแต่งก่อนอยู่ก็เคยมีเหมือนบ้านเราในอดีต แต่ปัจจุบัน 2 ใน 3 ของคู่แต่งงานเคยอยู่ก่อนแต่งมาแล้วทั้งสิ้น
แม้ว่าธรรมเนียม ‘การแต่งก่อนอยู่’ จะพิสูจน์ด้วยกาลเวลาจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่มาแล้วว่า เป็นการสร้างเงื่อนไขให้หนุ่มสาวได้ชีวิตคู่ไปอย่างตลอดรอดฝั่ง แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้ลองทำความเข้าใจถึงเหตุผลต่อไปนี้ ว่าทำไม ‘การอยู่ก่อนแต่ง’ ถึงได้เป็นทางเลือกใหม่ที่คนหนุ่มสาวอย่างเราๆ ยอมรับกันมากขึ้น
ยังมีอิสระที่จะได้เลือก
ถ้าหากนับกันตามเวลาปัจจุบัน เป็นชาวเจนวายนี่เองที่กำลังอยู่ในช่วงอายุที่มีค่าเฉลี่ยที่สมควรจะต้องแต่งงานตามค่านิยม คืออายุระหว่าง 20 ปลายๆ ถึงต้น 30 ซึ่งยุคนี้แล้วใครที่อายุ 30 แล้วยังไม่แต่งงานกลายเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิงที่อดีตเคยถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ หากลองสังเกตดูอย่างน้อยๆ ต้องมีเพื่อนเราในกลุ่มสักคนอย่างแน่นอน แต่การที่ยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่ได้หมายความว่าโสดสถานเดียว เชื่อได้เลยว่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วซะส่วนมาก แถมบางคู่ยังใช้ชีวิตอยู่กินกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยแล้วซะอีก
จากรายงานสุขภาพคนไทยปี 2559 พบว่าชาวเจนวายมีเปอร์เซ็นต์การแต่งงานลดลง มาจากเหตุผลที่ต้องการใช้ชีวิตอิสระมากขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมการทำงานที่ต้องการงานที่คล่องตัวสูง รักความท้าทาย และที่สำคัญคือพร้อมจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทุกเมื่อหากเจอหนทางที่ดีกว่า สะท้อนถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องการพันธะอะไรต่างๆ มาผูกมัดให้มากมาย เรื่องของการแต่งงานก็เช่นเดียวกัน ตราบใดที่ยังไม่ฟันธงว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยนี้ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังมีสิทธิ์ในการเลือกอยู่นั่นเอง
การอยู่ก่อนแต่ง จึงเป็นการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งของชาวเจนวายที่ยังมีอิสระที่จะเลือก การกรอกประวัติว่า โสด ก็ย่อมคล่องตัวกว่าการกรอกว่า สมรส แล้วเป็นไหนๆ เพราะหากได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสแล้วเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงอิสระในชีวิตส่วนตัวก็ย่อมหายไปด้วย แต่ก็ได้มาซึ่งความเป็นครอบครัวที่ตอบสนองความต้องการในอีกด้านหนึ่งแทน
การจัดงานแต่งงานมีไว้สำหรับคู่ที่พร้อม
ภาพฝันของคู่รักหลายคนคือการจัดงานแต่งงานที่แสนโรแมนติก มีดอกไม้สวยงาม มีเพลงเพราะๆ ในงานเต็มไปด้วยญาติสนิทและเพื่อนรักที่มาแสดงความยินดี ภาพของพ่อแม่ที่มีความสุขที่ลูกได้เป็นฝั่งเป็นฝา ซึ่งทั้งหมดนี้นั้นคือเบื้องหน้า หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังแล้ว กว่าจะเกิดงานแต่งงานในวันนี้ขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยสังคมไทยที่ธรรมเนียมเต็มไปด้วยพิธีรีตองมากมาย จนทำให้คนหนุ่มสาวหลายคู่กลัวการจัดงานแต่งงานไปเลยทีเดียว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่การจัดงานแต่งงานเป็นเงื่อนไขที่ฝ่ายชายกลัว คือเรื่องของสินสอดที่เป็นเหมือนเครื่องวัดความจริงใจของฝ่ายชายด้วยมูลค่าของสินสอด ที่ยิ่งมากก็ยิ่งดีต่อฐานะและหน้าตาของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และยังรวมไปถึงการจัดงานแต่งงานให้สวยงามสมศักดิ์ศรี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจ wedding เติบโตขึ้นทุกปี จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรได้ประเมินมูลค่าธุรกิจการแต่งงานในบ้านเราเมื่อปี 2558 ที่มีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี สวนทางกับสถิติที่คนรุ่นใหม่แต่งงานกันน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเนื่องด้วยความสะดวกสบายที่คู่บ่าวสาวต้องการให้ทุกอย่างง่ายที่สุดและดีที่สุด เหล่า wedding planner จึงจัดเตรียมมาให้อย่างเพียบพร้อม ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงเช่นกัน
ตราบใดในยุคสมัยที่การจัดงานแต่งงานยังเป็นเครื่องวัดฐานะและหน้าตาของทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาว การจัดงานแต่งงานก็ยังเป็นอีเวนต์ที่เข้าข่ายว่าจัดยากที่สุด และราคาที่ต้องจ่ายก็ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การแต่งงานเกิดขึ้นได้ยากอยู่ดี
ในความชั่วคราวก็มีความเสี่ยง
แม้คนรุ่นใหม่จะหาเหตุผลร้อยแปดมาเพื่ออธิบายว่าการอยู่ก่อนแต่งดีอย่างไร แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือในการอยู่ก่อนแต่งแบบชั่วคราวทำให้การมองถึงอนาคตเป็นไปในรูปแบบ short-term ไปซะอย่างนั้น ไม่ได้มองถึงระยะ long-term ที่ยาวไปถึงชีวิตหลังแต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น เกษียณอายุมีเงินใช้อย่างสบายใจเลยสักนิด สะท้อนให้เห็นผ่านไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของหนุ่มสาวที่มักชอบอาศัยอยู่คอนโดหรือบ้านเช่าเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่ต้องการลงหลักปักฐานอย่างจริงจังนั่นเอง
Meg Jay นักจิตบำบัดชื่อดังจาก University of Virginia ได้กล่าวถึงความสำคัญของการวางแผนชีวิตตั้งแต่อายุแค่ 20 ต้นๆ เพราะช่วงเวลาก่อนที่จะอายุ 35 คือช่วงเวลาสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งชีวิตหลังจากนั้น ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่หนุ่มสาวมักจะใช้เวลาในการอยู่ก่อนแต่งศึกษาดูใจกัน แต่โดยมากแล้วกลับเป็นการใช้ชีวิตแบบไปวันๆ ไม่พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีในอนาคตด้วยกันจริงๆ นักวิจัยได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างจนออกมาเป็นทฤษฎียืนยันว่า สถานะชั่วคราวของการอยู่ก่อนแต่ง ทำให้คู่รักขาดแรงผลักดันในการศึกษาและเรียนรู้ชีวิตคู่อย่างจริงจัง และไม่ได้นำพาไปสู่การแต่งงานในภายหลัง แตกต่างจากสถานะมั่นคงของการแต่งงานที่ทำให้คู่รักพยายามที่จะสร้างครอบครัวและชีวิตที่ดีมากกว่า
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ก็อย่าปล่อยให้ความชั่วคราวกลายเป็นความชิลล์จนเกิดความเสี่ยงที่ทำให้ชีวิตคู่ไม่ได้ไปต่อ แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาทองที่จะได้ศึกษาดูใจกันอย่างจริงจังเสียก่อน จะใช่หรือไม่ใช่ ก็วัดกันตอนนี้แหละ และถ้าพบว่าใช่ก็เตรียมตัวลุยสร้างชีวิตที่ดีต่อไปได้เลย
ได้ทดลองใช้ชีวิตแบบไร้ข้อผูกมัดก่อน
รถยังมี test drive แล้วทำไมชีวิตคู่จะมี test live บ้างไม่ได้ ใครสักคนเคยกล่าวไว้ แม้ชีวิตคนอาจเทียบไม่ได้กับสินค้าที่สามารถลองได้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แต่การแต่งงานก็ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ต้องใช้เหตุผลหลายอย่างมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะถ้าตัดสินใจพลาดไป ยิ่งถ้ามีลูกด้วยกันแล้ว การเริ่มต้นชีวิตใหม่ย่อมลำบากแน่นอน
กรุงเทพโพลล์ได้เปิดเผยผลสำรวจเมื่อปี 2554 ถึงประเด็นเรื่องการอยู่ก่อนแต่ง คนโสดถึงร้อยละ 66.9 เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะได้เรียนรู้กันก่อนที่จะแต่งงาน มีเพียงร้อยละ 33.1 ที่ไม่เห็นด้วยเพราะเสี่ยงต่อปัญหาอย่างการตั้งท้องและขัดต่อวัฒนธรรมไทย และยังมีสถิติการยอมรับที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี จึงได้เห็นภาพของหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้นโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งเป็นเหมือนการทดลองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก่อน ว่าภาพของชีวิตคู่ที่แท้จริงเป็นอย่างไร สันดานดิบที่แท้ของกันและกันจะเปิดเผยกันก็คราวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบนเตียงที่เป็นดั่งแรงขับเคลื่อนของชีวิตคู่ จะมารอให้ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังเข้าห้องหอก็ดูจะสายเกินไป หากรับไม่ได้ แม้ช่วงหลังจะมีหลายงานวิจัยบอกว่า การอยู่ก่อนแต่งจะมีโอกาสหย่ากันสูงกว่าคู่ที่แต่งก่อนอยู่ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร ค่านิยมใหม่ในการอยู่ก่อนแต่งก็เริ่มกลายเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้แล้วในที่สุด
จากแนวคิดเดียวกันนี้ BMW จึงได้มอบผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ที่เรียกว่า BMW FREEDOM CHOICE เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจเป็นจ้าของรถของคุณแบบอยู่ก่อนแต่ง โดยเปิดโอกาสให้คุณได้ขับขี่รถ BMW ก่อนเป็นระยะเวลา 3 หรือ 4 ปี แล้วแต่คุณต้องการ ด้วยเงินดาวน์น้อย ราคาผ่อนต่อเดือนต่ำที่ยังครอบคลุมแพคเกจบำรุงรักษา BSI เพื่อให้คุณมั่นใจยิ่งขึ้น หลังจากครบกำหนด คุณจึงเลือกตัดสินใจว่าจะเป็นเจ้าของรถคันนี้หรือไม่ โดยมี option ให้คุณเลือกได้ถึง 4 แบบ คือ
– คืนรถให้ BMW
– ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถ โดยจ่ายปิดเงินก้อนบอลลูนเพื่อเป็นเจ้าของรถ
– ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถ โดยรีไฟแนนซ์ต่อเพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่าย
– คืนคันเดิม และเลือกออกรถคันใหม่
ให้ประสบการณ์กับรถยนต์ BMW ก่อนที่จะตัดสินใจเป็นเจ้าของ เมื่อมีโอกาสได้เลือกทดลองก่อน ก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะการเลือกผิดแล้วเริ่มต้นใหม่นั้นไม่ง่าย
อ้างอิง
http://www.artofmanliness.com/2017/06/07/live-together-marriage/
https://marriagemissions.com/living-together-before-marriage/
http://bangkokpoll.bu.ac.th/poll/result/doc/poll517.pdf
http://www.tcijthai.com/news/2016/11/scoop/6527