พรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุดจบไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าอดีตแชมป์เก่าอย่างทีมสิงโตน้ำเงินครามเชลซีจะจบเพียงอันดับที่ 5 ของตาราง แต่เรื่องราวของสโมสรอันยิ่งใหญ่แห่งลอนดอน เจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัยทีมนี้ก็มีอะไรให้กล่าวถึงอยู่ไม่น้อย
เป็นที่รู้กันว่า เรื่องของตัวเลขกับกีฬาฟุตบอลคือสิ่งที่ขาดจากกันไม่ได้ ทั้งผลคะแนน ยอดผู้ชมในสนาม เวลาในการแข่งขัน สถิติต่างๆ รวมไปถึงหมายเบอร์เสื้อของนักเตะ ที่ต้องเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เรียกได้ว่าทักษะพื้นฐานอย่างหนึ่งที่แฟนบอลทุกคนต้องมี นั่นคือการบวกลบเลขก็ว่าได้
แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ‘หมายเลข 8’ เกี่ยวข้องกับสโมสรเชลซีในหลากหลายแง่มุมอย่างไม่น่าเชื่อ ลองไปดูกันว่า เลข 8 และสโมสรเชลซีมีความหมายอะไรที่มากกว่านั้น
ตำนานเสื้อหมายเลข 8
สโมสรทุกสโมสรมักจะมีตำนานหมายเลขเสื้อนักเตะของตนเอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นหมายเลข 7 แต่สำหรับเชลซีแล้ว หมายเลขในตำนานคือหมายเลข 8 ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก แฟรงค์ แลมพาร์ด นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของเชลซี ด้วยประตูการทำประตูที่มากที่สุดของสโมสร นับตั้งแต่ปี 2001-2014 ถึง 211 ประตู ด้วยจำนวนแมตช์ลงเล่นกว่า 648 นัด ก่อนที่เบอร์ 8 จะตกเป็นของ ออสการ์ ดาวเตะจากบราซิล และผู้ที่มาสวมเสื้อหมายเลข 8 ล่าสุดคือนักเตะที่เพิ่งย้ายมาใหม่อย่าง รอสส์ บาร์กลีย์ ที่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไรในฤดูกาลที่แล้ว ทำให้ชื่อของเพลย์เมเกอร์ชาวอังกฤษคนนี้จะยังคงอยู่ในใจของแฟนบอลเชลซีไปอีกนาน
สกอร์ประวัติศาสตร์ 8 ประตู
ถือเป็นความบังเอิญที่น่ามหัศจรรย์ เพราะตั้งแต่ที่เชลซีก่อตั้งมากว่า 113 ปี มีจำนวนสกอร์ที่พวกเขาทำได้มากที่สุดและโดนถล่มไปมากที่สุดอยู่ที่ 8 ประตูเหมือนกัน เพราะ 8-1 คือสกอร์ที่พ่ายให้กับ วูล์ฟแฮมตัน วันเดอร์เรอร์ส ในวันที่ 26 กันยายน 1953 เป็นนัดที่โดนยิงมากที่สุด ขณะที่ 8-0 คือสกอร์ที่เอาชนะ วีแกน แอธเลติก ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2010 และเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ด้วยสกอร์เดียวกันที่ 8-0 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นนัดที่พวกเขายิงได้มากที่สุดในลีก
ปาฏิหาริย์นาที 88
ฤดูกาล 2011-12 นับฤดูกาลที่เชลซีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการทะลุเข้าไปถึงรอบชิง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรก แต่กลับต้องมาเจองานหนักในนัดสุดท้ายกับ บาเยิร์น มิวนิก จากเยอรมัน แถมในช่วงท้ายครึ่งหลังยังโดนลูกโหม่งของ โทมัส มุลเลอร์ ออกนำในนาทีที่ 83 ขณะที่จวนเจียนจะปิดกล่องด้วยความพ่ายแพ้ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ศูนย์หน้าชาวไอวอรีโคสต์กลับช่วยโหม่งทำประตูพลิกนรกตีเสมอในนาทีที่ 88 ให้สกอร์กลายเป็น 1-1 ได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก สุดท้ายก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ ก่อนจะลงเอยกันด้วยการยิงจุดโทษ และก็เป็นนักเตะของสิงห์บลูส์ที่แน่นอนกว่าจนสามารถคว้าถ้วยแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ผู้ชมในสนามมากสุดที่ 8 หมื่นคน
แม้ว่าในการแข่งขันทุกๆ นัด ณ รังเหย้าของเชลซีอย่างสแตมฟอร์ด บริดจ์ จะเต็มไปด้วยแฟนบอลของสิงห์บลูส์ที่เข้ามาชมเกมไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นคน แต่คงไม่มีนัดไหนจะมากไปกว่านัดที่เชลซีพบกับอาร์เซนอล ในยุคที่พรีเมียร์ลีกยังเป็นการแข่งขันดิวิชั่น 1 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1935 มียอดผู้ชมในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เบ็ดเสร็จอยู่ที่ 82,905 คน และนับตั้งแต่เปิดใช้สนามนี้เป็นรังเหย้ามาตั้งแต่ปี 1905 ก็ไม่มีการแข่งขันนัดไหนที่สามารถล้มสถิติผู้ชมในวันนั้นได้อีกเลย
ไม่แพ้ใครในบ้านยาวนาน 86 นัด
นักฟุตบอลทุกคนต่างรู้กันดี ว่าเสียงเชียร์จากแฟนบอลของทีมตนเองนั้นส่งผลต่อความฮึกเหิมในสนามขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามเหย้าของตนเองอย่างสแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่เสียงเชียร์ของแฟนๆ สิงห์บลูส์ในสนามทำให้เชลซีสร้างสถิติไม่แพ้ใครในบ้านติดต่อกันยาวนานถึง 86 นัดในลีก นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2004 ถึงเดือนตุลาคม 2008 ก่อนที่จะถูก ชาบี อลอนโซ่ ของลิเวอร์พูลหยุดสถิตินี้ลงด้วยการซัดประตูชัยคาบ้านไป 0-1 ปิดสถิตินี้ลงไปอย่างน่าเสียดาย
ค่าตัวนักเตะแพงสุดที่ 58 ล้านปอนด์
นับตั้งแต่สุดยอดบิ๊กดีลที่เชลซีคว้าตัว เฟร์นันโด ตอร์เรส มาจากลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์เมื่อปี 2011 ก็ยังไม่มีนักเตะคนไหนที่จะล้มสถิติเจ้าเอล นินโญไปได้ แถมยังโดนค่อนขอดว่าเป็นนักเตะที่ค่าตัวเกินจริงอีกต่างหาก เพราะฟอร์มไม่ได้ดีสมราคา แต่ล่าสุดเมื่อปี 2017 เชลซีกลับมาเปิดบิ๊กดีลอีกครั้ง เมื่อกุนซืออันโตนิโอ คอนเต้ ตัดสินใจกระชากตัว อัลบาโร โมราตา ดาวยิงจาก เรอัล มาดริด เข้าแผนทำทีมใหม่ ด้วยค่าตัวประมาณการณ์สูงถึง 58 ล้านปอนด์ เรียกได้ว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสรที่ยอมควักจ่ายค่าตัวนักเตะเลยทีเดียว
โค้ชวัย 48 ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง
เชื่อว่าหากเอ่ยถึงเชลซี ชื่อของกุนซือที่ทุกคนนึกถึงเป็นชื่อแรกคงจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 2 สมัยและยังหวนกลับมารับตำแหน่งถึง 2 ครั้ง เรียกว่าแฟนสิงโตคำรามทุกคนไม่มีเคยมีใครลืมชื่อเขา แต่ดูเหมือนว่าโค้ชคนล่าสุดอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ วัย 48 ปีคือคีย์แมนคนสำคัญที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับเชลซีอย่างแท้จริง ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามาทำหน้าที่ ต้องไม่ลืมว่านั่นคือยุคที่เชลซีกำลังขาดขุมกำลังนักเตะซูเปอร์สตาร์ แต่เขากลับสร้างจุดเปลี่ยนด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีเดินหน้าตามแท็กติกและระบบของตนเอง จนสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นปัจจัยเดียวกับที่เขาพาอิตาลีคว้าแชมป์โลกมาแล้ว
สิงห์และเชลซี 8 ปีแห่งความสัมพันธ์
ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่แบรนด์ไทยอย่าง สิงห์คอร์เปอเรชั่นได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับสโมสรระดับโลกอย่างเชลซีมายาวนานถึง 8 ปี และในระหว่างการเป็นพันธมิตรร่วมกันตั้งแต่ปี 2010 นั้นเปิดโอกาสให้กับเยาวชนที่ชื่นชอบฟุตบอลในไทยได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนักเตะระดับโลก มีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยได้เป็นหนึ่งเดียวกับแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงเป็นการเปิดตลาดให้คนทั่วโลกรู้จักแบรนด์สิงห์คอร์เปอเรชั่นมากขึ้น ซึ่งการได้เห็นโลโก้ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยไปปรากฏในสนามที่ยิ่งใหญ่อย่างสแตมฟอร์ด บริดจ์ และมีผลิตภัณฑ์จากสิงห์จำหน่ายให้กับแฟนๆเชลซีที่เข้าไปชมฟุตบอลได้ลิ้มลองกัน เชื่อว่าเป็นสิ่งที่แฟนบอลคนไทยทุกคนต่างรู้สึกภาคภูมิใจเช่นกัน
และในวาระการครบรอบการเป็นพาร์ทเนอร์ 8 ปีระหว่างสิงห์คอร์เปอเรชั่นและเชลซีฟุตบอลคลับ ทางสิงห์ได้มีการชวนนักเตะเชลซี 3 คน ได้แก่ César Azpilicueta, Danny Drinkwater และ Thibaut Courtois มาทำคลิปวิดีโอพิเศษ โดยการนำเชฟมาสอนทำอาหารไทยจากวัตถุดิบ 8 อย่าง, การแข่งขันเปิดขวดเครื่องดื่มใน 8 วินาที, การแข่งขันเดาะฟุตบอลพร้อมเปิดขวดเครื่องดื่ม 8 ขวด สามารถรับชมคลิปวิดีโอได้ทาง https://www.youtube.com/channel/UCNoaaVMRYHHq43c3jEv94aw
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.sportskeeda.com/football/facts-chelsea-110-year-history
https://en.wikipedia.org/wiki/2011%E2%80%9312_UEFA_Champions_League
https://en.wikipedia.org/wiki/Chelsea_F.C.