น้ำตามักถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
ตั้งแต่เกิดจนโต มีเพียงช่วงเวลาตอนแรกเกิดเท่านั้นที่ทุกคนอยากให้เราร้องไห้ดังๆ เพื่อจะได้รู้ว่าร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี แต่นับจากนั้น ‘น้ำตา’ กลับถูกทำให้กลายเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ อ่อนไหว ใคร ๆ ต่างก็ต้องพยายามเก็บซ่อนน้ำตาไว้ เมื่อร้องไห้แล้วก็ต้องพยายามหยุดให้เร็วที่สุด ทั้งที่จริงแล้วน้ำตามีประโยชน์กว่าที่เราคิด เมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะโศกจนสุดกลั้น หรือสุขสุดขีด น้ำตาจะเป็นหนึ่งสิ่งที่ร่างกายแสดงออกมาร่วมกับอากัปกิริยาต่าง ๆ ด้วยเสมอ เราอาจรู้สึกแย่ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเรากลับรู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาดใจ
น้ำตาแต่ละหยดประกอบด้วยอะไรบ้าง มาหาคำตอบไปพร้อมกันว่าทำไมน้ำตาจึงเป็นเพื่อนแท้ที่อยู่กับเราตลอดมาในทุกช่วงเวลาของชีวิตและทุกความสัมพันธ์
อยู่ๆ ก็มีแต่น้ำตา
ใครว่าไม่มีแฟนก็ดี จะได้ไม่ต้องมีน้ำตา เพราะอยู่คนเดียวก็มีน้ำตาได้ น้ำตาที่ว่านั้นไม่ได้ไหลออกมาเพราะตื้นตันหรือเสียใจ แต่เป็นน้ำตาเพื่อนยากที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลาแม้ยามที่ไม่เหลือใคร ซึ่งร่างกายผลิตขึ้นมาจากต่อมน้ำตา เพื่อช่วยหล่อเลี้ยงและหล่อลื่นดวงตาไม่ให้เยื่อบุตาแห้ง เคลือบผิวกระจกตาทุกครั้งที่กะพริบตา ซึ่งในแต่ละวันคนเรากะพริบตากันมากถึง 14,000 ครั้งเลยทีเดียว เหตุที่มนุษย์เราต้องกะพริบตามากขนาดนั้น ก็เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและล้างสิ่งสกปรกในดวงตา อีกทั้งน้ำตายังมีคุณสมบัติป้องกันเชื้อโรคให้ดวงตาได้อีกด้วย น้ำตาจึงถือเป็นเกราะที่คอยป้องกันดวงตาของเราอยู่เสมอ
ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตา
การที่เราน้ำตาไหลไม่ได้หมายความว่าเราร้องไห้เสียใจเสมอไป เพราะเรื่องผง ๆ อย่างฝุ่นละอองที่เข้าตาก็อาจทำให้เราน้ำตาไหลออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว เมื่อมีฝุ่นเข้าตา ต่อมน้ำตาจะเร่งสร้างน้ำตาออกมามากกว่าปกติ ซึ่งเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของร่างกาย เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตาให้เร็วที่สุด น้ำตาแบบนี้เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่เราไม่อาจควบคุมได้ ไม่ต่างจากเวลาที่เราหัวเราะจนน้ำตาไหล
ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อใบหน้าที่ตึงและออกแรงมากกว่าปกติขณะหัวเราะไปบีบให้ต่อมน้ำตาปล่อยน้ำตาออกมา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นอกจากฝุ่นผงแล้ว เมื่อความรักเข้าตา ไม่ว่าเขาคนนั้นพูดอะไรเราก็พร้อมจะรับฟังอย่างตั้งใจ พร้อมจะมีความรู้สึกร่วมไปด้วยเสมอ เรื่องตลกธรรมดาจากปากของเขาก็อาจทำให้เราหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาได้
น้ำตาจากความยินดี
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเสียใจมากไปนั้นไม่ดีต่อร่างกายและจิตใจ แต่ดีใจมากไปบางครั้งร่างกายก็รับไม่ไหวเหมือนกัน
เวลาที่ดีใจสุด ๆ อย่างตอนที่ได้รู้ว่าคนที่เราแอบชอบเขาก็ชอบเราอยู่เหมือนกัน หรือโมเมนต์ถูกขอแต่งงานก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นฉากที่น้ำตาของหลายคนจะไหลออกมาได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งน้ำตานี้เกิดจากอารมณ์ในแง่บวกสุดขีด เกิดขึ้นเมื่อสมองของเรารับรู้ถึงอารมณ์ด้านใดด้านหนึ่งที่มากจนเกินไป จึงต้องมีกระบวนการปรับอารมณ์ให้สมดุล เรียกว่า Emotional Equilibrium ซึ่งร่างกายจะตอบสนองด้วยการหลั่งน้ำตาออกมา ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย จิตใจสงบลง ไม่ถูกอารมณ์พาให้เตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ
มอง (น้ำ) ตาก็รู้ใจ
หากเราจะบอกว่าหนึ่งภาพเท่ากับหนึ่งพันคำ น้ำตาหนึ่งหยดก็สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจของเราได้ไม่แพ้กัน การร้องไห้เป็นกลไกหนึ่งที่ร่างกายมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เราลืมตาดูโลก แม้โตขึ้นเราจะร้องให้น้อยลงแต่น้ำตาก็ยังทำหน้าที่สื่อสารแทนถ้อยคำได้อย่างมีพลัง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจหรือน้ำตาแห่งความยินดีก็ตาม เพราะมีบางทฤษฎีที่เสนอว่าการร้องไห้เสียน้ำตาก็เป็นอีกหนึ่งกลไกทางสังคมที่จะแสดงความรู้สึกภายในใจให้คนรอบข้างได้รับรู้ ทั้งความสงสาร ความเห็นใจ ความปีติยินดี เป็นการส่งผ่านความรู้สึกภายในออกมาได้โดยตรง ไม่ต้องถูกข้อจำกัดทางภาษามาขวางกั้นไว้แต่อย่างใด
ต่างคนต่างมีน้ำตา
เรื่องของความสัมพันธ์คือการปรับตัวเข้าหากัน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระดับคู่รัก หรือครอบครัว เราต่างก็ต้องมีวันที่ พลาดพลั้งทำให้อีกฝ่ายเสียใจ หรือเข้าใจผิดกันเป็นธรรมดา แม้การร้องไห้จะไม่ช่วยให้รอยร้าวประสานกันได้ทันควันแต่จะเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกให้ทำงานได้ในทันที Oren Hasson นักชีววิทยาวิวัฒนาการ ได้วิเคราะห์ว่าเมื่อเราเห็นคนที่เรารักร้องไห้ต่อให้งอน โกรธ เคืองแค่ไหน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ รู้สึกร่วมไปกับอีกฝ่ายได้ไม่ยาก หรือต่อให้แม้แต่บังเอิญได้เห็นน้ำตาของคนที่เราไม่รู้จัก ก็ส่งผลไม่ต่างกัน แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับคนแปลกหน้า แต่เราก็สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร และอยากเอาใจช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
ไม่มีน้ำตาไม่ได้แปลว่าไม่เสียใจ
ในวันที่ความสัมพันธ์เกิดความผิดหวัง กระทบกระทั่ง ไม่เข้าใจกัน น้ำตาจากอารมณ์เศร้าเสียใจที่ไหลออกมานั้น เป็นวิธีการจัดการอารมณ์ซึ่งเป็นธรรมชาติที่สุดรูปแบบหนึ่งของมนุษย์เรา เมื่อเกิดปัญหาทะเลาะกันขึ้น เหตุที่ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายร้องไห้มากกว่าอยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะเสียใจมากกว่า หรืออ่อนแอกว่า แต่เป็นเพราะระดับของฮอร์โมนโพรแลกติน ที่นอกจากกระตุ้นการผลิตน้ำนมแล้ว ยังกระตุ้นการผลิตน้ำตาด้วย ซึ่งในตอนที่เป็นเด็กไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิงก็มีระดับฮอร์โมนนี้ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ผู้หญิงจะมีระดับโพรแลกตินในเลือดสูงกว่าผู้ชายวัยเดียวกันเกือบ 60% ! ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกครั้งที่ผิดใจจนทะเลาะกัน แล้วผู้ชายไม่ร้องไห้ออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายรู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าผู้หญิงแต่อย่างใด เพียงแต่เราแสดงออกได้ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง
ร้องมันออกมาให้พอ
ในขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียด ผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่อกหัก สมองส่วนที่ทำงานเวลาเรารู้สึกเจ็บทางร่างกาย ก็ทำให้รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกจริง ๆ ไปด้วย น้ำตาจะทำหน้าที่เป็นเหมือนยาแก้ปวดตามธรรมชาติซึ่งช่วยบรรเทาความรู้สึกพลุ่งพล่านจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เราค่อย ๆ สงบลง เพราะได้ปลดปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมากับน้ำตานั่นเอง William H. Frey ด็อกเตอร์ผู้ศึกษาเกี่ยวกับน้ำตามาเป็นเวลามาเป็นเวลากว่า 15 ปี ได้เผยแพร่ผลการวิจัยอันยาวนานของเขาไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1989 ว่าแร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำตานั้นปริมาณมากกว่าในเลือดถึง 30 เท่า เมื่อเราร้องไห้จึงเท่ากับเป็นการขจัดสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความเครียดออกจากร่างกายไปพร้อมกัน สารเคมีที่ว่านั้นได้แก่ เอ็นโดรฟิน ที่ช่วยผ่อนคลายความรู้สึกเจ็บปวด รวมถึง ACPH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังอยู่ในภาวะกดดัน ดังนั้นใครบอกว่าน้ำตาไม่ช่วยอะไร อย่าไปแคร์ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการเยียวยาตัวเองในแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร
เพราะน้ำตาอยู่กับเราในทุกบทบาทของชีวิต
การร้องไห้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ฉันใด ชีวิตของเราก็ขาดน้ำตาไม่ได้เช่นกัน ปัจจุบันจึงมีการออกแบบให้คอนเทคเลนส์มีคุณสมบัติรักษาความชุ่มชื้นได้เสมือนน้ำตา ลืมภาพคอนเทคเลนส์แบบเดิม ๆ ที่ทำให้ตาแห้งจนต้องหมั่นหยอดน้ำตาเทียมระหว่างวันไปได้เลย ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะจาก Johnson & Johnson ที่เรียกว่า Tear-Infused Design เป็นการออกแบบคอนเทคเลนส์ลึกลงไปถึงระดับโครงสร้างโมเลกุลให้มีลักษณะคล้ายน้ำตา และทำให้คอนเทคเลนส์ทำงานร่วมกับชั้นน้ำตาได้ดี จึงช่วยลดอาการตาล้าและตาแห้ง รู้สึกสบายตาได้ยาวนานตลอดวัน
ติดตามเทคโนโลยีคอนเทคเลนส์ที่ “เข้ากันดีกับชั้นน้ำตา” พร้อมอัพเดตทิปการดูแลสุขภาพดวงตาและทุกเรื่องราวเกี่ยวกับคอนเทคเลนส์ ได้ที่เพจ Johnson & Johnson Vision หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเพื่อทดลองคอนเทคเลนส์ฟรี พร้อมรับส่วนลด 400 บาทได้ที่ลิงก์นี้