ตำแหน่งยิ่งสูง งานก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะผู้บริหารไม่ได้มีหน้าที่แค่ขับเคลื่อน(Drive) ตัวเองในการทำงานเท่านั้น แต่ยังต้องขับเคลื่อนงานและส่วนต่างๆ ในบริษัทอีกด้วย ตำแหน่งผู้บริหารจึงไม่ได้สบายๆ จริงอยู่ว่าอาจไม่ต้องลงแรงทำเอง แต่ก็ต้องหนักใจกว่าชาวบ้าน
สำหรับงานที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องขับเคลื่อน ได้แก่
Drive หน่วยงานไปสู่เป้าหมาย
ถ้าเป็นพนักงาน เป้าหมายที่พนักงานต้องทำก็คือการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ แต่สำหรับตำแหน่งผู้บริหาร เป้าหมายก็คือการพาองค์กรไปสู่ทางที่ดีขึ้น รวมถึงการบรรลุวิสัยทัศน์(Vision) ที่ตั้งไว้ เช่น ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทอันดับหนึ่งด้านนั้นด้านนี้ มียอดขายดีขึ้น มีเทคโนโลยีล้ำหน้ารองรับโลกอนาคต องค์กรเป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
Drive ลูกน้อง
เป็นผู้บริหารก็ต้องมีไม้มีมือหรือทีมงานใกล้ตัวคอยช่วยเหลือ ดังนั้น งานจะไปต่อได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ผู้บริหารคนเดียวเท่านั้น แต่คนที่จะสานงานต่อหรือทำให้แนวทางที่ผู้บริหารวางไว้เกิดขึ้นจริงก็ความสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องขับเคลื่อนลูกน้องใกล้ตัวให้ทำงานเก่ง รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นที่จะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย และแน่นอนว่ายิ่งลูกน้องเก่ง หัวหน้าก็ทำงานสบายขึ้นด้วย
Drive ยอดขาย
ขึ้นชื่อว่าธุรกิจ ก็ต้องพูดถึงยอดขายและผลกำไร ฉะนั้นหน้าที่หนึ่งที่ผู้บริหารทุกคนต้องคำนึง ก็คือ การทำให้บริษัทเกิดผลกำไร หรือถ้าพูดง่ายๆ คือ ทำให้เจริญรุ่งเรือง เฮงๆ โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารด้านการตลาด ด้านการขาย ด้านพัฒนาธุรกิจ ที่ต้องคิดหากลยุทธ์ เทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้สินค้าและบริการของตัวเองเป็นที่ต้องการของตลาด
และโดยมากแล้ว เป้าหมายที่ผู้บริหารต้องขับเคลื่อนไปสู่นั้นเป็นงานประเภทบุกเบิก คือเป็นสิ่งที่ไม่เคยไปมาก่อน ดังนั้นผู้บริหารที่เก่ง นอกจากจะมีวิสัยทัศน์และความสามารถ ยังต้องจิตแข็งที่จะสามารถสะกดจิตให้ตัวเองและทีมงานก้าวสู่ทางข้างหน้าได้
Drive การเปลี่ยนแปลง
มีคำพูดว่า “ถ้าทุกอย่างมันดูเข้าทางคุณไปหมด เป็นไปได้ว่าคุณอยู่ผิดเลน” กล่าวคือ โดยปกติแล้วอย่างที่รู้กันว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ โดยเฉพาะความสำเร็จที่ต้องมีอุปสรรคเข้ามาท้าทายกันอยู่เรื่อยๆ ฉะนั้นคำพูดนี้จึงไว้เตือนไม่ให้ประมาทหรือชะล่าใจ เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้สวย
ด้วยเหตุนี้บริษัทจำนวนไม่น้อยจึงไม่ยอมหยุดนิ่ง แต่พยายามพัฒนาสินค้าบริการ รวมทั้งบุคลากรไปเรื่อยๆ แม้ในช่วงที่พีคสุดๆ ก็ต้องขวนขวายดิ้นรนทำ เพราะทันทีที่หยุดเปลี่ยนแปลง ก็ถือว่าล้าหลังแล้ว เนื่องจากคนอื่นเขาไม่ได้หยุดเดิน แต่เดินหน้าอยู่ตลอด ฉะนั้น อีกสิ่งท้าทายที่ผู้บริหารต้องขับเคลื่อนก็คือ ขับเคลื่อน “การเปลี่ยนแปลง” เพื่อให้บริษัทอยู่รอดและยังคงเติบโตไปได้ต่อ
ยิ่งในปัจจุบันที่การแข่งขันรุนแรงเรื่อยๆ คู่แข่งบางทีก็ไม่ได้มาแบบตรงๆ แต่ข้ามสายมาแข่งกันเลย เช่น ในญี่ปุ่นที่ธนาคารมีคู่แข่งด้านชำระเงิน (Payment) เป็นบริษัทแชทแอปฯ (Chat App) ที่ข้ามมาให้บริการด้านนี้ เป็นต้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงนับเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารต้องพยายามขับเคลื่อนให้ได้
Drive ตัวเอง
เมื่อขับเคลื่อนคนอื่นแล้ว อีกคนที่ลืมไม่ได้ ก็คือ ตัวเอง เพราะถ้าตัวผู้บริหารเองขาดไฟหรือพลังแล้ว จะไปขับเคลื่อนใครได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้บริหารมีพลัง ก็จะสามารถส่งต่อพลังต่อไปยังทีมงานและองค์กรได้ดีขึ้น
สำหรับวิธีที่ผู้บริหารที่เก่งๆ มักใช้ขับเคลื่อนพลังให้ตัวเอง คือ กิจวัตรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จิตใจ และปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเป็นประจำ การอ่านหนังสือ การนั่งสมาธิ การเล่นดนตรี หรือการทำงานอดิเรกที่ทำให้ตัวเองมีความสุข อย่างในงานสำรวจของ CMOE ที่สำรวจผู้บริหารระดับ C-Level ของบริษัทติดท็อป 500 บริษัทในนิตยสารฟอร์จูน พบว่า ผู้บริหารใช้เวลาออกกำลังกายประมาณ 45 นาทีต่อวัน และใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อวัน ในการพัฒนาตัวเอง เช่น อ่านหนังสือ
ร่ายยาวถึง 5 เรื่องที่ผู้บริหารต้องขับเคลื่อน ก็มีแต่เรื่องเหนื่อยๆ ทั้งนั้น ดังนั้น สำหรับรางวัลแห่งความเหนื่อยที่ผู้บริหารไม่ควรพลาดที่จะได้ Drive ก็คือ รถยนต์สปอร์ตซีดานรุ่นใหม่ “BMW M5 2018” ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อ M xDrive เป็นครั้งแรก ที่จะทำให้ประสบการณ์การขับรถสนุกมากขึ้นและช่วยให้ลืมเหนื่อยไปได้เลย
อ้างอิง
https://cmoe.com/blog/how-leaders-spend-their-time/