หากใครที่ใช้งานโซเชียลมีเดียเป็นประจำ ไม่ว่าจะแอปฯ ไหน เว็บอะไร คงคุ้นเคยกับคำว่า ‘ตัวตนออนไลน์’ หรือ คำที่ใช้บ่อยคือ ID Account กันมาอยู่บ้าง ซึ่งโดยธรรมชาติ ตัวตนออนไลน์ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันเป็นเพียงสถานภาพที่บ่งบอกว่าเรามีตัวตนในพื้นที่นั้นๆ หรือเว็บไซต์นั้นๆ คล้ายกับการมีหน้าบัตรประชาชนในโลกจริง
แต่ด้วยความที่ตัวตนออนไลน์สามารถ ‘สร้างขึ้นได้’ โดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ไหน ทำให้ตัวตนออนไลน์เหล่านั้นมีจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพราะไม่มีใครรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเป็นใคร สิ่งนี้ทำให้การใช้งานโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะเหล่าเยาวชนหรือลูกหลานของเรา อาจนำตัวตนออนไลน์เหล่านี้ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมได้! เช่น การนำไปใช้เพื่อ Cyberbully การนำไปใช้ในสื่อที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการสั่งสมพฤติกรรมรุนแรงในสื่อได้ด้วย
พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปบนโลกออนไลน์
พื้นที่ที่เต็มไปด้วยตัวตนออนไลน์คือโลกโซเชียลมีเดีย แต่ด้วยความที่สื่อสังคมออนไลน์มีหลายประเภท ทำให้พฤติกรรมของคนใช้เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของสื่อนั้นๆ เช่น คนใช้ Facebook ก็อาจจะจะเน้นการไถนิวส์ฟีดตามอ่านเพจที่ชื่นชอบ คนใช้ Instagram เน้นการโพสต์รูปและซื้อของออนไลน์ หรือคนที่เล่น Twitter ก็อาจจะใช้เพื่อบ่นเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รูปแบบการใช้งานของสื่อฯ เหล่านี้ก็จะแตกต่างกันไปตามนิสัยและความชื่นชอบของผู้ใช้งานด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือ ถึงแม้เราจะสร้างตัวตนขึ้นมาโดยมีชื่อ หน้าตา และข้อมูลต่างๆ ตามโลกจริง แต่หลายครั้งพฤติกรรมของคนบนออนไลน์ กลับแตกต่างออกไปจากตัวตนบนโลกจริงโดยสิ้นเชิง อย่างที่เรามักจะเห็นได้จากข่าวสารบ้านเมือง ที่พบว่าคนบางคนถึงมีอุปนิสัยที่น่ารักในโลกจริง แต่บนออนไลน์กลับมีพฤติกรรมรุนแรง หยาบคาย ซึ่งหลายคนจบลงด้วยการทำผิดกฎหมาย หรือถูกชักจูงไปในทางที่ผิด
ในจุดนี้ จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกับกลุ่มเยาวชน ลูกๆ หลานๆ ของเรา ที่ถึงแม้ว่าจะมีความชำนาญการใช้เทคโนโลยี แต่โดยพื้นฐานแล้วยังไม่ได้จัดเจนหรือมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมากมายนัก ทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่มี ‘ความเสี่ยง’ ที่จะใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางที่ไม่เหมาะควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสร้างตัวตนในแบบที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือการตกเป็นเหยื่อของภัยร้ายต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต
มีความเห็นจากอาจารย์ในสังกัดสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ที่กล่าวว่า เยาวชนมักมีการแสดงความคิดเห็นอย่างสุดโต่งและสุดขั้วออกมามากขึ้น เพราะกรอบทางสังคมในโลกออนไลน์มีความหละหลวม ทำให้ความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยถูกปิดกั้น กลายมาเป็นความรุนแรงในโซเชียลมีเดีย ประกอบกับการที่ได้รับยอดชม ยอดไลก์ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการสนับสนุน
ด้วยความที่โลกออนไลน์ ‘หละหลวม’ ในเรื่องกฎเกณฑ์และเป็นพื้นที่ที่ใครก็ตามสามารถแสดงออกได้อย่างเปิดเผย มันจึงทำให้พฤติกรรมของคนที่อยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ มีแนวโน้มที่จะรุนแรงกว่าในโลกจริง หรือกลายมาเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้อย่างง่ายดาย มีการสำรวจจากศูนย์ประสานงานส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ โคแพท พบว่าเยาวชน 34 เปอร์เซ็นต์ เคยกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่นทางออนไลน์ และมีเด็กอีก 2 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าเคยถ่ายภาพหรือวิดีโอในลักษณะลามกอนาจารแล้วส่งต่อให้คนอื่นๆ ด้วย
แล้วทางออกสำหรับผู้ปกครองคืออะไร?
หลักสูตรการเรียนรู้ Safe Internet For Kid สร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกและคนใกล้ตัว
จากสถิติข้างต้น ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าโลกอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่เราไม่อาจควบคุมหรือคาดเดาได้ ลูกหลานคนใกล้ชิดอาจกลายเป็นเหยื่อหรือเป็นผู้กระทำผิดได้โดยที่เราไม่รู้ตัว หากไม่ได้ดูแลกันอย่างใกล้ชิดและช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนเหล่านั้น
ด้วยความที่เด็กหรือเยาวชนในยุคนี้ ได้เติบโตมาพร้อมๆ กับสื่อออนไลน์ พวกเขาจึงชำนาญในการใช้งานเป็นอย่างมาก ในฐานะผู้ปกครองและคนใกล้ชิด เราก็ควรที่จะก้าวตามเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้ ‘รู้ทัน’ และสามารถให้คำปรึกษาแนะนำที่ดีแก่บุตรหลานของเรา
ล่าสุด dtac จึงได้ร่วมมือกับเทเลนอร์ กรุ๊ป และแพเร้นท์โซน จัดทำหลักสูตร Safe Internet ผ่านเว็บไซต์ SafeInternetForKid.com ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญที่ทั้งตัวพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กเองควรทราบ เพื่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ซึ่งตัวเว็บไซต์ได้ย่อยบทเรียนตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงเรื่องยากๆ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผ่านฟีเจอร์สนุกๆ อย่างเกมควิซตอบคำถาม
ด่านแรก เรามาทำความเข้าใจกับการไม่เปิดเผยตัวตนในโลกออนไลน์กันก่อน โดยมีคำถามที่น่าสนใจ อย่างคำถามที่ว่า Catfishing หมายถึงอะไร มีตัวเลือกให้ดังนี้
1. แย่งผู้ติดตามของคนคนอื่น
2. ส่งข้อความแย่ๆ ให้คนอื่นออนไลน์
3. กดไลก์ให้ทุกโพสต์ที่เห็นออนไลน์
4. แอบเป็นคนอื่นบนโลกอินเทอร์เน็ต
คำถามนี้ ดูจะเป็นคำศัพท์ใหม่ไม่คุ้นตาเราๆ เท่าไหร่ ในข้อนี้ได้ให้คำตอบไว้ว่า Catfishing หมายถึง แอบเป็นคนอื่นบนโลกอินเทอร์เน็ต หรือก็คือ ตัวตนปลอม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของโลกออนไลน์ ที่มีคนมากมาย สร้างตัวตนปลอมขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะควร ซึ่งส่งผลต่อมาเป็นเรื่องของการ Cyberbully การทำเรื่องผิดกฎหมาย และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายๆ อย่างในแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันออกไปของโลกอินเทอร์เน็ต ไม่แน่ว่าเด็กๆ ของคุณอาจสร้างตัวตนปลอมหรือกำลังพูดคุยกับตัวตนปลอมอยู่ก็ได้
เมื่อเรียนรู้การใช้อินเทอร์เน็ตเบื้องต้นแล้ว ควิซจะมีอีก 4 ด่านให้ผู้ปกครองหรือเด็กๆ ได้ตอบคำถามทำความเข้าใจในเรื่อง ความเสี่ยงในโลกออนไลน์ การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ ความไม่น่าเชื่อถือในของข้อความและการกระทำ และการป้องกันตัวเองในโลกออนไลน์ ถึงแม้คำถามจะยากสักหน่อย แต่ก็มีมุมห้องสมุดให้เข้าไปหาคำตอบและคำอธิบายเพิ่มเติม เพื่อตอบคำถามได้ง่ายๆ เมื่อผ่านด่านทั้งหมดจะได้รับใบประกาศนียบัตรการจบหลักสูตร Safe Internet ด้วย
ลองไปทำแบบทดสอบแบบเต็มๆ เพื่อดูว่าเรามีภูมิคุ้มกันจากภัยร้ายในโลกออนไลน์มากแค่ไหนได้ที่ SafeInternetForKid.com ซึ่งหลังจากทำเสร็จ นอกจากคุณจะได้รู้ความสามารถของตนเองแล้ว ยังสามารถส่งต่อไปให้กับคนในครอบครัวเพื่อเล่นด้วยกันได้อีกด้วย เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่คนรอบตัวของเหล่าเยาวชนจะเป็นแรงสนับสนุนให้พวกเขาก้าวพ้นจากการอยู่ในกลุ่มคนที่ไร้เดียงสาต่อเทคโนโลยี หรือ Digital Naive ไปสู่การเป็น Digital Native อย่างเต็มภาคภูมิ
เปลี่ยน Digital Naive ให้เป็น Digital Native
อย่างที่เราเล่าไปก่อนหน้านี้ว่า ถึงแม้เยาวชนในยุคนี้จะมีความชำนาญบนโลกออนไลน์ จนมีคำเรียกหนุ่มสาวที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีเหล่านี้ว่า Digital Native ซึ่งหมายถึงกลุ่ม Gen ที่เกิดมาในยุคของการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และโลกออนไลน์ แต่การจะเป็น Digital Native ที่แท้จริงได้นั้นนอกจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสม่ำเสมอแล้ว จำเป็นจะต้อง ‘มีความรู้ในการใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสม’ และ ‘ระบุความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย’ ได้ด้วย
มิเช่นนั้นคนในกลุ่มนี้ก็จะเป็นเพียง Digital Naive ที่มีความเสี่ยงในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในทางที่ไม่ถูกควร หรือ ตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์ ทั้งเรื่องของ Fake News อาชญากรรมออนไลน์ หรือมีตัวตนออนไลน์ที่พฤติกรรมไม่เหมาะสมได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเหล่า Digital Naive ให้กลายเป็น Digital Native อย่างสมบูรณ์
โดยพ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถชักชวนเยาวชนที่ใกล้ชิด ให้ลองเข้าไปดูรายละเอียดของแหล่งความรู้ออนไลน์แห่งใหม่ได้ที่ SafeInternetForKid.com และร่วมทำแบบทดสอบในเว็บไซต์ เพื่อวัดผลพร้อมๆ กับเรียนรู้การสร้างภูมิคุ้มกันบนโลกออนไลน์ให้กับตัวเองและคนรอบข้าง