เด็กๆ เคยฝันอยากเป็นอะไรกันบ้างครับ?
ถ้าคุณยังจำได้อยู่ ทุกวันนี้คุณได้ทำความฝันนั้นแล้วหรือยัง ผมไม่ได้มาตอกย้ำหรือตำหนิหากคุณยังทำสิ่งนั้นยังไม่สำเร็จ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ใกล้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย
แต่มีคนหนึ่งที่มีความตั้งใจอยากจะเป็นหมอตั้งแต่อายุ 18 ถึงแม้ว่าหลายคนจะสงสัยในความฝันเมื่อเห็นเธอกลายเป็นนางสาวไทย และกลายเป็นนักแสดงชื่อดัง แต่เธอกลับไม่เคยละทิ้งความฝัน ในวันนี้เธอกลายเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินและมีมูลนิธิ Let’s be heroes คอยช่วยเหลือคนไข้มากมาย
ขอชวนทุกคนมารู้จักแง่มุมต่างๆ ของ หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ ที่จะทำให้คุณเชื่อมั่นในตัวเองและเห็นความสำคัญถึงความฝันของคุณเอง
คุณหมอเริ่มมาทำโครงการต่างๆ ร่วมกับทาง Fujifilm ได้อย่างไรครับ
ถ้ากับแบรนด์เนี่ยก็คือรู้จักตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ เวลาพ่อแม่พาเจี๊ยบไปเที่ยวต่างประเทศก็จะใช้กล้องฟิล์มของ Fujifilm นี่แหละ เพราะในตอนนั้นเรายังไม่ได้ใช้กล้องดิจิทัลเหมือนอย่างในสมัยนี้
ก็เลยทำให้ดีใจมากที่ทางแบรนด์เขาเลือกเจี๊ยบเป็นหนึ่งใน Influencer ของโครงการ Power of Print ที่นำภาพถ่ายที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้มาจัดแสดง นั่นก็เป็นโครงการแรกที่เจี๊ยบได้ร่วมงานกับทาง Fujifilm ค่ะ
การร่วมงานครั้งนี้ทำให้คุณหมอประทับใจอะไรบ้าง
ทำให้เจี๊ยบเห็นคุณค่าของการถ่ายรูปมากขึ้นนะ เจี๊ยบเริ่มคิดมาสักระยะหนึ่งแล้วว่าทุกวันนี้เราถ่ายรูปกันมากมาย เจอเรื่องอะไรก็ถ่ายไปหมด แถมบางทีเรากดรัวๆ เลยนะเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดที่สุด (หัวเราะ)
แต่พอเจี๊ยบกลับไปย้อนดูภาพเก่าๆ อย่างเช่น ตอนวันเกิดเจี๊ยบสมัยเด็กๆ ที่จะมีถ่ายไว้ทุกปี หรือภาพถ่ายเวลาไปเที่ยวกับที่บ้านแล้วถูกคุณพ่อกับคุณแม่ให้ไปยืนตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งตัวเราตอนนั้นก็ไม่ได้อยากจะถ่ายสักหน่อย ใจนี่ไปอยู่ที่ร้านของเล่นแล้ว แต่ภาพพวกนี้แหละ ที่เรากลับมาดูแล้วเกิดความรู้สึกคิดถึง อบอุ่นใจเสมอ เจี๊ยบเลยอยากให้ภาพแบบนี้มีไว้ในชีวิตเราอีกเยอะๆ
แล้วทุกวันนี้คุณหมอเป็นคนชอบถ่ายภาพอะไรครับ
ถ้าไม่ท่องเที่ยวใช่ไหมคะ เจี๊ยบก็จะถ่ายภาพครอบครัว สิ่งที่เจี๊ยบรัก ของที่เจี๊ยบรัก
ความจริงแล้วตอนเด็กๆ เจี๊ยบไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับความทรงจำเท่าไหร่ แต่พอได้ก้าวเข้ามาทำงานเกี่ยวกับชีวิตคน โดยเฉพาะเป็นหมอฉุกเฉิน เจี๊ยบจะพบเจอกับการพลัดพราก การลาจากกัน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจเสมอ แล้วเจี๊ยบก็จะนึกย้อนกับตัวเอง ก็เป็นข้อดีนะที่มันทำให้เราใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท เพราะว่าไม่แน่พรุ่งนี้มะรืนนี้เราอาจจะเป็นคนนั้นก็ได้ที่เสียชีวิตลงหรืออะไรอย่างนี้
รูปถ่ายพวกนี้มันสามารถเป็นตัวแทนความทรงจำบางอย่างได้ ถึงความทรงจำมันอยู่ในสมองไม่ได้อยู่ในจิตใจเราก็จริง แต่รูปถ่ายก็ช่วยเรียกความทรงจำเรากลับมาได้ เพราะแบบนี้ภาพของเจี๊ยบก็คงแบบถ่ายหมา ถ่ายแมว ถ่ายหลาน เพราะเดี๋ยวอีกไม่นานหลานเจี๊ยบก็จะโตแล้วอะไรอย่างนี้ เจี๊ยบก็จะได้มีรูปตอนเด็กของเขาเก็บไว้ หรือถ่ายพ่อแม่ตอนที่เขายังแบบหัวเราะยิ้มได้มีความสุขอยู่แบบนี้ค่ะ
ถ้าเกิดตอนนี้มีกล้องตั้งอยู่เพื่อรอถ่ายรูป คุณจะยิ้มอย่างไรให้กล้องครับ
ขอบคุณครับ อยากให้คุณหมอเล่าถึงที่มาของโครงการ Let’s be heroes ให้เราฟังได้ไหมครับ
จุดเริ่มต้นนี่ก็เริ่มมาตั้งแต่ก่อนที่จะเป็นคุณหมอแล้วค่ะ เรียกว่าก็เริ่มมาตั้งแต่ตอนอายุ 18 ที่เจี๊ยบไปฝึกงานแล้วเจอเข้ากับเหตุการณ์ที่กระตุ้นให้อยากเป็นหมอ อยากเปิดฟรีคลินิก พอเรามีความตั้งใจนี้ก็ทำให้เราไปสอบหมอ แล้วก็ไปประกวดนางงามต่ออีกที
งงใช่ไหมคะว่าประกวดนางงามเกี่ยวกันยังไง ก็เพราะว่าจะได้ให้ทุกคนได้รับรู้ถึงไอเดียของเรา ให้คนที่เขาเห็นด้วยมาร่วมบริจาคสมทบทุน หรืออย่างน้อยก็ทำให้ไอเดียนี้ได้กระจายออกไปถึงคนวงกว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งวันนี้มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ เป็นความสำเร็จนึงที่วันนั้นที่เจี๊ยบตัดสินใจใส่ส้นสูง (หัวเราะ)
ก็นั่นแหละค่ะ ก็เป็นจุดที่ทำให้เจี๊ยบมีทุกวันนี้แล้วก็สามารถทำฟรีคลินิกในรูปแบบ Let’s be heroes เป็นมูลนิธิ เพราะว่าพอเราโตขึ้นมา เราเรียนรู้ระบบการแพทย์ต่างๆ ระบบสาธารณะสุข แล้วก็รู้สึกว่าการช่วยเหลือ บางทีเราไม่อยากจำกัดอยู่แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างเช่น เจี๊ยบบอกเจี๊ยบจะทำโครงการนี้อย่างเดียว แต่พอดีเจี๊ยบเห็นว่าอันนี้อยากช่วยจังเลย นึกออกไหม บางทีเราขอรับบริจาคเงินเหมือนในเรื่องนี้อย่างเดียว แล้วเราเอาไปช่วยอันนั้นมันก็ดูผิดเจตนาของคนที่บริจาค เจี๊ยบก็เลยตั้งมาแบบนี้แหละ อะไรที่กำลังต้องการความเดือดร้อนถ้าเราช่วยได้เราก็จะช่วย
Let’s be heroes เป็นมูลนิธิที่มีแนวทางเป็นอย่างไรครับ
โครงการหลักๆ ของเรามีอยู่ 3 อันนะคะ
อันแรกเลยก็คือฟรีคลินิก เป็นรูปแบบฟรีคลินิกโรคเฉพาะทางที่เราจะเดินทางไปยังพื้นที่ที่คลาดแคลน โดยไอเดียนี้เกิดมาจาก อ.พญ.พรรณอร เฉลิมดำริชัย และคณะกรรมการของมูลนิธิ เพื่อดูแลคนไข้ได้ไกลที่สุด เพราะในบางพื้นที่เขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์การรักษาเพราะว่าไม่มีบัตรประชาชน เหมือนอย่างน้องๆ หมูป่าบางคนก็ไม่ได้สัญชาติไทยทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการแพทย์ได้ รวมถึงคนไข้ที่ต้องการแพทย์รักษาเฉพาะโรคถ้าจะต้องรักษาก็ต้องพาตัวเองเข้าเมืองใหญ่ ซึ่งก็ทำให้ค่าใช้จ่ายของเขาสูงขึ้นไปอีก เราก็ต้องการไปช่วยตรงจุดนี้
อันดับที่สองคือการกู้ชีพ CPR หรือการปั้มหัวใจให้คนไข้ฟื้นขึ้นมา ส่วนนี้มาจากอาชีพส่วนตัวของเจี๊ยบเองที่เป็นแพทย์ฉุกเฉิน ความต้องการของเราก็คืออยากให้ความรู้กับทุกคนเพื่อให้เขาเป็นหูเป็นตาและช่วยเหลือยามเกิดปัญหากันเองได้ โดยเราจะเปิดสอนใช้เครื่อง AED ให้กับประชาชนทั่วไปเดือนละครั้งทุกเดือน
อันดับสุดท้าย มาจากความคิดว่าทุกวันนี้เราเอาเปรียบสัตว์อื่นๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะแบบนั้นเราจึงควรช่วยเพื่อนร่วมโลกของเราด้วย แต่ก็ยอมรับว่าเรายังไม่ได้มีจุดที่ชัดเจนว่าจะเดินทางไปทางไหน แต่ว่าอย่างน้อยเราพร้อมที่จะช่วยสิ่งเหล่านี้ โดยโครงการแรกที่ทำก็คือไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าให้กับสุนัขตามพื้นที่สีแดงที่ระบาดในช่วงนั้นค่ะ
อะไรที่ทำให้ความฝันตั้งแต่อายุ 18 อยู่กับเรามาได้ถึงวันนี้
จะว่าไปก่อนจะมาถึงจุดนี้ก็เกิดอุปสรรคเยอะมากนะคะ อย่างในตอนเรียนก็เคยคิดจะลาออก เพราะเหนื่อยและท้อ หรือเคยเกเรอะไรอย่างนี้ด้วยนะ แต่สุดท้ายก็มานั่งคิดกับตัวเองว่านี่คือความฝันเรา ถ้าเราไม่ทำแล้วจะไปทำอะไร นึกออกไหม แล้วที่ทำทั้งหมดมาก็เพื่อสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นมันก็มีแรงให้เราสู้ต่อไป แล้วพอวันนี้มันคล้ายๆ กับฝันเป็นจริงแล้ว แต่มันก็ยังมีหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เพอร์เฟกต์ ยังไม่ได้เป๊ะขนาดนั้นหรืออะไรอย่างนี้ ก็คงเป็นการที่เราต้องพัฒนาเรื่อยๆ ให้มันดีขึ้นไปอีก จนอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งที่สำคัญตอนนี้ ในความฝันเจี๊ยบว่าคงอยากทำช่วยในสิ่งที่เราอยาก หรือว่าเวลาเราเจอคนที่เดือดร้อนมา หรืออะไรก็ตามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราช่วยได้ แล้วก็อยากให้ยั่งยืน คือไม่อยากให้ทำ เหมือนเพราะว่าที่เคยพูดไว้แล้วก็จบไป แต่อยากให้มันอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็อยากทำให้ทั้งคนที่รับ ทั้งคนที่ให้ไม่เดือดร้อน อยากให้ทีมงานเราก็มีความสุข ทุกคนก็มีความสุขในการทั้งรับทั้งให้ค่ะ
ในฐานะหมอ เทคโนโลยีช่วยให้การรักษาสมัยนี้สะดวกสบายขึ้นมากแค่ไหนครับ
มันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ อย่างเวลาตอนเราผ่าตัดรักษาคนไข้ก็จะมีแว่บนึงคิดถึงมานะว่า “โห ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ไม่มีอุปกรณ์พวกนี้ต้องหนักมากแน่ๆ เลย” คือเจี๊ยบว่าเขาต้องอดทนต่อความเจ็บมากๆ แน่เลย
อย่างในสมัยก่อน คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าการถอนฟันต้องเอาฟันไปผูกกับประตูแล้วดึงให้หลุด คือฟังแล้วรู้สึกเจ็บขึ้นมาเลยใช่ไหมคะ แต่เดี๋ยวนี้เราปวดฟันก็ฉีดยาชาเสร็จแล้วก็เย็บแผลแบบไหมละลาย แทบไม่รู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ำ
รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อคุณหมอรู้ว่า Fujifilm ได้ทำการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้วยครับ
ดีใจค่ะ เจี๊ยบดีใจมาก เป็นความดีใจในฐานะคุณหมอโดยไม่เกี่ยวกับการเป็น Influencer หรืออะไรก็แล้วแต่ เจี๊ยบดีใจที่บริษัทที่ทำกล้องถ่ายรูปสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยชีวิตคนได้ด้วย
เพราะแน่นอนอยู่แล้ว เทคโนโลยีที่มีทำให้เราอายุยืนขึ้น ซึ่งเจี๊ยบว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ มันทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้นานขึ้น เพื่อทำสิ่งที่ดีขึ้น หรือว่าได้อยู่กับคนที่เรารักได้นานขึ้น ได้ใช้ช่วงชีวิตนี้ที่นานขึ้น ดีใจที่มีคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่ะ
ภาพแห่งความทรงจำในฐานะคุณหมอคือภาพแบบไหนครับ
มันจะมีบางครั้งที่เราเจอคนไข้เยอะๆ โวยวาย อาละวาด หรือญาติโมโหในห้องฉุกเฉิน เรื่องพวกนี้มันบั่นทอนอารมณ์เรามากๆ เลยนะ
แต่ทุกอย่างมันก็คลี่คลายเสมอเวลาที่เราได้เห็นคนไข้กลับบ้าน เดินมาขอบคุณเรา บอกกับเราว่าจะกลับบ้านแล้วนะ เพราะว่าเจี๊ยบว่าคนไข้ทุกคนที่มาหาหมอก็อยากกลับไปหาครอบครัวของเขาทุกคนแหละ ดังนั้นในฐานะหมอการได้รักษาและส่งเขากลับไปหาคนรักอย่างแข็งแรงก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเรา
ภาพแบบนี้แหละที่เจี๊ยบมีความสุข ทำให้หายเหนื่อย และอยากตื่นมาทำงานในทุกๆ วันค่ะ