ชื่อของ ‘กิฟฟารีน’ เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยมาตลอด 27 ปี ในฐานะแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันที่ครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค และโดยเฉพาะกับสินค้าสุขภาพและความงามที่เป็นเหมือนกับเรือธงของกิฟฟารีนมาตลอด
เส้นทางอันยาวนานของการสร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นถึงแพสชันในการทำงานที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจ จนกระทั่งเติบโตแข็งแรงเช่นที่เห็นในปัจจุบัน เบื้องหลังอยู่ภายใต้การนำทางโดย พญ.นลินี ไพบูลย์ CEO ผู้เป็นลมใต้ปีกอันแข็งแกร่งให้กับกิฟฟารีนเสมอมา
เราจะพาคุณย้อนเวลากลับไปฟังเรื่องราวการก่อร่างสร้างแบรนด์ของกิฟฟารีน ผ่านเวลาและความท้าทายในหลายวิกฤตของประเทศ แต่ก็ยังยืนหยัดเป็นแบรนด์ที่คนไทยผูกพันส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไปจนถึงอนาคตเส้นทางข้างหน้าของกิฟฟารีน
จากหมอสู่นักธุรกิจ จุดเริ่มต้นของกิฟฟารีน
จากลูกสาวในครอบครัวข้าราชการที่ใฝ่ฝันอยากเรียนแพทย์ จนกระทั่งจบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยความสนใจในด้านผิวหนังเป็นพิเศษ การใช้ทุนนำพาคุณหมอมาสู่การศึกษาต่อในด้านสูตินรีเวช “ตอนนั้นรู้สึกชอบวิชาชีพที่เราทำอยู่ เพราะได้คุยกับคนไข้แล้วมีความรู้สึกว่าคนไข้ชอบคุยกับเรา ถ้าเรายิ้มให้เขา เหมือนความกลัว ความกังวลของเขาจะหายไปสักครึ่งหนึ่งแล้ว”
แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันหลังจากการเปิดคลินิกเล็กๆ หลังแต่งงานในย่านห้วยขวาง แม้จะมีคนไข้ไม่มากนัก แต่ก็ใส่ใจในการรักษาโดยเฉพาะเรื่องผิวหนังจนถึงขั้นทำครีมด้วยตัวเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นจากคนที่เข้ามาทักถามว่า ทำไมไม่ลองทำขายตรงดูล่ะ จนเกิดเป็นบริษัทแรกขึ้นมาก่อน
“ตอนนั้นสิ่งที่พกมาด้วยมีเพียง หนึ่ง ความรู้เรื่องสินค้า เพราะว่าเราผลิตเอง กับ สอง ความเป็นหมอค่ะ ก็เลยทำให้เราดูแลนักขายที่มาช่วยเราช่วงนั้นเหมือนหมอดูแลคนไข้ แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าเขารัก เขาเป็นคนสอนเราด้วยซ้ำไปว่างานขายตรงคืออะไรเพราะเรายังจับต้นชนปลายได้ไม่ดีเลย แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เรารับผิดชอบ จำได้ว่าเคสหนึ่ง เคยมีปัญหาเรื่องแพ้ เราบินไปดูแลเขาถึงหนองคายเลยนะ ก็เป็นความประทับใจสำหรับนักขาย”
หมอนลินีในวัยสามสิบบวกๆ มาพร้อมกับแพสชันครั้งใหม่ในบริษัทใหม่ “ตอนจะเริ่มทำขายตรง เราเริ่มมีความรู้สึกว่าเราอยากรวยนะคะ เราจะไปทำอะไรดี เราจะกลับไปเป็นหมอก็ไม่ได้แล้วเพราะลาออกมาหลายปีแล้ว ก็เลยคิดว่าอยากจะมาทำกิฟฟารีนนี่แหละค่ะ”
“แต่จากรากฐานเดิมของตัวเอง เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เลยคิดว่าอยากจะเริ่มต้นด้วยการทำโรงงานของเราเอง เราจะได้พูดได้เต็มปากว่าเราใส่อะไรลงไปในนั้น และมีมาตรฐานที่ดีอย่างไร เรียกว่าก้าวเข้ามาในแบรนด์ของกิฟฟารีนคราวนี้มาด้วยแพสชันที่ต่างจากตอนที่อยู่ในบริษัทแรก บอกตรงๆ คราวนี้ไม่อยากรวยแล้ว แต่มันเป็นความท้าทายของชีวิตที่ว่าเราต้องทำให้สำเร็จ”
แรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนกิฟฟารีนมาตลอด 27 ปี
“อยากจะเรียกว่ามันเป็นความรับผิดชอบมากกว่า” หนึ่งประโยคสั้นๆ ที่แทนความหมายการทำงานของกิฟฟารีนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
“มันเหมือนคำมั่นสัญญาเราให้กับพนักงานไปว่า เราจะดูแลให้เขามีชีวิตในครอบครัวที่ดีขึ้น มีเงินส่งลูกเรียนหนังสือ มีชีวิตพื้นฐานของคนไทยที่ดีๆ ในฐานะเจ้าของกิจการที่สง่างาม ควรจะมีบ้าน มีรถ ไม่มีหนี้สิน อันนี้ก็คือสิ่งที่มันเป็นความท้าทายที่บอกกับตัวเราเองว่าเราหยุดไม่ได้ ถอยไม่ได้ ถึงเราจะตันก็หยุดไม่ได้ ก็ต้องหาคนมาทำต่อจากเราเป็นมือรองเป็นรุ่นต่อไป”
เบื้องหลังของความท้าทายที่ไม่มีวันหยุดของกิฟฟารีน คือการจัดการระบบการทำงานให้มีความคล่องตัว สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนทำงานตามยุคสมัยและตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกันกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งมาจากงานวิจัยที่อัปเดตอยู่เสมอ
“เรามีเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว เพราะในโรงงานของเรามีทีม R&D ที่แข็งแรงมาก ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง อะไรก็ตามที่เป็นวัตถุดิบใหม่ๆ สารสำคัญใหม่ๆ ที่มีงานวิจัยรับรองและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เราสามารถเลือกมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ตรงนี้ก็ทำให้นักธุรกิจที่ทำงานกับเรา เขาเกิดความรู้สึกว่าเขามั่นใจ เพราะทุกอย่างที่เป็นกิฟฟารีนสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลตามหลักวิชาการทางการแพทย์ ทั้งหลักวิชาการทางเครื่องสำอาง”
กับลูกค้าผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ค้นคว้าหาความรู้ก่อนซื้อสินค้าเสมอ “เขาจะรู้ว่ากิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ที่เขาตอบตัวเองได้ว่าทำไมเขาต้องซื้อหรือมันดีตรงไหน สำหรับนักขายหรือนักธุรกิจก็มีความภาคภูมิใจว่าเขารู้สึกว่าบริษัทมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยตลอดเวลา เขาอาจจะไปชวนคนที่อายุน้อยลง ซึ่งก็มีสิ่งที่คนอายุน้อยลงสามารถก้าวเข้ามาทำงานด้วยวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ แล้วก็ใช้ผลิตภัณฑ์ที่คนรุ่นใหม่ยอมรับได้ค่ะ”
ไลฟ์สไตล์และเคล็ดลับดูแลตัวเองให้เป๊ะปังอยู่เสมอ
การทำงานที่หนักหน่วงเป็นเวลายาวนานของคุณหมอ ย่อมตามมาด้วยความรักตัวเองผ่านการดูแลสุขภาพ
“เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเลย พึ่งจะมาออกกำลังกายตอนอายุประมาณ 42-43 ปี ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองร่างกายไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นทุกวันวันละหนึ่งชั่วโมงจนถึงวันนี้ เราจะมีวินัยเลยว่าจะต้องออกกำลังกาย หนึ่งชั่วโมงนี้บอกว่าเป็นหนึ่งชั่วโมงที่ทำเพื่อตัวเองและคนที่เรารัก เราจะได้แข็งแรงนะคะ นี่คือสิ่งที่ตอบตัวเอง”
คุณหมอฝากคำแนะนำเรื่องสุขภาพทุกคนทุกวัยว่า อยู่ที่การดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีอยู่เสมอ “คนเรามีอายุ 2 อย่างนะ อายุจริงกับอายุจิต อายุจริงอาจจะ 64 ย่าง 65 ปี แต่อายุจิตยังอยู่ที่ 38 ปี เพราะว่า 38 เป็นเลขของคนทำงานนะคะ ก็จะพยายามที่จะให้น้ำหนักตัวเท่ากับตอนอายุ 38 ปี ใส่เสื้อผ้าที่ตอน 38 ปีใส่ได้ แล้วก็ดูแลตัวเอง มีวิธีคิดที่เฟรช แล้วสดใสมาก เพราะว่าธุรกิจแบบนี้มันต้องยืนพูดหน้าเวทีบ่อยมาก เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลเรื่องรูปร่างเลยต้องชั่งน้ำหนักทุกวันเลยค่ะ”
“อีกอย่างคือ ด้วยความที่เราเป็นคนทานเก่งมาก แล้วทานทุกอย่างที่ไม่ควรทาน จึงจะต้องมีตัวช่วยก็คือ Fitt Meal เพราะว่าทำให้เรารักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ ส่วนมากจะเป็นมื้อเย็นที่เราไปทานเยอะ วันรุ่งขึ้นก็ทาน Fitt Meal มันก็จะช่วยเลี้ยงน้ำหนักให้คงที่นะคะ”
นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว การดูแลหัวใจคือการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตให้ดีคืออีกสิ่งที่คุณหมอแนะนำให้กับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ “เราสอนพนักงานตลอดเวลาว่าให้ตอบแทนตัวเอง สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของนักธุรกิจก็คือต้องบริหารเงินเป็น แล้วต้องรู้จักใช้เงินซื้อความสุขให้ตัวเองได้ คนเราต้องอยู่ทางตรงกลาง ส่วนหนึ่งเราทำเพื่อตัวเอง อีกส่วนทำเพื่อทำงาน เพื่อการลงทุน ใช้ Work- Life – Balance ให้ดีๆ แล้วชีวิตจะลงตัวค่ะ”
อนาคตที่มุ่งไปข้างหน้าของกิฟฟารีน
เราถามถึงการมองไปในอนาคตข้างหน้าทั้งขององค์กรอย่างกิฟฟารีน นักธุรกิจ และผู้บริโภค คุณหมอชวนให้มองตั้งต้นจากภาพกว้างในระดับมหภาค “มองข้อเท็จจริงกับสิ่งที่เราจะต้องคิด ข้อเท็จจริงคิดว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี สิ่งที่มันเป็นผลกระทบในประเทศไทยเราก็จะเยอะไปด้วย แต่วิธีการแก้ปัญหาจะมี 2 อย่าง คือเรามองแบบนี้แล้วเราคิดอย่างไร พี่มองว่าพี่ต้องหาโอกาสในขณะที่เกิดสิ่งที่เรียกว่าวิกฤตนี้ให้ได้”
“เพราะสำหรับกิฟฟารีนเอง เรามี 2 อย่างก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผู้บริโภค แล้วเรามีอาชีพที่ช่วยทำให้คนสามารถใช้เวลาหรือแม้กระทั่ง Work From Home อยู่บ้าน หรือยังทำงานประจำอยู่ ก็สามารถทำงานในกิฟฟารีนแล้วสร้างรายได้ที่ดีได้ อันนี้ต่างหากที่เป็นโอกาส อยู่ที่ว่าเราจะสามารถสื่อสารโอกาสนี้ไปให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างไร”
ที่สำคัญคือ การทำงานกับกิฟฟารีนไม่ใช่การเดินเพียงเดียวดาย แต่คือการช่วยเหลือกันเป็นทีมก็เป็นส่วนผลักดันสำคัญที่ทำให้อาชีพนี้เป็นความมั่นคงและสร้างความสุขให้กับผู้คนได้ทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภค “เรามีการทำงานเป็นทีมแบบช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้นการทำงานแบบ Multi-Level Marketing ก็ยังน่าจะอยู่ต่อไปได้ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะมีวิธีการพูดอย่างไรให้คนรุ่นนี้เขาเข้าใจว่า งานนี้ไม่ใช่งานที่เอาเปรียบใคร ไม่ต้องไปตื๊อใคร ไม่ต้องไปยัดเยียดใคร เพราะเขาไม่ชอบ นี่คือนิสัยของคนรุ่นใหม่ที่เราต้องเข้าใจเขามากๆ ค่ะ”
คุณหมอทิ้งท้ายไว้ว่า ธุรกิจของกิฟฟารีนเป็นเหมือนการดึงศักยภาพของคนออกมาเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีตามความต้องการและเป้าหมายของชีวิตตัวเอง
“ถ้าเป็นเจนเดิมในรุ่นก่อตั้งของกิฟฟารีน เขาต้องการธุรกิจที่ยั่งยืน เป็นมรดกตกส่งถึงลูกถึงหลานได้ แต่ถ้าเป็นคนสมัยนี้เขาไม่ได้มองไกลขนาดนั้น บางคนยังไม่มีครอบครัวด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาตอบโจทย์ก็คือว่า ถ้าเขาเข้ามา แล้วเขาใช้ความสามารถเต็มกำลัง ใช้เทคโนโลยีที่เขามี ใช้ความรู้ที่เขามี แล้วจะสร้างเม็ดเงินจากกิฟฟารีนได้ดีที่สุด เร็วที่สุด และเป็นตัวเองโดยไม่ฝืนชีวิตของเขาได้ เขาต้องทำด้วยวิธีใด และกิฟฟารีนมีวิธีนั้นให้เขาค่ะ”