เชื่อว่าเด็กผู้ชายทุกคนที่เคยเล่นฟุตบอลกับเพื่อนสมัยเด็กๆ การเป็น ‘นักฟุตบอลอาชีพ’ คือหนึ่งในความฝันวัยเยาว์ที่อยากจะไปให้ถึง
ระหว่างทางกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หลายคนล้มเลิกความตั้งใจไปก่อน แต่ไม่ใช่สำหรับ แอ้ม – สักการวิช นิ่มมา ปราการหลังแห่งสโมสรราชนาวี ที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งอาการบาดเจ็บ และความมั่นใจในสนาม ที่เป็นเหมือนบททดสอบทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่ง (Resilience) ของเหล่านักฟุตบอลทุกคน
กว่าที่เขาจะมายืนอยู่ในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ จุดที่เหมือนเป็นความฝันในวัยเยาว์ได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรคือสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ และอะไรเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้ง
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางลูกหนัง
ชีวิตในวัยเด็กของ แอ้ม – สักการวิช นิ่มมา ในวัย 6 ขวบ ก็เหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่หลงใหลในกีฬาฟุตบอล เมื่อได้เห็นเพื่อนแถวบ้านที่ตั้งทีมเตะฟุตบอลกัน ก็อดไม่ได้ที่อยากจะลองเล่นบ้าง
“ผมเห็นครั้งแรก ผมรักเลย เพราะลูกฟุตบอลลูกกลมๆ เราสามารถคอนโทรลมันได้ เลี้ยงได้ หลบได้ ยิงมันได้ ผมมั่นใจว่าโตไปต้องได้เล่นฟุตบอลอาชีพแน่นอน”
จากความประทับใจแรกที่ได้เห็นลูกฟุตบอลที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ ทำให้เด็กชายเริ่มจริงจังกับการเล่นฟุตบอลมากขึ้น เปลี่ยนจากการเล่นสนุกแถวบ้าน ให้กลายเป็นการฝึกซ้อมที่หนักมากขึ้น การเรียนอยู่ที่โรงเรียนอรรถวิทย์ ย่านบางนา ชีวิตประจำวันมีแต่การซ้อม ตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่มทุกวัน แม้ว่าจะเป็นภารกิจที่หนักหนาสำหรับเด็กวัยเพียงแค่ 8 ขวบ แต่แอ้มก็ยืนยันว่าฟุตบอลทำให้เขามีความสุขมากที่สุด โดยมีแรงสนับสนุนสำคัญคือครอบครัว
“รองเท้า เสื้อผ้า กางเกง อะไรที่เกี่ยวกับฟุตบอลที่ผมอยากได้ พ่อแม่หาให้ผมได้ทุกอย่างเลย ช่วงแรกเขาก็ไม่ได้คาดหวัง พอผมเล่นบอลนักเรียน ได้แชมป์จากการแข่งขันไมโลฟุตซอล แล้วผมได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยม เขาก็เลยคาดหวังแล้วว่า โตไปเราจะได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ”
การได้แชมป์ไมโลฟุตซอล รวมถึงการได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของแอ้มในตอนนั้น เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่พิสูจน์ถึงทักษะความสามารถและเส้นทางของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่สดใส จนมีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ และได้ตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในฐานะดาวรุ่งที่น่าจับตา ตั้งแต่อยู่ชั้น ม.3 เท่านั้น
จุดพลิกเกมที่ฝึกฝนทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่ง
หลังจากที่ได้รับโอกาสจากสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มกลับถูกยกเลิกสัญญา จากปัญหาภายในสโมสรเอง ทำให้เขารู้สึกท้อและเผชิญกับความไม่แน่นอนในเส้นทางสายนี้ แต่นั่นยังไม่เท่ากับอาการบาดเจ็บ ที่เหมือนเป็นฝันร้ายของนักฟุตบอลทุกคน
“ผมได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า ต้องพักถึง 2 เดือน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกไหม เหมือนคนที่เล่นฟุตบอลทุกวัน แล้วพอวันหนึ่งต้องเข้าแค่ฟิตเนส สระน้ำ เจอแค่หมอ ไม่เจอเพื่อน เจอแต่อะไรที่ไม่ใช่ลูกฟุตบอล รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผมเลย ตอนนั้นคือผมท้อมาก”
อาการบาดเจ็บทำให้แอ้มหมดโอกาสลงสนาม ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมต่างกำลังพัฒนาฝีเท้าไปเรื่อยๆ ประกอบกับข่าวของนักฟุตบอลระดับโลกที่บาดเจ็บแล้วไม่สามารถกลับมาคืนฟอร์มเดิมได้อีกเลย ก็ยิ่งทำให้เขาเริ่มกดดันตัวเองมากขึ้น แต่กำลังใจจากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะครอบครัว คอยกระตุ้นให้กลับมาลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง
“คนมันเจ็บแล้วล้ม ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาให้ไว เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้กลับเป็นตัวจริงอีกครั้ง เพราะว่าฟุตบอลมันมีคนรอที่จะแย่งตำแหน่งตัวจริงจากเราตลอด
ล้มแล้วก็ต้องรีบลุก ต้องมีทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่ง”
การที่แอ้มกลับมาเล่นฟุตบอลได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง เปรียบเหมือนจุดพลิกเกม จากที่ทีมเคยเสียเปรียบจนเกือบจะแพ้ กลับสร้างโมเมนตัมใหม่ของการแข่งขันให้มีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้อีกครั้ง เรียกว่าเอาชนะบททดสอบทางจิตใจจนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เมื่อมีโอกาสเข้ามาใหม่ นักเตะหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนั้น เพราะหลังจากหมดสัญญากับสโมสรโดม เอฟซี แอ้มก็ได้ย้ายมาสู่สโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่าง สมุทรปราการ เอฟซี ทีมบ้านเกิดของเขาเอง
“ตอนไปร่วมทีมสมุทรปราการ มีนักเตะที่เป็นตัวเก่าที่เก่งมากแล้วเล่นตำแหน่งเดียวกับผม ทำให้ผมต้องพัฒนาตัวเองตลอด เพื่อที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงให้ได้ ทางสต๊าฟโค้ชเขาก็เห็นความมุ่งมั่นของผม ที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาก็เลยลองให้ผมเป็นกัปตันทีมดู”
จากความตั้งใจที่เต็มร้อยทุกแมทช์ วินัยในการฝึกซ้อมที่ไม่เคยขาด มีทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่ง รวมถึงมีจิตใจที่เข้มแข็ง ล้มแล้วลุกได้ไว เปี่ยมไปด้วยพลังที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมทีมไม่มีตก ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น ‘กัปตันแอ้ม’ ที่คอยบัญชาเกมในแนวหลังของทีมปราการจนสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
ความฝันที่ต้องไปให้ถึง
แอ้มเผยว่า การได้เป็นถึงกัปตันทีมของสโมสรสมุทรปราการ เอฟซี แม้ว่าจะเป็นทีมในระดับไทยลีก 3 ก็เหมือนเป็นความฝันที่เคยวาดไว้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว แต่ที่เหนือไปกว่านั้น เมื่อเขาได้ก้าวเข้าไปสู่อีกขั้นหนึ่ง นั่นคือการได้เซ็นสัญญากับสโมสรราชนาวี ซึ่งเป็นทีมในระดับไทยลีก 2 และแน่นอนว่า เขาจะไม่หยุดอยู่เท่านี้แน่นอน
“การที่ผมที่ได้อยู่กับราชนาวีก็คือความฝันแล้ว แต่ความฝันจริงๆ คือผมอยากก้าวขึ้นไปไทยลีก 1 ให้ได้ ถ้าเราอยากไปอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ เราก็ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้”
จากเด็กคนหนึ่งที่เตะฟุตบอลตามเพื่อนแถวบ้าน ได้เติบโตมาสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างทางที่ไปสู่เป้าหมาย แอ้มอาจจะต้องพบกับบทพิสูจน์ในเส้นทางความฝันบนฝืนหญ้าอีกมากมาย ไม่ว่าจะล้มอีกสักกี่ครั้ง เชื่อว่าสักวันเขาจะไปถึงเป้าหมายนั้น
“กีฬาเป็นครูชีวิตให้กับผม หล่อหลอมให้ผมรู้จักลุกขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม รวมทั้งระเบียบวินัย ความมุ่งมั่น ความอดทน ความไม่ย่อท้อ ทำให้ชีวิตผมขับเคลื่อนมาข้างหน้าได้จนถึงทุกวันนี้ เพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายสูงสุดของผม คือการได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่”
ไมโลเชื่อว่ากีฬาให้อะไรมากกว่าแค่การแพ้ชนะ แต่กีฬาสอนให้รู้จักมุ่งมั่น ขยัน อดทน ไม่ยอมแพ้ มีทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่งพร้อมก้าวข้ามทุกอุปสรรค ล้มแล้วลุกได้ไว เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายและประสบความสำเร็จตามแบบฉบับของตัวเองในอนาคตได้อย่างแน่นอน