ปัจจุบันทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับกระแสของ EV (Electric vehicle) หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
เพราะไม่เพียงแต่เป็นการใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่าและประหยัดกว่าเท่านั้น แต่ยังเป็นเทรนด์ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในกลุ่มตลาดรถยนต์ที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีผลสำรวจจาก J.P. Morgan Research คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 ยอดขายรถ EV จะกินส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด
จากความสำเร็จของระบบ Hybrid ที่นำร่องไปก่อนหน้า สู่การเป็น EV โดยล่าสุด MINI แบรนด์รถยนต์ระดับโลกได้กระโดดเข้ามาในตลาด ด้วยการส่ง MINI Cooper SE รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100เปอร์เซ็นต์ รุ่นแรกจาก MINI โดยเปิดตัวในไทยเป็นที่แรกในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา
ความโดดเด่นที่ไม่เพียงแต่ราคาที่เปิดตัวเพียง 2,290,000 บาทเท่านั้น แต่ด้วยสมรรถนะที่ไม่ได้ด้อยกว่าเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันปกติ เพราะสามารถส่งพละกำลังได้สูงสุดถึง 184 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.3 วินาทีได้เทียบเท่ารถสปอร์ต และที่สำคัญคือการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ได้เป็นระยะทางสูงสุดถึง 217 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง เรียกว่านี่คือสมรรถนะของ EV แห่งอนาคตที่ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
การพัฒนาที่ไม่เคยหยุด
การพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนอย่างไฟฟ้า คือโปรเจกต์ที่หลากหลายแบรนด์พยายามพัฒนามาโดยตลอด โดยเฉพาะ MINI เองได้เริ่มต้นพัฒนา MINI E เพื่อทดสอบการใช้พลังงานไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2008 ก่อนที่ MINI Cooper SE Countryman ALL4 ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบปลั๊กอินไฮบริดจะออกจำหน่ายในปี 2017 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคนรัก MINI อย่างมากทั่วโลก ทำให้เกิดการพัฒนาสู่รถยนต์ EV แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้ชื่อ MINI Cooper SE หรือ MINI Electric ในปี 2020 นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวล่วงหน้ากว่ากำหนดเดิมที่วางไว้ถึง 3 ปี เนื่องจากกระแสของการใช้รถ EV ที่กำลังมาและตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมาก
การขับขี่ที่เร้าใจไม่แพ้เครื่องยนต์ปกติ
อย่างที่ทราบกันว่าเสน่ห์ของรถ MINI คือการขับขี่สไตล์ Go-Kart Feeling เมื่อได้รับการพัฒนามาเป็น EV เสน่ห์การขับขี่ตรงนี้ก็ยังไม่หายไป ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดย BMW สามารถให้แรงขับเคลื่อนได้ถึง 184 แรงม้า ส่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที และสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.3 วินาทีเทียบชั้นรถสปอร์ต และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว มาพร้อมกับระบบการนำพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (Regenerative Brake) ที่ทำให้รถชะลอความเร็วทันทีที่ยกเท้าออกจากคันเร่ง สร้างประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ นอกจากนั้นคือการพัฒนาเทคโนโลยีช่วงล่างเพื่อ MINI Cooper SE โดยเฉพาะ การลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำกว่ารุ่นปกติ 30 มิลลิเมตร เพื่อประสิทธิภาพในการกระจายน้ำหนักและการเข้าโค้งและยังมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ที่ช่วยให้การขับขี่เร้าใจยิ่งขึ้น โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน
ดีไซน์เหมือนแต่แตกต่าง
ด้านการออกแบบ มีการกำหนดจุดวางตำแหน่งของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแรงดันสูง ในรูปทรงตัว T บริเวณใต้รถ ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้าไปจนถึงบริเวณใต้เบาะหลัง ช่วยให้มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระมากเท่าที่จะเป็นไปได้ คงความคลาสสิกตามแบบฉบับมินิ 3 ประตูไว้ได้อย่างลงตัว มีแผงหน้าปัดดีไซน์สุดล้ำ ด้วยจอแสดงผลสีดิจิทัลขนาด 5.5 นิ้ว สไตล์ Black Panel พร้อมแสดงระดับพลังงานของแบตเตอรี่แรงดันสูง รวมทั้งเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ ด้านดีไซน์ของตัวถังภายนอก แม้ว่าจะเป็นการถอดแบบมาจาก MINI Cooper S เกือบทั้งหมด แต่มีรายละเอียดที่ต่างออกไป โดยเฉพาะกระจังหน้าสีเหลือง Energetic Yellow สะดุดตา และใต้ท้องรถที่มีแผ่นปิดเกือบรอบคัน เพื่อช่วยลดแรงต้านของอากาศ และที่สำคัญคือการออกแบบโครงสร้างสุดปลอดภัยที่ช่วยป้องกันทั้งมอเตอร์และแบตเตอรี่เป็นอย่างดี
ชาร์จไฟฟ้าได้สะดวกและรวดเร็ว
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของคนที่ใช้รถ EV ทุกวันนี้คือความกังวลเรื่องจุดชาร์จไฟฟ้าที่มีไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ให้บริการต้องพัฒนาต่อไป แต่สำหรับเจ้าของ MINI Cooper SE อาจไม่ต้องกังวล เพราะสามารถชาร์จจากระบบไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งจากปลั๊กไฟในบ้านโดยตรง ผ่านเครื่องชาร์จ MINI ELECTRIC Wallbox และจากสถานีชาร์จสาธารณะ
ความโดดเด่นคือ MINI ELECTRIC Wallbox สามารถรองรับกำลังไฟได้สูงสุดถึง 11 กิโลวัตต์ ชาร์จได้ 80 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 3.5 ชั่วโมง และถ้าหากมีหัวชาร์จสาธารณะแบบ DC fast-charging จะชาร์จได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียง 36 นาทีเท่านั้น โดยสามารถขับได้เป็นระยะทางสูงสุดถึง 217 กิโลเมตร หมดห่วงเรื่องพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอไปได้เลย
สำหรับแฟน MINI ที่สนใจสามารถพรีออเดอร์ MINI Cooper SE ใหม่ได้ทางออนไลน์ผ่าน www.mini.co.th ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.14 น. เป็นต้นไป ราคา 2,290,000 บาท รวมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard ครอบคลุมการบำรุงรักษานาน 3 ปี / 60,000 กิโลเมตรและการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง จำนวนจำกัดเพียง 25 คันในประเทศไทยเท่านั้น