เคยสงสัยไหมว่า คนตาบอดมองเห็นอะไร
สำหรับคนตาดีอย่างเราๆ ที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ เชื่อว่าคงจะจินตนาการได้ยาก ว่าในโลกอันมืดมิดของ คนตาบอด สิ่งที่พวกเขารับรู้และสัมผัสได้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร นั่นจึงทำให้เกิดช่องว่างของโอกาส ในสังคมทุกวันนี้ ที่ยังไม่ได้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนตาบอดอย่างที่ควรจะเป็น
The MATTER มีโอกาสได้พูดคุยกับ ขรรค์ ประจวบเหมาะ ประธานมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ที่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับคนตาบอดมากว่า 50 ปี ถึงสิ่งที่คนตาบอดมองเห็นและสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ จากคนตาดีอย่างเราๆ
คุณภาพชีวิตคนตาบอดทุกวันนี้
ตั้งแต่ผมคลุกคลีกับคนตาบอดมา พูดได้ว่าร่วม 50 ปีจนถึงวันนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับในอดีตถือได้ว่าชีวิตของ คนตาบอดมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมากๆ ทุกคนได้รับการศึกษาที่ดีและมีความเป็นอยู่ที่ดี ในอนาคตก็จะดีขึ้นไปอีก บางคนอาจจะมีชีวิตดีกว่าคนตาดีเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของคนตาบอดในสังคมมากขึ้น ทั้งด้านการศึกษา ที่นักเรียนตาบอดมีทางเลือกมากขึ้น และการประกอบอาชีพที่มีการให้โอกาสและการสนับสนุน รวมทั้งการการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และคนตาบอดเองก็มีใจใฝ่รู้ที่จะหาความรู้ที่ตนเองสนใจได้สะดวกขึ้น ทั้งจากแหล่งความรู้ทั่วไป และจากแหล่งความรู้ในองค์กรของคนตาบอดเอง
สิ่งที่คนตาบอดมองเห็น
เท่าที่ผมสัมผัสมา คนตาบอดเรียกว่ามีความมานะ อุตสาหะ มีความตั้งใจ มีความเพียรพยายามอย่างมาก คือการที่เขามองไม่เห็น ทำให้เขาต้องพยายามมากกว่าเป็นห้าเท่าสิบเท่า เพราะฉะนั้นเขาอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนตาดีเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเมื่อชีวิตเขาประสบความสำเร็จ เขาก็อาจจะได้ในสิ่งที่ต้องการจริงๆ บางทีคนตาดีมักจะคิดว่าตนเองรู้ดีกว่าคนตาบอด รู้ว่าคนตาบอดต้องการอะไร ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาทำงานกับคนตาบอด จะต้องเข้าไปใช้ชีวิตกับเขา ถึงจะรู้จริงๆ ว่าคนตาบอดเขาต้องการอะไร ผมคิดว่าครั้งแรกที่เคยพบกับคนตาบอด ผมรู้สึกได้ว่า ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เขาสามารถจินตนาการในสมองได้ว่าภาพเหล่านี้มันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเวลาเราเล่าอะไรให้เขาฟัง เขาจะจินตนาการเป็นภาพได้โดยที่มองไม่เห็น
คนตาบอดในตลาดแรงงาน
สมัยก่อนไม่มีกฎหมายที่จะให้คนตาบอดเข้าไปทำงาน คือเราไม่อยากจะเห็นคนตาบอดขายแต่ล็อตเตอรี่อย่างเดียว เราอยากจะให้คนตาบอดมีงานทำ จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการหางานหรือที่เรียกว่า Placement Committee ทำหน้าที่เป็นกรรมการที่จะต้องไปช่วยหางานให้คนตาบอด เมื่อเรียนจบแล้วต้องมีงานทำ โดยไปติดต่อบริษัทต่างๆ ซึ่งสมัยนั้นก็ยังไม่ได้มีบริษัทที่รับคนตาบอดเข้าไปทำงาน จนกระทั่งมีคนตาบอดคนแรกที่ได้ทำงานที่ธนาคารเป็นโอเปอร์เรเตอร์รับโทรศัพท์ ซึ่งการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโอกาสเหล่านี้คือสิ่งที่คนตาบอดสมควรได้รับ โดยเฉพาะการจ้างงานที่มีรายได้เพียงพอกับการดำรงชีวิต เมื่อคนตาบอดสำเร็จการศึกษาและมีโอกาสได้รับการจ้างงานแล้ว ก็ควรได้รับการฝึกทักษะต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้จริงอย่างเต็มศักยภาพในสถานประกอบการด้วย รวมถึงสวัสดิการในการอำนวยความสะดวกเพื่อลดอุปสรรคในการปฏิบัติงาน อย่างเช่น ผู้นำทาง ผู้อำนวยความสะดวก สื่อสิ่งพิมพ์ และทางเลือกอื่นๆ ที่เหมาะสม
โอกาสที่ยังต้องการแรงสนับสนุน
ภายใต้คำว่าโอกาส ยังมีอีกหลายด้านที่คนตาบอดยังไม่ได้รับ โดยเฉพาะการเข้าใจที่ถูกต้องและทัศนคติเชิงบวกจากสังคม คนตาบอดต้องการเข้าถึงบริการต่างๆ และได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นอย่างเท่าเทียม แต่ความเท่าเทียมก็ไม่ได้แปลว่าเหมือนกัน ซึ่งความเท่าเทียมสำหรับคนตาบอด คือการได้รับการอำนวยความสะดวกโดยทางเลือกที่ลดอุปสรรคจากความพิการ จนสามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้เหมือนคนปกติ เช่น จุดบริการคนพิการในห้างสรรพสินค้าหรือในหน่วยงานราชการ
แต่สิ่งที่มูลนิธิเราทำกันมาแล้วเห็นผลดีที่สุด คือโครงการเรียนร่วมที่ส่งเด็กตาบอดออกไปเรียนในโรงเรียนปกติ คือในอดีตเราจะมีการสอนเด็กตาบอดจนถึงมศ.3 แล้วพอเวลาที่เด็กสำเร็จการศึกษาแล้วต้องเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ปรับตัวไม่ได้ เดินทางไม่เป็นบ้าง เข้ากับสังคมไม่ได้บ้าง ตอนหลังเราจึงปรับให้พอจบ ชั้นประถมศึกษาก็ให้เด็กออกไปเรียนร่วมเลย คือให้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนตาดี เขาก็สามารถปรับตัวเข้ากับโลกของคนปกติได้ ซึ่งมูลนิธิได้ให้การสนับสนุนนักเรียนที่ออกไปเรียนร่วมโดยส่งครูที่มีความรู้ความชำนาญด้านการสอนเสริมการบริการวิชาการ และการฝึกทักษะด้านต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเรียนร่วมไปคอยให้บริการและสนับสนุนประจำอยู่ทุกโรงเรียนที่ได้ส่งนักเรียนออกไป เพื่อเติมเต็มการบริการทั่วไปจากโรงเรียนเรียนร่วมที่นักเรียนได้รับอยู่แล้วให้มีความเหมาะสมและสนองความต้องการเฉพาะของนักเรียนตาบอดได้มากยิ่งขึ้น
80 ปี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
คนตาบอดที่นี่ได้รับการปลูกฝังจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง จากคำสอนของอาจารย์เจนเนวีฟ คอลฟิลด์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดในประเทศไทย ว่านอกจากเป็นผู้รับแล้วต้องเป็นผู้ให้ด้วย ดังนั้นบทบาทของมูลนิธิคือผลักดันให้ศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ได้พัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ของรุ่นน้องผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิจนเป็นที่ยอมรับของสังคม คือเราได้ช่วยให้เขามีโอกาส แล้วเขาก็นำโอกาสที่ได้รับเหล่านี้ออกไปตั้งสมาคมต่างๆ มากมายในประเทศไทย ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคนตาบอด หรืออย่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการปี 2550 ที่เป็นตัวบทกฎหมายออกมาว่าสถานประกอบการ 100 คน จะต้องรับคนพิการ 1 คน เพิ่งออกมาเมื่อปี 2550 แต่มูลนิธิเราได้ช่วยหางานให้คนตาบอด ตั้งแต่ปี 2500 ต้นๆแล้ว จนเวลานี้มูลนิธิเองก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของกลไกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการเจริญเติบโตขึ้นมาจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพที่ทุกคนช่วยสนับสนุนกันมา
MORE THAN EYES CAN SEE มากกว่าที่ตาเห็น
แนวคิดมาจากว่า ทุกๆ อย่างที่คนตาบอดทำมันมากกว่าที่คนตาดีสามารถจะมองเห็น คนตาดีอาจไม่เคยรู้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือได้ พวกเขาทำอาหารได้ พวกเขาไปไหนมาไหนเองได้ ซึ่งคนตาบอดสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนตาดีมองเห็น สุดท้ายแล้วเราก็คาดหวังให้คุณภาพชีวิตของคนตาบอดในอนาคต อยู่ได้อย่างมีความสุข โดยที่สังคมไม่มองว่าพวกเขาเป็นภาระ
เสียงเล็กๆ จากคนตาบอด
“80 ปีที่ผ่านมา เราได้รับโอกาสมากขึ้นเยอะแล้ว แต่ถึงแม้ว่าเราได้รับ ก็ยังมีโอกาสที่ยังขาด นั่นคือการยอมรับและทัศนคติที่ดีต่อคนพิการ บางคนบอกว่าเราเกิดมาพิการชาตินี้ แสดงว่ามีกรรม แต่จริงๆ ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้น สิ่งที่เราจะช่วยกันก็คือการยอมรับฟังความคิดเห็น และความต้องการที่แท้จริงของคนพิการแต่ละประเภท โดยการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ มากกว่าการคิดแทน ทำแทน อยากให้สังคมเติมเต็มในสิ่งที่คนรอบข้างขาด ท้ายที่สุดเราก็จะเป็นสังคมเดียวกัน อยู่ด้วยกันได้ แล้วคนพิการก็จะไม่เป็นภาระเหมือนอย่างที่หลายคนคิด”
ขอบพระคุณคณะกรรมการบริหารมูลนิธิช่วยคนตาบอดที่มีความเมตตาและมุ่งมั่นช่วยกันทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดให้ดียิ่งขึ้น
“แต่ก่อนคนจะบอกว่าคนพิการเหมือนอยู่สังคมชั้นล่าง ในฐานะที่เราเป็นคนตาบอด เราก็พยายามผลักดันให้คนตาบอดได้มีการเรียนรู้ มีการพัฒนาตนเองขึ้นมาให้ถูกทาง เราจะไปขอความเมตตาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องทำตัวเองให้เป็นที่น่าเมตตากรุณาด้วย อยากให้สังคมทั่วไปเรียนรู้พวกเราและสร้างทัศนคติในทางบวกเดินลงมาหาเรา เจอกันตรงกลาง เหมือนต่างคนต่างให้ ทำให้เราได้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข”
ร่วมบริจาคเพื่อสานฝันที่มองไม่เห็น… เป็นจริง
ธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักพหลโยธิน
884-8-88488-0
ชื่อบัญชี มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
เพื่อโครงการ “MORE THAN EYES CAN SEE 80 ปี มากกว่าที่เห็น”