ใคร ๆ ก็อยากจะไปภูเขา ไปเดินชมนกชมไม้ชมดาว หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ไปซบอกธรรมชาติ เพราะหลายงานวิจัยยืนยันว่าชีวิตจะดีขึ้นทุกด้านด้วยการเข้าป่าครั้งเดียว
ชีวิตล้วนต้องเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เป็นแนวคิดสำคัญของการใช้ชีวิตของมนุษย์ในฐานะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อเราเข้ากับโลกแห่งธรรมชาติ มนุษย์ต้องการธรรมชาติอย่างที่เรียกว่าขาดไม่ได้ การมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ ช่วยลดอาการของโรคความดันโลหิตสูง โรคระบบทางเดินหายใจและโรคเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกาย ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลต่ออารมณ์ คลายความวิตกกังวล ทำให้สมองกลับมาโฟกัสได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ทำให้เรารู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย ได้สัมผัสความสงบอย่างที่เมืองไม่อาจมอบให้ได้
นักคิด นักเขียน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 กล่าวว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมรอบตัวมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เราต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศ พืชพันธุ์ธรรมชาติเป็นหลัก การเข้ามาของเครื่องจักรอุตสาหกรรม การถนอมอาหาร การทอและตัดเย็บเสื้อผ้า ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติถ่างกว้างออกไปเรื่อย ๆ จริงอยู่ที่เราจำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุดิบบางอย่างจากดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ทุกอย่างถูกทำให้ควบคุมได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้การผลิตไม่ขาดตอน ตอบรับกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี การเข้าถึงธรรมชาติถูกจำกัดด้วยเวลา การเดินทาง และราคาที่แต่ละคนจ่ายไหว ในยุคต่อมา ธรรมชาติจึงกลายเป็นความหรูหรา ที่อภิสิทธิชนเท่านั้นที่เข้าถึง ในรูปแบบของการเที่ยวป่าล่าสัตว์ เพียงไม่กี่ร้อยปี มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ขาดทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในป่าไปเกือบหมด แม้จะเอาตัวรอดในป่าลึกไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกคนอยากหาเวลาพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ระดับลางานไปเดินป่าแอมะซอน หรือซื้อต้นไม้เล็ก ๆ มาปลูกในคอนโด
นั่นเป็นเพราะ นักวิจัยพบว่าแม้จะต่างภาษาต่างวัฒนธรรม แต่มนุษย์เราก็ล้วนมีความรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะเป็นธรรมชาติในภาพวาดหรือภาพถ่าย นั่นทำให้โปสเตอร์ภาพภูเขา น้ำตก หาดทรายที่อยู่เคียงคู่ร้านอาหารตามสั่งมาเนิ่นนานจึงยังคงความคลาสสิกไม่เสื่อมคลาย เป็นภาพประดับฝาผนังบ้านของเราได้อย่างไม่รู้เบื่อ
หลายประเทศให้ความสำคัญแก่การสานสายใยในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติอย่างจริงจัง เมื่อครั้งยังเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ บารัก โอบามา รับรู้ดีถึงความสำคัญที่ผู้คนจำเป็นต้องกลับไปใกล้ชิดธรรมชาติ ในปี 2010 จึงเกิดโครงการ America’s Great Outdoors Initiative เพื่อเชิญชวนให้ชาวสหรัฐฯ ออกมาทำกิจกรรมสันทนาการกลางแจ้ง กระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติจากความคิดของพลเมืองเอง ชวนเด็ก ๆ ออกจากบ้านไปเรียนรู้ธรรมชาติทั้งในเมืองและนอกเมือง เพราะหากไม่รู้จักเราก็คงไม่รู้จะรักธรรมชาติได้อย่างไร และเมื่อได้รู้จักแล้วเด็ก ๆ รุ่นใหม่เหล่านี้นี่แหละที่จะมามีบทบาทในการดูแลรักษาธรรมชาติในแบบของพวกเขาต่อไป
ดร. Miles Richardson หัวหน้าคณะจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Derby ผู้มีส่วนร่วมในแคมเปญ ‘30 Days Wild’ ชวนคนนับหมื่นมาทำกิจกรรมสนุก ๆ ขยับชีวิตประจำวันให้เข้าใกล้ธรรมชาติ อย่างการให้อาหารนก ปลูกดอกไม้ ปีนต้นไม้ บันทึกเสียงธรรมชาติ ฯลฯ ผลการทดลองแสนสนุกครั้งนี้พบว่าคนที่มีความเชื่อมโยงอย่างเหนียวแน่นกับธรรมชาติสามารถค้นพบความสุขในชีวิตได้มากกว่า ส่งผลในทางบวกทั้งการใช้ชีวิตและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนอย่างเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นด้วย! สอดคล้องกับผลการวิจัยในปี 2012 พบว่านักเดินป่ามีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นถึง 50% หลังจากใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติราว 4 วัน
มาทางฝั่งเอเชียกันบ้าง ในประเทศญี่ปุ่น การอาบป่า ถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติด้านสุขภาพ เมื่อ ค.ศ. 1982 มีการนำเสนอวิธีการบำบัดเยียวยาร่างกายและจิตใจผ่านการเดินเข้าป่าอย่างจริงจัง ตามหลักทางวิชาการ เพราะพบว่าอากาศในป่าไม่ใช่เพียงทำให้รู้สึกสดชื่น หายใจคล่องเท่านั้น แต่เชื่อกันว่า phytoncide หรือน้ำมันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ ที่ออกมาจากเปลือกไม้ ต้นไม้ ผลไม้ พืชผักในป่านั้น เมื่อสูดดมเข้าไปจะช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย ในช่วงปี 2004-2012 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้เงินกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐไปกับการศึกษาผลของการอาบป่าทั้งในด้านกายภาพและจิตวิทยา ออกแบบวิธีการบำบัดไว้ถึง 48 แบบตามผลการทดลอง ในปี 2009 พบว่าเซลล์ NK (Natural Killer) ในระบบภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าไปในป่า รวมถึงผลลัพธ์ในทางบวกก็ยังคงอยู่นานนับเดือน อีกงานวิจัยหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่าต้นไม้ใบหญ้าก็มีส่วนช่วยชุบชูจิตวิญญาณของเราได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกัน โดยทำแบบสอบถามอาสาสมัครที่มีสุขภาพสมบูรณ์ 498 คน พบว่า การได้สัมผัสต้นไม้ช่วยลดความคิดในแง่ลบและความเศร้า อีกทั้งธรรมชาติเป็นครูคนสำคัญที่สอนให้เราได้ลองสบตากับความไม่เที่ยงแท้ ได้มองเห็นใบไม้เปลี่ยนสี ดอกไม้เหี่ยวเฉา กองกระดูกสัตว์ ซากแมลง เมื่อเรามองเห็นความตายและการเปลี่ยนแปลงต่อหน้าต่อตา ทำให้เราหวนคิดถึงคุณค่าของชีวิตตัวเองมากขึ้น ยอมรับความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ
การนำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อชีวิตที่มีสุขภาพดี และมีความสุข โจทย์ในอนาคตของเราทุกคนก็คือจะทำอย่างไรให้ธรรมชาติสอดคล้องกลมกลืนกับจังหวะชีวิตอันรีบเร่งในเมืองได้
คาวะเฮ้าส์ คือหนึ่งในคำตอบ เพราะเป็นคอนโดที่ให้ความรู้สึกเหมือนมีสโลว์ไลฟ์ในเมืองใหญ่ท่ามกลางสายลมแสงแดดในรีสอร์ทอันแสนสงบ เน้นการออกแบบส่วนกลางและตัวอาคารให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ นำเส้นโค้งมาใช้สร้างแสงและเงาที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา กรอบอาคารใช้โทนสีธรรมชาติ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศริมคลองพระโขนง ให้ความน่าอยู่คู่ไปกับความเป็นส่วนตัว มี CO-PANTRY เชื่อมต่อกับ CO-CREATION SPACE ให้ทุกคนได้สนุกไปกับการปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบสดใหม่ ปลอดสารพิษจาก ‘FARMSHELF’ ภายใต้แนวคิด FARM-TO-TABLE ผ่อนคลายในสระว่ายน้ำแบบ Freeform ท่ามกลางร่มไม้และสะพานไม้ที่ออกแบบให้กลมกลืนไปด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ต้องเดินทางออกไปที่ไหนไกล ก็ใช้ชีวิตได้ครบวงจรด้วยร้านอาหาร CO-WORKING SPACE สถานที่ออกกำลังกาย และร้านที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ภายในโครงการ แต่ก็ยังคงเดินทางเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว ด้วย Shuttle Bus Service มุ่งตรงสู่รถไฟฟ้า BTS อ่อนนุชในเวลาเพียง 5 นาที
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/RF3ZTd
ข้อมูลอ้างอิง
- http://www.thisurbanlifewithkids.com/blog/2015/10/13/connecting-with-nature-in-the-city-indys-best-parks-and-nature-preserves
- https://www.motherearthnews.com/nature-and-environment/environmental-policy/nature-writing-urban-life-ze0z1403zjhar
- https://www.psychreg.org/connection-nature-matters/
- https://www.ecowatch.com/10-reasons-why-you-feel-so-good-in-nature-1881977943.html
- http://www.mywildlife.org.uk/30dayswild/30dayswildsocial/