รู้หรือไม่ว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของความผิดพลาดในที่ทำงาน เกิดจาก Human error
การจะแก้ไข Human error นั้นไม่ได้จะแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการซ่อมแล้วจะหายทันทีเหมือน Machine error เพราะมนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานแล้วตายจากไปเสียเมื่อไร ยังมีสิ่งอื่นๆ ในชีวิตที่ต้องทำอีกล้านแปด จะมาปล่อยให้ร่างกายพังเพราะทำงานอย่างเดียวคงไม่ได้
สายตาล้า สมองตัน คืออาการยอดฮิตที่ทำให้มนุษย์ออฟฟิศต้องทำงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ สร้างความเสียหายทั้งกับหน้าที่การงานของเรา รวมถึงบริษัทอีกด้วย ลองไปดูว่าจะมีวิธีการไหนที่ช่วยให้ลดอาการเหล่านี้ลงได้บ้าง
เกิดมาต้องขยัน
จะบอกว่านี่คือยุคของคนขยันก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะชาวเจนวายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจนที่ productive ที่สุด อาจเป็นเพราะหลายเหตุผลที่ทำให้คนในช่วงวัยนี้ต้องขยัน เพราะหลายบริษัท คนวัยแค่ 30 ต้นๆ นี่แหละคือกำลังสำคัญที่จะก้าวเข้าสู่การทำงานระดับบริหารในอนาคต การแข่งขันก็สูงตามมา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำงานหนัก แถมยุคนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถทำงานหนักได้ยิ่งกว่าเดิมแบบไม่รู้สึกผิด ไหนจะสมาร์ทโฟนที่มีแอป To do list จัดระเบียบงานที่ส่งได้แบบไม่มีทางหลุดเดดไลน์ แอปแชทที่มีไว้ให้เจ้านายตามงานได้ทุกเมื่อ หรือจะเป็นฟรีไวไฟตามร้านกาแฟที่ช่วยให้ทำงานได้สบายๆ ถึงจะไม่ได้อยู่ออฟฟิศก็ตามที
ขยันเกินไปไหม
แต่เดี๋ยวก่อน การทำงานหนักก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป ถึงหน้าที่การงานจะรุ่งเรืองแบบก้าวกระโดด แต่สภาพร่างกายล่ะ มีใครเคยหันมาสนใจบ้างไหม วลีที่คนโบราณว่า ‘งานหนักไม่เคยฆ่าใคร’ ก็เห็นจะไม่จริงแล้วในยุคสมัยนี้ ข่าวมนุษย์ออฟฟิศที่เสียชีวิตจากการทำงานหนักมีให้เห็นกันบ่อยๆ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ว่ากันว่าเป็นประเทศที่จริงจังกับการทำงานเป็นที่หนึ่ง แต่ผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ก็ไม่น่าจะเอาเยี่ยงอย่างสักเท่าไร หากใครที่เริ่มตาปรือๆ ล้าๆ ลืมตาไม่ค่อยขึ้น หรือหัวตื้อๆ หนักๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก นั่นคือสัญญาณเตือนจากร่างกายแล้วว่า ควรจะหันมาสนใจเขาบ้างนะ
เมื่อสายตาเริ่มล้า ความพังเริ่มมาเยือน
ด้วยความที่ทุกวันนี้ ทั้งจอทีวี จอคอม จอมือถือ จอแทบเล็ต กระทั่งจอสมาร์ทวอทช์ ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีหน้าจอดิจิทัลเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้เสี่ยงต่ออันตรายจากแสงสีฟ้า (Blue light) ของหน้าจอที่อาจส่งผลเสียต่อสายตาของเราได้ หรือจะเป็นอาการสายตาล้าหรือเรียกอีกอย่างว่า กล้ามเนื้อตาอ่อนกำลัง ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อดวงตาถูกใช้งานหนักเกินไป
อาการตาล้าไม่ได้ส่งผลแค่ทำเราปวดตา ตาแห้ง หรือลามไปถึงการปวดหัวเท่านั้น เลวร้ายที่สุดคือส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้โฟกัสอะไรลำบาก พอจะคีย์ข้อมูลหรือพิมพ์งาน รับรองเลยว่ามีผิดแน่ๆ ยิ่งถ้าเป็นข้อมูลสำคัญๆ แล้วทำผิดล่ะก็ เตรียมให้บริษัทประเมินความเสียหายล่วงหน้าไว้ได้เลย
พักสายตาเถอะนะคนดี
มีหลายวิธีที่ช่วยให้กล้ามเนื้อตากลับมาทำงานได้ปกติ วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การพักสายตาด้วยการหลับตานอนให้ดวงตาได้พักผ่อนบ้าง การมองไปที่ไกลๆ หรืออะไรที่เป็นสีเขียวๆ สบายตา สักประมาณ 10 นาทีก็ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าได้ หรือถ้าไม่มีเวลาจริงๆ การบริหารกล้ามเนื้อด้วยการกรอกตาขึ้นบนลงล่างก็ช่วยได้เช่นกัน
เมื่อสมองเริ่มตัน หายนะก็มาหา
เมื่อคนเราทำงานมาถึงจุดหนึ่ง โดยเฉพาะคนทำงานสายสร้างสรรค์ เชื่อได้เลยว่าต้องมีอาการสมองตันหรือคิดงานไม่ออกกันบ้างหรือเกิดความเครียด ยิ่งสะสมนานเข้าก็อาจสร้างความเสียหายต่อระบบสมองจนเกิดอาการสมองล้า หัวตื้อ อ่อนเพลีย หนักสุดคือเกิดอาการสมองเสื่อมตั้งแต่ยังอายุยังน้อยได้เลยทีเดียว
พอสมองล้า ก็อาจส่งผลไปยังการทำงานของอวัยวะส่วนอื่นๆ ให้ตอบสนองได้ช้าลง ทั้งการพูด การคิด เช่น เวลาที่ต้องพรีเซนต์งานลูกค้า แต่มีงานอื่นๆ แทรกจนล้น ทำให้ต้องเผาคิดงานและทำพรีเซนต์ในคืนเดียวก่อนจะไปขายลูกค้าในวันรุ่งขึ้น นอกจากผลงานจะออกมาไม่ดีแล้ว อาจทำให้การพูดจาติดขัด สื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำให้ลูกค้าไม่เชื่อถือ และผลลัพท์คือ ขายงานไม่ผ่านนั่นเอง
พักสมองแล้วออกไปวิ่ง
การฝืนทำงานไปนานๆ โดยที่ไม่ได้พักเลย เป็นการทำร้ายสมองและร่างกายอย่างหนัก แนะนำว่าหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว เน้นว่าพักผ่อนเพียงพอ ห้ามหักโหมออกกำลังกายหลังทำงานหนักอย่างเด็ดขาด ให้ลองหาเวลาไปวิ่งตามเทรนด์กับเขาดูบ้าง เพราะมีงานวิจัยยืนยันว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างเช่นการวิ่ง ส่งผลดีต่อสมองของมนุษย์ในส่วน Hippocampus ให้ทำงานได้ดี ไม่เสื่อมสภาพไว แถมยังช่วยจัดการความเครียดจากการทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ให้ วิตามิน เอ ช่วยบำรุงสายตา เสริมด้วย วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงสมอง
อาการตาล้าและสมองตัน ไม่ได้มีแต่วิธีในการพักผ่อนเพื่อให้อาการบรรเทาเท่านั้น ยังมีตัวช่วยอื่นๆ อีก อย่างเช่นการบำรุงด้วยการกินอาหารที่มีสารอาหารเฉพาะที่ช่วยบำรุง อาการตาล้าก็สามารถบำรุงด้วย ‘วิตามินเอ’ ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น พบมากในไข่ นม และตับ หรือผักผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม
ส่วนการทำงานของสมอง สารอาหารที่สามารถช่วยได้คือ ‘วิตามินบี 12’ ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง เม็ดเลือด และการทำงานของเซลล์ในร่างกายให้เป็นปกติ สามารถทำงานร่วมกับวิตามินเอได้ดี พบได้ในอาหารพวกเนื้อสัตว์ ปลา นม ไข่ ควรเลือกกินเสริมให้พอเหมาะ
Peptein Plus ตัวช่วยที่ตอบโจทย์ในขวดเดียว
ในยุคที่ต้องรีบเร่งขนาดนี้ หลายคนอาจไม่มีเวลาที่จะมาเลือกกินอาหารให้ครบตามที่ต้องการ คงจะดีไม่น้อย หากจะมีเครื่องดื่มที่สามารถให้สารอาหารที่จำเป็นพร้อมกันในขวดเดียว
นาทีนี้ก็มีแต่ Peptein Plus เครื่องดื่มแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในตลาด ที่มีทั้งวิตามินเอ วิตามินบีคอมเพล็ค และซอยเปปไทด์ ในขวดเดียว ช่วยบำรุงทั้งสายตาและสมองครบ ดื่มขวดเดียวจบ แถมยังไม่มีน้ำตาล มีแคลอรีต่ำเพียง 20 แคลอรีต่อขวด
ที่สำคัญคือรสชาติดื่มง่าย สดชื่นทุกครั้งที่ดื่ม หยุดอาการตาล้า สมองตัน ร่างกายพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Productive ได้แบบสุดๆ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.deltaxml.com/blog/general/human-errors-costing-companies-big/
https://due.com/blog/gen-y-iis-more-productive/
https://www.bbc.com/thai/international-45146621
https://www.sarakadee.com/2017/11/15/run-and-brain/