คุณเคยเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นบ้างไหม… เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าในแต่ละวันมีสิ่งที่คุณไม่มีวันมองเห็นด้วยตาเปล่ารายล้อมคุณอยู่มากแค่ไหน
ทั้งยามหลับ ยามตื่น ยามหายใจเข้า หายใจออก ทั้งมุมมืดที่คุณลืมสังเกตขณะนอนอย่างสบายใจอยู่ในบ้าน และช่วงเวลาที่คุณออกไปเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าภายนอก
สิ่งเหล่านั้นที่กำลังทำร้ายคุณอยู่เงียบๆ คอยคุกคามทั้งคุณ และครอบครัวของคุณ โดยที่คุณไม่แม้แต่จะรู้ตัว มันมีจำนวนมหาศาล ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย รายล้อมเบียดกระแซะอยู่ใกล้คุณชิดติดเพียงชั่วลมหายใจ กว่าคุณจะตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน
…ทางเดินหายใจของคุณก็เต็มไปด้วยฝุ่นละอองสกปรกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว
ความน่ากลัวของลมหายใจ
ในขณะที่แต่ละวัน เรากินอาหารราว 2 กิโลกรัม และดื่มน้ำเข้าไป 3.7 กิโลกรัม สถิติที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือเราต่างหายใจเข้าประมาณ 24,000 ครั้ง หรือคิดเป็นน้ำหนักกว่า 13.9 กิโลกรัมด้วยกัน แน่นอนว่าด้วยปริมาณที่มหาศาลเช่นนี้ อากาศที่เราต่างหายใจเข้าไปจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะชี้ชะตาสุขภาพร่างกาย ตลอดจนอาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แน่นอนว่าความน่ากลัวของการหายใจไม่ได้อยู่ที่อากาศ หากแต่อยู่ที่ฝุ่นละอองสกปรกขนาดเล็กที่ปะปนมากับอากาศต่างหาก ซึ่งหากลองสังเกตดูให้ดีก็จะเห็นได้ชัดว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้คนในหลากหลายพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศในอัตราที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสภาพอากาศที่ย่ำแย่ลงด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ และสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ที่ปล่อยควันพิษ ตลอดจนฝุ่นละอองจำนวนมากออกมายังพื้นที่สาธารณะ
แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือแม้แต่ภายในบ้านและอาคารเองก็มีการเพิ่มขึ้นของฝุ่นละออง ไรฝุ่น สารก่อภูมิแพ้จากสัตว์ ไวรัส และแบคทีเรียที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากวิถีการใช้ชีวิตในพื้นที่ปิด ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้เป็นจำนวนมาก โดยสามวายร้ายหลักๆ ที่คอยสิงสร้างความเดือดร้อนให้กับทางเดินหายใจของเรายิ่งกว่าสัมภเวสีใดๆ ก็คือ อนุภาคขนาดเล็ก, สารอินทรีย์ระเหย และมลพิษจากชีวสาร นั่นเอง แม้ทั้งสามกลุ่มจะหลายหลายแหล่งที่มา กล่าวคือ อนุภาคขนาดเล็ก คือฝุ่นละอองที่เกิดจากการทำอาหาร การเผาไหม้ ตลอดจนการดำเนินชีวิตรูปแบบต่างๆ ในขนาดที่เล็กมากลดหลั่นกันไป, สารอินทรีย์ระเหย ก็เป็นสารประกอบที่ใช้ในเครื่องอุปโภคต่างๆ อย่าง น้ำยาทำความสะอาด สีทาบ้าน ขณะที่ มลพิษจากชีวสาร คือกลุ่มจำพวก เชื้อรา ไรฝุ่น ไวรัส ละอองเกสร ฯลฯ นั่นเอง
เมื่อภัยร้ายยึดครองร่าง
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าในแต่ละวันผู้คนใช้เวลาไปมากถึง 90% ในการอาศัยใต้ชายคาของอาคาร จะมีก็เพียงแค่ 10% ต่อวันเท่านั้นที่จะได้ออกไปสูดอากาศในสถานที่เปิด นั่นจึงทำให้ปัญหามลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบสุขภาพของเราได้มากที่สุด แม้ว่าเราจะมีจมูกและระบบทางเดินหายใจส่วนต้นทำหน้าที่แทนยันต์กันฝุ่น คอยดักจับสกัดกั้นฝุ่นละอองจำนวนหนึ่งไม่ให้ผ่านเข้าไปด้านในได้ แต่ความสามารถตรงส่วนนี้ก็เพียงทำได้แค่สกัดฝุ่นชนิดหยาบที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 ไมครอน อาทิ ผุ่นผง และละอองเกสรได้เท่านั้น ทว่าเจ้าตัวร้ายที่ร้ายกาจยิ่งกว่าก็คือฝุ่นละเอียดที่มีขนาดเล็กกว่านั้น ยิ่งฝุ่นละอองมีอนุภาคเล็กมากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถบุกทะลวงแทรกซึมผ่านระบบทางเดินหายใจเข้าไปได้ลึกเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน อย่างเช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ ไอเสียจากท่อรถยนต์ ซึ่งมีขนาดเล็กมากพอที่จะผ่านหลอดลมเข้าไปเยือนยังบริเวณถุงลมได้ ที่ร้ายก็คือถ้ามันสามารถทะลุทะลวงเข้ามายึดครองร่างเราได้ถึงจุดนี้ ก็มากเพียงพอแล้วที่จะส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซ้ำยังเป็นอันตรายต่อคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอย่าง หอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอย่างยิ่งยวดอีกด้วย
อยู่ร่วมกันแบบสันติ ไม่ใช่ขันติ
แน่นอนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่อาจพึ่งพาน้ำมนต์ อาคม ข้าวสารเสก หรือกระทั่งคุณริว จิตสัมผัส ให้มาจัดการได้ ทางเดียวที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายตัวสบายใจ หายใจคล่อง โดยไม่ต้องคอยกังวลถึงความปลอดภัยของระบบทางเดินหายใจอีกต่อไปก็คือการหาคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมาลงเล่นในสนามนี้แทน อย่าง เครื่องฟอกอากาศ Philips Series 3000i AC3259 เครื่องนี้
ด้วยจุดเด่นของการผสมผสานระหว่างสองเทคโนโลยีการตรวจวัด และการฟอกอากาศที่ทันสมัยที่สุดไว้ในเครื่องเดียว ทำให้นวัตกรรมชิ้นนี้เหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้านของอาคารทุกหลังที่ต้องการความปลอดภัยด้านมลภาวะทางอากาศ ฝั่งหนึ่งคือ เทคโนโลยี AeraSense เจ้าแห่งการแสกนกรรม สามารถตรวจจับฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศที่มีขนาดเล็กราว 1 – 2.5 ไมครอนได้ ทำให้ฝุ่นชนิดต่างๆ ไปจนถึงแบคทีเรียบางชนิดถูกตรวจพบและแสดงผลแบบเรียลไทม์ ซึ่งแม่นยำเทียบเท่ากับเครื่องตรวจจับระดับอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ทำให้คุณรู้ตัวอยู่เสมอว่าสภาพอากาศในสถานที่นั้นๆ มีความปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจมากน้อยเพียงใด
ขณะที่อีกฟากคือ เทคโนโลยีฟอกอากาศ VitaShield IPS ซึ่งมาพร้อมแผ่นกรองอากาศ NanoProtect True HEPA สามารถกรองฝุ่นที่เล็กถึง 0.02 ไมครอนได้ จึงสามารถกําจัดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้มากถึง 99.97% นั่นยังรวมไปถึงการกำจัดแบคทีเรียถึง 99.9% และหยุดยั้งไวรัส H1N1 ได้อย่างเด็ดขาดบาดใจอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับบ้านไหนที่มีเด็กเล็กก็ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะเจ้าเครื่องนี้มีระบบฟอกอากาศที่เป็นธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดก๊าซที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ จึงปลอดภัยหายห่วงสำหรับเด็กในทุกช่วงวัย
และด้วยคุณสมบัติที่ฟอกอากาศเก่งยิ่งกว่าฟอกเงินนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะกินไฟให้สิ้นเปลืองอะไรขนาดนั้น เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เครื่องฟอกอากาศ Philips ใช้ไฟน้อยมาก น้อยเทียบเท่ากับพัดลมตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
พิเศษไปกว่านั้น สำหรับเครื่องฟอกอากาศรุ่น AC3259 คุณสามารถเชื่อมต่อเครื่องฟอก กับแอพพลิเคชั่น Air Matters ในสมาร์ทโฟน เพื่อคอยตรวจเช็คคุณภาพอากาศในบ้าน และสั่งงานเปิดปิดเครื่องจากมือถือได้เลยอีกด้วย
อ่านมาถึงจุดนี้คงไม่ต้องถามกันอีกแล้วว่าคุณเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือเปล่า คำถามสุดท้ายก่อนจากกันไปก็คือ คุณพร้อมจะรับมือกับสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้หรือยัง? คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศฟิลิปส์ได้ที่ philips.co.th