ความเร็วแรงที่โลกยังต้องยอมให้ความอันตรายที่ไม่มีใครกล้าสบประมาทความยิ่งใหญ่ทรงพลัง เหนือกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อรวมเข้ากับความดุดัน เกรี้ยวกราด ไม่สนใครที่ไหน นั่นคือ ‘Supercell’
ต้นกำเนิดอันทรงพลัง
โลกเราล้วนมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แตกต่างไปตามแต่ท้องถิ่นพื้นทวีป บ้างขนาดเล็ก บ้างขนาดใหญ่ บ้างสร้างความเสียหาย บ้างก็เพียงแค่ดูน่ากลัว แต่ถ้าพูดถึงตัวอันตรายในหมู่ตัวอันตรายด้วยกัน คงเป็นการยากที่จะไม่หยิบยกเอาชื่อของเจ้า Supercell กลุ่มเมฆฝนแสนทรงพลัง ที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุด และอันตรายที่สุดนี้ขึ้นมาพูดถึง
การเกิดขึ้นของ Supercell เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความประจวบเหมาะขององค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความชื้น มวลอากาศร้อน ความไม่เสถียรในบรรยากาศ ตลอดจนแรงเฉือนลมที่มาในแนวตั้ง พาเอากลุ่มเมฆ Cumulonimbus หรือเมฆฝนฟ้าคะนอง ให้ขยายขนาดขึ้นจนใหญ่มหึมาปกคลุมเป็นรูปโดมสูงกว่า 55,000 – 70,000 ฟุตเหนือพื้นดิน และพัฒนาเป็น Supercell ในที่สุด
มหันตภัยแสนเกรี้ยวกราด
เมื่อ Supercell เกิดขึ้นแล้ว คำว่าพังพินาศดูจะบรรยายผลลัพธ์ของมันได้น้อยไป เจ้าเมฆมหันตภัยแสนเกรี้ยวกราดนี้ไม่เพียงแต่นำพาพายุฝนฟ้าคะนองแสนรุนแรงมาสู่พื้นที่ที่มันเคลื่อนไปสู่เท่านั้น แต่มันยังเป็นสาเหตุของการเกิดพายุทอร์นาโดครั้งสำคัญๆ ทั่วโลก ซึ่งนั่นรวมไปถึงภัยธรรมชาติน้ำท่วม ลมพายุที่สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน ไปจนถึงเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่คร่าชีวิตผู้คนอีกด้วย
พายุที่เกิดจาก Supercell มักเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในแถบรัฐตอนกลางของสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีบ้างเช่นกันที่โอกาสอันน่าสะพรึงนี้จะไปตกอยู่กับแคนาดา และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ปี 2005 ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียที่เมฆฝนก่อตัวขยายขนาดกว้างถึง 15 กิโลเมตร, ปี 1999 ชายฝั่งตะวันออกของ นิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลียก็ถูก Supercell ถล่มสร้างความเสียหายที่คิดเป็นมูลค่าการประกันภัยมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือราว 2.3 พันล้านเหรียญ ขณะที่ฝั่งยุโรปเองแม้จะถูกถล่มด้วย Mini-Supercell ที่มีความรุนแรงน้อยกว่าภูมิภาคอื่น แต่เมื่อมองจากจำนวนที่เกิดขึ้น ทั้งในเบลเยียม อังกฤษ และประเทศอื่นๆ แล้ว ก็นับว่าได้รับผลจากเจ้าเมฆฝนนี้ไม่น้อยเลย
ความรุนแรงที่โลกยกให้เป็นที่หนึ่ง
ขณะที่ขนาดของแผ่นดินไหวเราใช้มาตรวัดกันเป็นริกเตอร์ ความรุนแรงของพายุที่เกิดขึ้นก็มีมาตรเช่นกันเรียกว่า Eahanced Fujita scale หรือหน่วย EF ที่ไล่ระดับความเสียหายจากการเกิดพายุตั้้งแต่ EF0 ไปจนถึง EF5 มีทอร์นาโดซึ่งเกิดจาก Supercell จำนวนไม่น้อยเลย โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ที่พุ่งทะยานไปแตะระดับ EF5 ไม่ว่าจะเป็น พายุทอร์นาโดที่สร้างความเสียหายระดับประวัติกาลให้กับ โอกลาโฮมา ในปี 1999 ซึ่งมาพร้อมความเร็วลมกว่า 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือพายุ San Justo ในอาร์เจนติน่าที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดในอเมริกาใต้ และคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 63 คน
BMW M4 coupe sport Limited Edition ที่สุดแห่ง Supercar ที่ดุดันยิ่งกว่า Supercell
ถ้า Supercell คือมหันตภัยที่โลกยังต้องยอมถอยให้ BMW M4 coupe sport Limited Edition ก็ไม่ต่างอะไรจาก Supercar ที่โลกต้องจับตามองในทุกการเคลื่อนที่ ทั้งรูปลักษณ์ทรงสปอร์ตอันทรงพลัง ดีไซน์โฉบเฉี่ยวทั้งภายนอก ภายใน ให้อารมณ์ดิบเท่เหมือนรถแข่ง ด้วยกระโปรงหน้า รวมถึงหลังคาทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ จึงน้ำหนักเบา ทว่าแข็งแกร่งทนทาน พร้อมพุ่งทะยานควบขับไปข้างหน้าพร้อมซุ้มล้อทรงพิเศษสุดเร้าใจ ขณะที่ภายในก็ตกแต่งด้วยเบาะแบบ M Sport หุ้มหนังแท้ Merino สลับกับผ้า Alcantara ให้กลิ่นอายดุดันเข้ากันได้ดีกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นขลิบด้วยด้ายสีแดง ฟ้า น้ำเงิน
และจุดสำคัญที่สุดที่เป็นเสมือนหัวใจของรถสุดโหดรุ่นนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเครื่องยนต์ภายใน ที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน 6 สูบ ขนาด 3 ลิตร ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo จึงพร้อมบุกทะลวงทุกเส้นทางด้วยสมรรถนะถึง 460 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจากเริ่มต้นไปแตะที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.9 วินาที ทั้งยังทำความเร็วความเร็วสูงสุดได้รวดเร็วราวพายุที่ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อรวมเข้ากับเกียร์อัตโนมัติแบบทวินคลัตช์ 7 สปีด ภายใต้การควบคุมด้วยระบบ Drivelogic ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเสี้ยววินาทีแล้ว จึงอาจกล่าวได้ว่า BMW M4 coupe sport ตัวนี้ก็ไม่ต่างอะไรเจ้าพายุแห่งท้องถนนตัวจริง
สุดท้ายแล้วแม้ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง Supercell จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แต่หากคุณคิดอยากจะควบคุม Supercar จอมอหังการ์อย่าง BMW M4 coupe sport Limited Edition แล้วล่ะก็ อย่าลืมพกหัวใจที่แข็งแกร่ง และสปอร์ตเต็มพิกัดติดมือมาด้วยแล้วกัน