ชื่อของ ตั้ม – วิศุทธิ์ พรนิมิตร เป็นที่คุ้นหูในแวดวงการ์ตูนของไทยและญี่ปุ่นมาเกือบ 20 ปี
หลายคนคุ้นเคยกับลายเส้นง่ายๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก อย่างตัวการ์ตูนมะม่วงที่ไปปรากฏอยู่ตามโปรดักต์ต่างๆ จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมถึงผลงานในนิตยสาร และนิทรรศการอีกมากมาย จนได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 250 คนที่น่าจับตามองของโลก จากนิตยสาร Elle Japan และเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่มีผลงานการ์ตูนตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผลงานอย่าง hesheit ของเขาก็ได้รับรางวัล Manga Encouragement Award จาก Japan Media Art Festival 2009
มาถึงตรงนี้ ถ้าวัดจากผลงานของเขาก็ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนการ์ตูนอย่างมาก แต่เจ้าตัวกลับมองว่าเป็นการประสบความสำเร็จในระดับเล็กๆ และยังพร้อมรับความท้าทายใหม่ๆ กับการทำงานที่มีโจทย์อย่างการสร้างตัวการ์ตูนมาสคอตให้กับแบรนด์ SCG EXPRESS โดยการสร้างคาแรคเตอร์แมวดำและเด็กผู้หญิง ที่สามารถสื่อสารถึงความเป็นแบรนด์ที่ให้บริการส่งพัสดุได้อย่างน่ารัก
ลองไปสำรวจวิธีคิดในการทำงานที่เติบโตไปพร้อมกับช่วงวัย การเผชิญกับความท้าทายในการทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายของ ตั้ม วิศุทธิ์ ที่เปลี่ยนมุมมองเรื่องของการ์ตูนให้มีความหมายมากกว่าเป็นแค่การ์ตูน
มองว่าสถานะการทำงานตอนนี้ ถือว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหน
เรียกว่าเป็นอาชีพแล้วแหละ แต่อยู่ขั้นไหนก็เรียกว่าเล็กๆ คือประสบความสำเร็จในระดับเล็กๆ เพราะเราไม่ได้มีบริษัทอะไรใหญ่โต ไม่ได้มีพนักงานเยอะ ไม่ได้มีโปรดักชั่นระดับใหญ่ๆ ไม่ใช่ว่ามีคนทำงานอยู่ในบริษัท แล้วก็ทำกันคนละหน้าที่ จนผมไม่ต้องทำอะไรเลย คืองานแบบนั้นผมก็เคยทำนะ เคยอยู่ในระบบ เขาก็ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่คือตัวเราเองไม่มีระบบแบบนั้น สุดท้ายผมก็นั่งเขียนเอง ทำอะไรเองอยู่
ทำไมถึงเลือกที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง
เราคิดว่าเราคงไม่ได้คิดไปถึงขนาดที่ว่าจะไปทำบริษัทใหญ่ๆ เพราะว่าเราเป็นคนชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบวุ่นวายกับคนอื่น แล้วก็มีหลักความคิดในการทำงานว่า อะไรทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปทำมัน ทำอะไรที่เราทำได้ให้มันดี ก็เลยชอบทำสิ่งที่จัดการได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ ก็มีความสุขดี
ทุกวันนี้ก็ถือว่าพอใจในชีวิตการทำงานของตัวเองแล้วรึเปล่า
พอใจแล้วแหละ ผมก็เคยอยากเพิ่มพนักงาน แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ว่าเราต้องทำอะไรที่ไม่ได้ออกมาจากตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนพอมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรก็เขียนการ์ตูนออกมา แต่พอมีพนักงานเราก็ต้องหางานมาให้เขาทำ พอทำไปอย่างนั้นเข้า รู้สึกว่าทำคนเดียวสนุกกว่า เริ่มรู้ตัว แล้วก็เริ่มเบนเข็มมาทางศิลปินมากกว่า
พอทำงานคนเดียว มีอุปสรรคอะไรบ้างไหมที่ต้องพบเจอ
มีนิดหน่อย เป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานที่ต้องมีอุปสรรค แต่เราคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่ทำอะไรที่เกินตัว เพราะฉะนั้นอุปสรรคที่เจอมันก็เป็นอุปสรรคที่ไม่เกินตัว ไม่ได้ลำบากอะไรที่จะแก้ อุปสรรคที่เจออย่างเช่น เพื่อนชวนไปกินข้าวบ่อยจัง ไม่มีเวลาทำงาน (หัวเราะ) หรือแม่บ้านลาออก ก็ต้องทำความสะอาดบ้านเอง เราทำงานแบบเล็กๆ สบายๆ ก็แฮปปี้แล้ว ไม่เห็นจะต้องทำอะไรมากกว่านี้เลย ก็เลยไม่มีอุปสรรคอะไรใหญ่ๆ ที่ต้องเจอ
ทำงานเขียนการ์ตูนมาหลายปีแล้ว รู้สึกว่าเรื่องราวที่อยู่ในการ์ตูนของตัวเองเติบโตขึ้นไหมจากตอนแรกๆ
มันก็เปลี่ยนไปตามชีวิตเรา แต่ก่อนเราก็วัยรุ่น ชอบเขียนอะไรแบบบ่นๆ เหวี่ยงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยบ่นแล้ว เข้าใจไปหมดว่าอะไรเป็นอะไร แทนที่จะบ่น กลับรู้สึกขอบคุณมากกว่า ตัวการ์ตูนก็เลยเปลี่ยนไป มันง่ายขึ้น เพราะความรู้สึกเรามันไม่ยาก แต่จริงๆ ก็มีผสมๆ กันบ้าง คือสวิตช์ได้หลายอย่าง แบบที่เหวี่ยงๆ จริงๆ ก็มีวาดอยู่ทุกเดือน แต่ตัวที่ง่ายๆ มันนิยมกว่า คนก็เลยเห็นผมเป็นแบบนั้น
แสดงว่ามีการแบ่งพื้นที่ผลงานในหลายๆ มุมของตัวเอง
คือผมเป็นคนมีหลายความรู้สึก แล้วแต่ละความรู้สึกก็แปลออกมาเป็นผลงานหลายๆ แบบ แต่ทีนี้แบบที่คนรู้จักมากที่สุดก็คือตัวผมในแบบง่ายๆ ใจดีๆ แล้วเดี๋ยวนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดีย คนก็เห็นง่ายขึ้น เห็นแว้บๆ อ๋อ น่ารักดี คนก็เลยเห็นเราเป็นภาพนั้นอยู่ แต่ตัวตนจริงๆ มีหลายมุม
ช่วงหลังๆ ที่เริ่มมีผลงานที่เป็นโปรดักต์จับต้องได้มากขึ้น ทำไมถึงเลือกขยายตัวการ์ตูนให้ออกจากหน้ากระดาษ
เวลาเราวาดการ์ตูนในกระดาษ แล้วมีคนชอบมันหรือเริ่มรู้สึกรักมัน ทั้งตัวผม ทั้งคนดูก็เริ่มอยากเห็นอะไรที่นอกเหนือไปจากในการ์ตูน เช่น แรกๆ ก็ทำเสื้อยืด ทำให้คนใส่ได้ใส่เสื้อตัวการ์ตูนที่ชอบ จากความรู้สึกนั้นก็ทำให้เริ่มมีอะไรอย่างอื่นมากกว่าเสื้อยืด เช่น กระเป๋า เครื่องเขียน ตุ๊กตา คือแทนที่เราจะเข้าไปอยู่ในโลกการ์ตูน ก็ให้การ์ตูนออกมาอยู่ในโลกของเรา เช่น ได้ใช้สติ๊กเกอร์ ได้ถือตุ๊กตาตัวการ์ตูนที่ชอบ พอมันมาอยู่ในชีวิตเราทำให้มีแรงบันดาลใจ
พอออกมาเป็นสินค้าต่างๆ มองว่ามันการทำเพื่อ Commercial ไหม
มันจำเป็น เพราะว่าอย่างเราเขียนการ์ตูนแรกๆ แล้วมีคนมาชวนไปจัด Exhibition ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันจะออกมายังไง แต่มีโอกาสเราก็ทำ พอคนมาดูรูปเสร็จ ก็จะมีช้อปที่อยู่ในแกลเลอรี เขาก็บอกว่าตั้มทำอะไรมาขายสิ นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ เลยเริ่มทำของขายทีนี้พอมันขายได้ เขาก็บอกให้ทำอีก จึงเริ่มทำมากขึ้น หลายแบบขึ้น จำนวนเยอะขึ้น เรียกว่ามันมาตามงาน คือเราไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะทำให้มันมีรายได้ เพราะว่าเราก็ชอบเขียนการ์ตูน เราไม่ได้ชอบทำของ แต่พอทำไปทำมาก็ได้หลายตังค์แล้ว เยอะกว่าการ์ตูน เยอะกว่าขายหนังสืออีก เพราะมันเข้าถึงชีวิตคนได้ง่ายกว่า
เวลาสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาสักตัว จำเป็นไหมที่ต้องมีเรื่องราวประกอบ
จริงๆ สตอรี่มันก็เหมือนเวลาเสิร์ชชื่อดาราคนหนึ่งในอินเทอร์เน็ต แล้วมันก็ขึ้นมาว่าคนนี้เกิดปีอะไร อยู่ประเทศอะไร ทำอะไร แต่สุดท้ายแล้วเวลาคนเราเห็นหน้าคนคนนี้ จะจินตนาการเรื่องราวเองมากกว่าข้อมูล อย่างเวลาเราเห็นแมวตัวนี้ ไม่ต้องมีข้อมูล แต่เราก็จะจินตนาการว่า แมวตัวนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทำไมถึงอ้วน ชอบกินอะไร หรือดูมีความสุขหรือไม่มีความสุข คือคนเราจะเวิร์กกับสิ่งที่เห็นเอง ถ้าถามว่าจำเป็นไหมว่าจะต้องมีสตอรี่ จริงๆ ก็ไม่จำเป็น เพราะบางทีเราไปกำหนดเรื่องแล้วทำให้จินตนาการหายไปก็มี เช่น เราดูรูปเด็กผู้หญิง คิดว่าน่าจะอายุ 7 ขวบมั้ง แต่เพื่อนมาดูคิดน่าจะประมาณ 17 มั้ง หรือว่าจริงๆ เขาเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า แต่ถ้าเราไปบอกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้อายุ 12 ปี มันจะกลายเป็นข้อมูลแล้ว จินตนาการมันก็จะหายไป
เหมือนการมี Fact ข้อมูลกลายเป็นสิ่งที่ปิดกั้นจินตนาการของคนดูรึเปล่า
อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ผมจะไม่ทำอย่างนั้น อย่าง มะม่วง ผมก็ไม่เคยไปบอกว่าอายุเท่าไหร่ หรือเป็นคนประเทศอะไร คงไม่มีใครมานั่งเค้นผมว่าตกลงอายุเท่าไหร่กันแน่ ผมก็บอกแค่ว่ามันเป็นรูปวาด ผมไม่ใช่นักสร้างฝัน คุณนี่แหละต้องสร้างฝันเอง การอยู่กับรูปวาดทำให้คนเราสบายใจ เพราะว่าได้อยู่กับจินตนาการของตัวเองที่อิสระกว่ามาก ไม่ต้องอยู่กับความเป็นจริง ก็เลยอยากจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
การทำงานแบบมีโจทย์กับไม่มีโจทย์ อย่างไหนยากหรือง่ายกว่ากัน
มีโจทย์ก็ไม่ยาก เพราะเขาคิดมาให้แล้ว ถ้าเราไปเถียงคงยาก แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องสนทนากับเขาให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ผมก็จะสนุก เหมือนเราไปกินข้าวด้วยกันสองคน แล้วผมไม่ชอบร้านนี้เลย แต่อีกคนหนึ่งชอบ แทนที่ผมจะเถียงว่าไม่เอาร้านนี้ เพราะว่ามันไม่ใช่ผมเลย แต่ผมจะพยายามอยากรู้ว่าทำไมคนนี้ถึงชอบ แล้วผมก็จะพยายามชิม ทำให้ได้เปิดมุมมองอะไรสักอย่าง หรือจริงๆ เรากินไปแล้ว อาจจะไม่ได้ชอบ แต่ก็ดีกว่าบอกว่าไม่เอา ไม่กิน ไม่ไป ไม่คุยด้วย เพราะว่าฉันคิดอย่างนี้ ฉันชอบอย่างนี้ มันจะอยู่แค่นี้ แล้วจะไม่ค่อยมีความสุข ผมสังเกตมานานแล้ว เวลาใครให้ทำอะไร ผมก็จะลอง แทนที่จะเถียง เราก็ลองคิดดูว่าทำไมเขาถึงคิดว่ามันดี
พอทำงานตามโจทย์มากเข้า รู้สึกไหมว่าตัวตนในงานหายไป เหมือนที่นักวาดรุ่นใหม่ๆ กำลังเผชิญ
จริงๆ เราวาดอะไร ก็ยังหนีไม่ค่อยพ้นตัวเองเลย เหมือนเราแต่งเพลง แต่งยังไงมันก็ได้ประมาณคล้ายๆ เดิม เพราะว่ามันเป็นเราจริงๆ หรือว่าจะให้คนเราพูด มันก็ได้คล้ายๆ เดิม เพราะว่าเราคิดและมีอาณาจักรของตัวเองอยู่ประมาณเท่าที่เป็นได้ เพราะฉะนั้นจึงออกมาเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติ แต่อย่างที่นักวาดรุ่นใหม่ประสบปัญหา มันอาจจะมีเรื่องแบบนี้ คือคนจ้าง เขาไม่ได้เห็นคุณค่ารูปของนักวาดจริงๆ ซึ่งเปรียบเทียบชัดๆ คือที่ญี่ปุ่นกับไทย คนญี่ปุ่นเวลาเขาให้เราทำอะไร เขาจะรู้หมดเลยว่ารูปเราคืออะไร แล้วเขาจะพยายามดึงเอาข้อดีของเราออกมาใช้ให้มากที่สุด เขารู้ข้อดีของเรามากกว่าตัวเราเองอีก เขารู้ว่าต้องเอาไปใช้กับอะไรหรือควรจะเป็นรูปแบบไหน เดาว่าปัญหาที่เกิด คือลูกค้าไม่ได้เห็นคุณค่าในงานขนาดนั้น อาจจะสั่งจนเบี้ยวไปหมด เห็นนักวาดคนนั้นเป็นแค่ช่าง ไม่ใช่ดีไซเนอร์ก็เป็นไปได้
พอมาถึงงานของ SCG EXPRESS บ้าง ได้รับโจทย์มาอย่างไร
เขาถามว่าเคยเห็นแมวดำยามาโตะไหม ผมบอกก็เคยสิ เพราะเคยอยู่ญี่ปุ่น 3 ปี ก็ใช้ส่งของอยู่ทุกวัน เพราะว่าวันเดียวถึง เขาก็บอกว่าจะมาเปิดที่ไทยนะ อยากให้สร้างเป็นคาแรคเตอร์ใหม่ เราก็คิดว่าก็ดีสิ เพราะว่าเราก็เคยใช้บริการ และเราก็รู้ว่าถ้ามีระบบส่งของแบบญี่ปุ่นมาอยู่ในไทยก็น่าเชื่อถือดี เขาให้เราวาดก็ดีใจอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นแบรนด์ที่เราเชื่อถือ
แล้วออกมาเป็นตัวแมวดำและเด็กผู้หญิงได้อย่างไร
เขาบอกว่าอยากให้มีผู้ส่งหนึ่งตัวและผู้รับหนึ่งตัว ซึ่งผู้ส่งก็คงจะต้องเป็นตัวแมวดำเพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ของยามาโตะ แล้วก็ตัวผู้รับน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงนะ เพราะมองว่าแมวเป็นผู้ชาย อยากให้ความรู้สึกดูซอฟต์ลงก็เลยให้เป็นผู้หญิง ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดขาว เพราะว่าแมวก็สีดำแล้ว คิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ที่บ้านแล้วก็รอรับของ เป็นคนชิลๆ เดี๋ยวของก็มาถึงบ้าน
ทำไมงานส่วนใหญ่ถึงเป็นเด็กผู้หญิง
ส่วนตัวชอบวาดผู้หญิง ตอนเด็กๆ ผมวาดแต่ผู้ชายจนตั้งแต่ประถมถึง ม.6 วาดแต่ผู้ชายมีกล้าม เตะบอล จนอยู่มาวันหนึ่งก็เริ่มโตเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นอยู่โรงเรียนชายล้วนด้วย ไม่เคยรู้เลยว่าผู้หญิงคืออะไร สงสัยว่าเป็นผู้หญิงทำไมต้องใส่ถุงเท้าเท่านี้ ทำไมเรียบร้อยจังเลย ทำไมไม่เอาเสื้อออกมานอกกางเกง ทำไมไม่สกปรก ทำไมไม่มีเหงื่อ จึงเริ่มวาดผู้หญิงตั้งแต่ตอน ม.6 แล้วพอวาดมันก็สนุกกว่าวาดผู้ชาย เพราะมันมีส่วนโค้งๆ เยอะ
เหมือนสรีระมันน่าดึงดูดกว่าใช่ไหม แต่ผู้ชายมีความทื่อๆ
มันก็จริงส่วนหนึ่ง เพราะวาดผู้หญิงแล้วเราก็อยากดูมากกว่า แต่ถ้ามาคิดอีกแง่หนึ่ง ตัวผมอาจจะมีความเป็นผู้หญิงมากก็ได้ คือถ้าวาดผู้ชาย ผมจะวาดเป็นเนื้อหาที่มันแรงๆ ไม่มาทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ มันต้องกระโดดไปนอกอวกาศ มันจะสู้กันจนกล้ามแตก คือให้มันเห็นชัดไปเลย เพราะฉะนั้นบทบาทที่มีความสะอาดสะอ้าน ใจดี สบายๆ ก็มักจะถูกให้ตัวผู้หญิงแสดงเสมอ เป็นอีกรูปแบบของความรู้สึก
อยากให้เล่าถึงคาแรคเตอร์ของแมวดำบ้าง
แมวก็น่าจะเป็นผู้ชาย เพราะว่าอีกคนเป็นผู้หญิงทำให้รู้สึกบาลานซ์กันดี ต้องมีความกระฉับกระเฉงที่จะทำงาน เพราะว่าเขาต้องวิ่งเร็ว เพื่อที่จะบริการ Service Mind ก็มีนะ แต่ไม่ได้ถึงกับว่าต้องใส่ยูนิฟอร์ม คือเขาก็ยังมีความเป็นแมว แต่ดูเป็นจินตนาการมากกว่าความเป็นจริง เพราะต้องถือกล่องพัสดุได้ จริงๆ ก็คุยกับ SCG EXPRESS ว่าจะให้ออกมาแบบไหน ถ้าตัวมันเล็กแล้วจะถือกล่องยังไง หรือว่าจะเป็นแมวเล็กที่มีพลังถือกล่องได้ แต่พอวาดไปวาดมา ถ้าเป็นแมวเล็กก็จะดูเหมือนจริงเกินไป หรือถ้ามีสี่ขาแล้วจะถือกล่องยังไง สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นอย่างนี้ เขาต้องเป็นคนส่งของที่ถือของได้ ตัวใหญ่ ยืนสองขาได้ วิ่งเร็วและแข็งแรง เพราะต้องส่งของ มันจึงออกมาตามหน้าที่ของเขา
ส่วนตัวเป็นคนเลี้ยงแมวด้วย ได้ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการดีไซน์แมวตัวนี้ไหม
แมวมันวาดยากนะ ไม่ใช่ง่ายๆ เลย แล้วตัวมันดำด้วย ซึ่งปกติลักษณะของรูปวาดเราจะเด่นที่เส้น แต่ทีนี้พอแมวตัวดำ เส้นมันก็หายไป ต้องเปลี่ยนเส้นเป็นสีเทา หรือการที่ตัวมันดำแล้วหน้ามันก็จม ก็ต้องเน้นเส้นให้สว่าง แต่แมวนี่คือวาดยังไงก็อ้วน เพราะรูปวาดของผมจะประกอบไปด้วยเส้นโค้งเต็มไปหมดเลย พอวาดแมวมันก็เลยมีพุง จริงๆ ก็ชอบให้มันอ้วน รู้สึกนิ่มๆ ดี เพราะถ้าวาดขายาว ตัวผอมๆ มันจะสื่อสารไปในทางผู้หญิงเซ็กซี่แทน แมวจึงอ้วนได้ แต่กระฉับกระเฉงด้วยการวิ่ง การกระโดด การยิ้ม หรือหางก็ต้องขยับๆ หน่อย ไม่ใช่หางแบบม้วนๆ คือเป็นแมวที่ไม่ได้ลึกลับ เพราะปกติคาแรคเตอร์ของแมวดำคือความลึกลับ เลยต้องเอาส่วนที่ไม่ลึกลับออกมาให้หมด เป็นตรงกันข้ามแทน
มองว่าพลังของตัวการ์ตูนหรือมาสคอต มีส่วนช่วยในเรื่องการตลาดและความรู้สึกอย่างไร
ผมนึกถึงตอนอยู่ญี่ปุ่น ก็จำได้แต่แมวดำๆ เวลาถามเพื่อนจะส่งของยังไงดี เพื่อนก็บอกแมวดำๆ คือไม่รู้หรอกว่ายี่ห้ออะไร แต่มันจำแมวดำนี่ได้ ในขณะที่ยี่ห้ออื่นอาจจะมีแต่ก็จำไม่ได้ จำได้แต่ตัวแมวดำ แม่ผมไปเที่ยวอาทิตย์หนึ่งยังจำได้เลย ผมบอกแม่ว่าเดี๋ยวจะทำตัวแมวดำส่งของ แม่บอกรู้จักๆ ผมก็ถามว่ารู้ได้ไง บอกว่าตอนไปเที่ยวก็เห็นอยู่ ทำให้เวลาที่นึกถึงก็รู้สึกดี เพราะฉะนั้นการใช้รูปวาดมีพลังกว่าตัวหนังสือ อย่างผมเวลานึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นก็จะนึกถึงความสนุก หรือว่านึกถึงแมวที่บ้านก็จะพูดออกมาว่าน่ารัก คือพอพูดคำว่าน่ารักออกมา มันก็จะมีความรู้สึกที่ดี เวลาเราพูดอะไรออกมา เราจะได้ยินตัวเองพูด จะมีแรงสั่นสะเทือนเข้ามาในตัวเรา เหมือนเวลาเราขับรถ เจอคนปาดหน้าแล้วเราไปด่าเขา แต่เราได้ยินเสียงตัวเราเอง พอผ่านไปสัก 10 วินาที เรานึกได้ว่าไม่น่าด่าเลย
มองว่าทำไมญี่ปุ่นถึงมีมาสคอตเยอะ ในขณะที่เมืองไทยไม่ค่อยมี
ที่ญี่ปุ่นเขาจะใช้การ์ตูนในการโฆษณาเยอะมาก ทำให้เรารู้สึกว่าบ้านเมืองเขาสนุก มีสีสัน คือไม่ได้มองว่าการใช้ดาราที่เป็นคนมันไม่ดีนะ แต่มันมีมุมเดียวเกินไป ถ้ามีมุมของดาราหนุ่ม ดาราแก่ รูปวาด ตัวหนังสือที่หลากหลาย ทำให้เห็นอะไรหลายมุมในชีวิตมากขึ้น เพราะการดูรูปดารา อาจทำให้เราคิดว่าอยากเป็นแฟนคนนี้จังเลย หรือว่าอยากมีกล้ามแบบคนนี้จังเลย ถ้าเทียบกับเขา เรานี่มันแย่จังเลยนะ คนจะคิดอะไรประมาณนี้ แต่ถ้าเราดูรูปการ์ตูน ก็จะรู้สึกน่ารักดี สบายๆ ทำให้หลุดออกมาจากความเครียดนิดนึง จริงๆ การ์ตูนสำคัญเลยแหละ มันเป็นจินตนาการของประเทศ ทำให้คนมีศิลปะ มีความสุนทรีย์ในหัวใจ
ทำงานมาจนถึงตอนนี้ มีอะไรที่ยังอยากทำอีกไหม
อยากออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพหน่อย เพราะว่าชีวิตก็ไม่ใช่งานอย่างเดียว เคยทำงานมากๆ ไปจนถึงจุดที่ว่า ทำอะไรอยู่วะเนี่ย เครียดก็เครียด เงินได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ข้าวแถวบ้าน 30 บาทเอง หรือจะซื้อของแพงไปอวด คนอื่นก็อิจฉาอีก ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่งาน ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จอย่างเดียว ความสุขมันต้องมีเวลาสบายๆ บ้าง คือมันเป็นภาพรวมน่ะ งานก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพรวม เจอบ่อยในคนญี่ปุ่นที่เขารักงานจนเคว้งไปเลย จริงๆ เรามีหน้าที่ที่จะมีความสุข แล้วเราจะได้เขียนงานออกมา เพื่อที่จะบอกคนอื่นต่อได้ว่าเรามีความสุข มากกว่าที่จะวาดอะไรที่เจ๋งๆ ไปเลย คือรูปที่เราวาด ใครๆ ก็วาดได้ ไม่ได้ต้องการจะโชว์ความเหนือมนุษย์อะไร ประเด็นคืออยากค้นหาว่าความสุขคืออะไรมากกว่า แล้วก็บอกต่อๆ กันไป ก็เลยอยากมีสุขภาพดี เพราะคิดว่าสุขภาพดีมีความสุขแน่นอน กินอะไรก็อร่อย
ถ้าเกิดไม่วาดภาพแล้ว คิดว่าอยากจะทำอะไรต่อ
ตอนเด็กๆ ในชั่วโมงศิลปะ อาจารย์ให้วาดรูปอาชีพที่อยากเป็นในอนาคต ผมก็วาดรูปตัวเองเขียนการ์ตูนอยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่พอผู้ใหญ่คนอื่นถาม ก็บอกอยากเป็นวิศวกร เพราะว่ามันชัวร์ดี จะบอกอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะถามกลับ วุ่นวาย ส่วนญาติผมเป็นชาวนาเยอะ คุณตาทำนา สุขภาพแข็งแรง ผมก็จะบอกว่าโตขึ้นอยากเป็นชาวนา ถ้าถามว่าไม่วาดรูปจะทำอะไร ก็มันวาดรูปได้ไปแล้ว ก็คงต้องวาดรูป แบบสมมติว่ามือด้วนสองข้าง คงเอารูปไปขาย หรือเอารูปไปทำของขายก็น่าสนุกดี หรือสั่งให้ลูกน้องเขียนสตอรี่ที่เราคิด หรือถ้ามันไม่มีอาชีพเขียนรูปในโลกนี้ ก็ไปเล่นดนตรีแทน